ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 590 - 1 ดาบทองและดาบเงิน
แสนยานุภาพของทหารม้าเหล่านี้มีถึงหลายหมื่นคน แต่ละคนต่างกำยำล่ำสัน ดาบม้ากรีดเป็นลำแสงเปล่งประกาย มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือที่ผ่านการกรำศึกมานาน
“หรือว่าชนเผ่านอกด่านจะหาพวกเราเจอแล้ว?!” หูปู้กุยตกใจ รีบคุ้มกันอยู่เบื้องหน้าหลินหว่านหรง
หลินหว่านหรงหัวเราะฮิคราหนึ่ง “พี่หูไม่ต้องตื่นเต้น คิดจะหาพวกเราเจอ ไหนเลยจะเป็นเรื่องง่ายดายขนาดนั้น? เจ้าพวกนี้น่าจะเป็นทหารม้านับหมื่นที่เจ้าลู่ตงจ้านทิ้งเอาไว้มากกว่า ลองดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้นแต่ละดินแดนของชนเผ่านอกด่านซึ่งกำลังซ้อมชิงแพะอยู่โดยรอบก็หยุดลง กำลังมองไปข้างหน้าด้วยความงุนงงสงสัย
ทูเจวี๋ยทหารม้าซึ่งกำยำบึกบึนดุจขุนเขานั้นเคลื่อนที่มาได้สักระยะหนึ่งก็ค่อยๆ ลดทอนความเร็วลง มีคนผู้หนึ่งออกมาจากขบวน รูปร่างสูงใหญ่ คิ้วหน้าเบ้าตาลึก สองตาเปล่งประกาย
“ถูสั่วจั่ว?!” หลินหว่านหรงตกใจ ชนเผ่านอกด่านที่เป็นหัวหน้านี้ก็คืออ๋องขวาทูเจวี๋ยผู้หล่อเหลาและหนุ่มแน่นคนนั้นนั่นเอง ถูสั่วจั่วสวมชุดชนเผ่านอกด่านอันหรูหราสูงค่า ดวงสาดประกายเย็นเยียบ สีหน้าท่าทางเปี่ยมด้วยบารมี อาชาชั้นยอดใต้ร่างมันเป็นสีโลหิตตลอดทั้งร่าง ท่าทางมิใช่ธรรมดา ยืนตระหง่านท่ามกลางหมู่อาชา ม้าที่ชนเผ่านอกด่านนั่งขี่อยู่ต่างติดตามอย่างเชื่อฟังข้างหลังมันราวกับดาวล้อมเดือน นี่ก็คือม้าเหงื่อโลหิตสมบัติล้ำค่าของทูเจวี๋ยในตำนานแล้ว
“ม้าดี!” หูปู้กุยกดเสียงต่ำ ถอนหายใจเปี่ยมล้นด้วยความอิจฉาชื่นชม กาลก่อนพวกของลู่ตงจ้านมาเป็นราชทูตที่ต้าหัว เคยมอบม้าเหงื่อโลหิตให้หลินหว่านหรงสองตัว หูปู้กุยไม่เพียงเคยเห็น มิหนำซ้ำยังเคยฝึกสอนมันอีกด้วย เพียงแต่อาชาที่อยู่ใต้ร่างถูสั่วจั่วตัวนี้ ไม่ว่ารูปร่างหรือว่าอายุต่างเหนือล้ำกว่าเจ้าสองตัวนั้นมาก ดูท่าว่าม้าเหงื่อโลหิตก็แบ่งระดับด้วยเช่นกัน ที่ชาวทูเจวี๋ยมอบหใแม่ทัพหลิน ก็แค่ระดับรองเท่านั้นเอง
หลินหว่านหรงอยู่กับม้ามานาน มีสายตาของป๋อเล่อ[1]อยู่หลายส่วนเช่นกัน เมื่อมองม้าของถูสั่วจั่วก็รู้ว่าเป็นเช่นไร เขาอดถ่มน้ำลายอย่างแรงพร้อมพูดจาอย่างเดือดดาลไม่ได้ “ชาวทูเจวี๋ยนี่ช่างมีคุณธรรมนักนะ เอาของระดับรองมาเป็นของดี กลับรังแกมาถึงหัวข้าได้ หากไม่เล่นงานมันหนักๆ สักหน่อย พวกมันก็จะไม่รู้ว่าพี่หลินซานมีตาที่สาม!”
