ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 591 ลืมเลือน
เมื่อใกล้ถึงการแข่งขันชิงแพะ รัศมีหลายลี้รอบนอกเค่อจือเอ่อร์ก็ถูกปิดกั้น หากคิดจะเข้าสู่ราชธานีทูเจวี๋ยอย่างเงียบๆ ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้
ยืนอยู่บนเนินเขาสูง ใช้สายตาเคลื่อนไปบนล่างชาวทูเจวี๋ยซึ่งกำลังโห่ร้องยินดีตรงหน้า จากนั้นจึงทอดสายตามองออกไปไกล ท่ามกลางราตรีอันมืดสลัว เมืองแห่งทุ่งหญ้าอันใหญ่โตอลังการตกกระทบม่านจักษุ
ปราการเมืองแห่งนี้เป็นสี่เหลี่ยม ครองพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล หากมองเพียงแวบเดียวก็เหมือนป้อมปราการศิลาซึ่งงอกเงยอยู่บนทุ่งหญ้าสีเขียวขจี กำแพงเมืองทั้งสี่ด้านสูงราวสี่ถึงห้าจั้งได้ ใช้ก้อนศิลาขนาดใหญ่ผิดปกติก่อขึ้นมา โดดเด่นสูงตระหง่าน ในความหยาบกระด้างนั้นแฝงด้วยความยิ่งใหญ่ ทุกระยะสิบจั้งบนกำแพงเมืองจะมีพื้นยกแห่งหนึ่ง ธงหมาป่าทูเจวี๋ยโบกสะบัด ดาบม้าแวววาวของทหารม้ารักษาเมืองส่องประกายเจิดจ้าใต้แสงยามพลบค่ำ
เค่อจือเอ่อร์ราชธานีของชนเผ่านอกด่านยิ่งใหญ่อลังการมากกว่าที่จินตนาการไว้มากนัก ตัวหอคอยเมืองไม่เพียงจะสูงใหญ่ครบถ้วนสมบูรณ์ อากาศภายในเมืองก็มีแสงสีทองสว่างวูบไหวให้เห็นอยู่หลังรางๆ นั่นคือมุมหลังคาของพระราชวังทูเจวี๋ย ควันไฟจากการประกอบอาหารลอยอยู่ทั่วทุกสารทิศภายในตัวเมือง ได้ยินเสียงคนพลุกพล่านอยู่แว่วๆ ซึ่งต่างเป็นเครื่องพิสูจน์ความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ของราชธานีชนเผ่านอกด่านได้
ชาวทูเจวี