หูปู้กุยฝืนกลั้นหัวเราะ เอาของล้ำค่าของชาวทูเจวี๋ยมา มอบปืนใหญ่ฟักสับปะรังเคเป็นของประดับให้พวกมันกระบอกหนึ่ง แถมยังทำให้ลู่ตงจ้านเข้าห้องมืดอยู่ในคุกตั้งหลายวัน หากบอกว่าร้ายกาจ แม่ทัพหลินท่านก็ร้ายกว่าชาวทูเจวี๋ยมาก
ทหารม้านับหมื่นยืนนิ่งอยู่บนทุ่งหญ้า กอปรด้วยบารมีอันแผ่ไพศาล ถูสั่วจั่วมีท่าทีสงบนิ่ง กุนซือชนเผ่านอกด่านที่อยู่ข้างกายเขาคนหนึ่งกลับส่งเสียงจีลีกวาลา พูดเสียงดังอะไรบางอย่างออกมา เสียงของเจ้าคนนี้ทุ้มหนักทรงพลัง ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันตั้งหลายร้อยจั้งก็อยากได้ยินเสียงของมัน
หลินหว่านหรงเงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิดโมโห “ภาษาทูเจวี๋ยของเจ้านี่เป็นสำเนียงบ้านนอก ช่างไม่ได้มาตรฐานเสียเหลือเกิน ข้าฟังไม่ค่อยเข้าใจ พี่หู ท่านมาแปลดีกว่า”
“ไม่ได้มาตรฐานจริงๆ ด้วย” เหล่าหูกล่าวระคนหัวเราะ “มันพูดว่า ได้รับบัญชาจากใต้เท้าอ๋องขวา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งจากการแข่งขันชิงแพะระหว่างดินแดนต่างๆ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนสิ้นสุดงาน ภายในรัศมีสิบลี้รอบเค่อจือเอ่อร์ ทางราชธานีจะส่งทหารมาเฝ้า แต่ละดินแดนห้ามโจมตีต่อสู้ทะเลาะเบาะแว้ง ผู้ฝ่าฝืนจะถูกตัดสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน เมื่องานชิงแพะสิ้นสุดลง แต่ละดินแดนถึงเข้าราชธานีเพื่อคารวะท่านข่านได้…”
หลินหว่านหรงผงกศีรษะ ก่อนการแข่งขันกลิ่นของความขัดแย้งระหว่างดินแดนต่างๆ ก็ค่อยๆ รุนแรงขึ้นแล้ว ถูสั่วจั่วกำลังดำเนินการอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการกระทบกระทั่งกันระหว่างดินแดน อ๋องขวาทูเจวี๋ยช่างสมดังคำร่ำลือเสียจริง อายุยังไม่มาก ทว่าการจัดการเรื่องราวต่างๆ กลับยอดเยี่ยมยิ่งนัก
“…และภายในงานแข่งขันชิงแพะ ผู้กล้าซึ่งได้รับชัยชนะสุดท้าย ขณะเริ่มงานเลี้ยงกลางคืนในราชธานี ท่านข่านจะเป็นผู้เปิดเผยใบหน้าและมอบรางวัลด้วยตนเอง” เหล่าหูพูดแรงต่อไป
เรื่องนี้กลับน่าสนใจอยู่บ้าง ข่านทูเจวี๋ยเปิดใบหน้าของผู้กล้าบนทุ่งหญ้าด้วยตนเอง ทั้งลึกลับทั้งน่าตื่นเต้น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีรางวัลอันแสนจะล้ำเลิศอีก เพียงพอที่จะกระตุ้นความบ้าคลั่งและความเดือดร้อนของชาวทูเจวี๋ยอย่างเต็มที่ ให้พวกมันไปแย่งชิงที่หนึ่งด้วยความกล้าหาญ เมื่อเป็นเช่นนี้ความยากของการชิงแพะนั้นก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นมาก ชาวทูเจวี๋ยเป็นยอดฝีมือในการกระตุ้นจิตใจคนเหมือนกันนะนี่
เมื่อกุนซือผู้นั้นประกาศคำสั่งเสร็จสิ้น แต่ละดินแดนก็เริ่มเป่าแตรสัญญาณ เสียงดังแพร่ไปทั่วทุ่งหญ้า สิ่งนี้หมายความว่าชาวทูเจวี๋ยจะทำตามคำสั่งของกองทัพ
“เอ๊ะ ผู้หญิง!” เกาฉิวที่ไม่ส่งเสียงสักแอะมาตลอดทางเบิกดวงตาทั้งสองข้างขึ้นในทันที ดวงตาสาดประกายวาวโรจน์ พูดออกมาเบาๆ ด้วยความตื่นเต้นยินดี
ภายในค่ายของแต่ละดินแดนบังเกิดเสียงหัวเราะสดใสดังคิกคักแว่วมาทันที ผ้าม่านของกระโจมถูกเลิกขึ้นไป เผยให้เห็นใบหน้าของสาวน้อยทูเจวี๋ยจำนวนหนึ่ง เป็นผู้หญิงจริงด้วย เจ้าลามกเหล่าเกาคนนี้ หูกลับยอดเยี่ยมยิ่งนัก
สตรีชนเผ่านอกด่านเหล่านี้ส่วนใหญ่อายุสิบเจ็ดสิบแปดปี รูปโฉมแม้จะไกลห่างจากอวี้เจียลิบลับ แต่ในหมู่ชาวทูเจวี๋ยกลับถือว่าหาได้ยากแล้ว พวกนางสวมอาภรณ์หรูหราตามเทศกาลอันแสนจะงดงาม ขับเด่นรูปร่างให้ดูอรชรอ้อนแอ้น กำลังหัวเราะร่วนพลางมองประเมินออกมานอกกระโจม
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกนางกำลังมองผู้ใดอยู่ อ๋องขวาทูเจวี๋ยผู้หล่อเหลาและหนุ่มแน่นเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทุ่งหญ้ามาตั้งนานแล้ว ดังนั้นจึงยิ่งเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวของสาวน้อยทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วน สาวน้อยจากแต่ละดินแดนซึ่งฉวยงานแข่งขันชิงแพะคราวนี้เพื่อเลือกคู่ครอง เกรงว่าคงมีครึ่งหนึ่งที่มาเพื่อมันแล้ว และเรื่องนี้ยังมีความเป็นเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นการกะประมาณแบบรักษาน้ำใจอีกด้วย
มีสาวน้อยทูเจวี๋ยซึ่งขวัญกล้าอยู่หลายคนควบม้าออกมาจากค่าย มุ่งตรงมาที่อ๋องขวาตั้งแต่แรก ครั้นเข้าใกล้ถูสั่วจั่ว พวกนางกลับเขินอายขึ้นมา กระโดดลงจากม้า ปรบมือเบาๆ ร่ายรำล้อมรอบตัวนั้น สายตาส่งไปยังอ๋องขวาผู้หนุ่มแน่นเป็นระยะ เสียงเพลงอันน่าฟังลอยขึ้นสู่ขอบฟ้า
ถูสั่วจั่วยิ้มพลางกระโดดลงจากม้าเหงื่อโลหิต จับมือกับสาวน้อยเหล่านี้จนกลายเป็นวงกลม ร่ายรำท่าของชนเผ่านอกด่านพร้อมกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข พรสวรรค์ในการร้องรำทำเพลงของชาวทูเจวี๋ยเผยออกมาให้เห็นอย่างรวดเร็ว ผู้กล้าและสาวน้อยจากแต่ละดินแดนเป็นท้องทะเลแห่งความสุข แม้แต่อาหารนับหมื่นนั้นก็ยังส่งเสียงผิวปากพร้อมปรบมือ เสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระยะ
สาวน้อยทูเจวี๋ยซึ่งมีรูปโฉมธรรมดาเหล่านี้ ครั้นร่ายรำท่วงท่าของชนเผ่านอกด่านขึ้นมายังงามยวนเย้าเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นอวี้เจีย นั่นจะมีภาพเป็นเช่นไรนะ? ความคิดซึ่งบังเกิดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้หลินหว่านหรงตกใจในบัดดล เขารีบส่ายหน้า สลัดความคิดที่ไม่เป็นจริงเหล่านี้ออกจากหัวสมองไปให้หมด
“ที่แท้สตรีทูเจวี๋ยก็ชอบหนุ่มน้อยหน้ามนเช่นกัน แถมยังเป็นฝ่ายเโผเข้าสู่อ้อมอกเองอีกด้วย ช่างไม่รู้จักยางอายเสียจริง” เมื่อเห็นสาวน้อยทูเจวี๋ยหมุนวนรายล้อมอ๋องขวา เหล่าเกาเห็นแล้วก็พร่ำบ่นด้วยความเดือดดาล
เจ้าคนนี้น่าจะรู้สึกอัดอั้นในกองทัพมานาน หิวกระหายจนไม่เลือกอาหาร แม้แต่สตรีทูเจวี๋ยก็หึงไปกับเขาด้วย หลินหว่านหรงส่ายหน้าพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “พี่เกา นี่ท่านโทษพวกนางผิดไปแล้ว นิสัยของชนเผ่านอกด่านต่างจากพวกเรา รูปแบบของความรักและการแต่งงานก็ยิ่งคนละเรื่อง เมื่อชอบแล้วก็ต้องพูดออกมา เรื่องนี้ชนเผ่านอกด่านเปิดเผยตรงไปตรงมากว่าพวกเรามาก”
“แม่ทัพหลินกล่าวถูกต้อง เหล่าเกา หากเจ้ารู้สึกหึงหวงจริง เช่นนั้นก็ง่ายมาก รอให้สู้ศึกเค่อจือเอ่อร์เสร็จแล้ว ข้าจะไปจับสาวทูเจวี๋ยมาให้เจ้าสองคน ให้เจ้าเสพสุขกับการโผเข้าสู่อ้อมอกเช่นกัน” หูปู้กุยหัวเราะกระเซ้า
เกาฉิวส่ายหน้าอย่างดูแคลน “หากต้องการให้สาวๆ ทูเจวี๋ยพวกนี้โผเข้าสู่อ้อมอกจริง นั่นยังไม่ง่ายดายอีกหรือ? ชิงอันดับหนึ่งงานแข่งขันชิงแพะมา ไม่ว่าจะเป็นสาวทูเจวี๋ยประเภทใด นั่นยังจะไม่นอนลงให้หรือ?!”
ที่แท้เจ้านี่กลับมีความคิดเช่นนี้ หลินหว่านหรงกับหูปู้กุยต่างมองหน้ากัน เปล่งเสียงหัวเราะออกมาทันที ความปรารถนาของเหล่าเกาก็เป็นแค่เรื่องขำขันเท่านั้น ภารกิจอันดับหนึ่งในการเข้าร่วมงานชิงแพะก็คือปะปนเข้าสู่ทูเจวี๋ยราชธานี ส่วนเรื่องจะได้ที่หนึ่งหรือแม้กระทั่งเข้าใกล้ข่านทูเจวี๋ยได้หรือไม่นั้น นั่นก็คงต้องดูมติสวรรค์แล้ว
——
[1] ป๋อเล่อ บุคคลในประวัติศาสตร์ยุคชุนชิว ว่ากันว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดูลักษณ์ของม้า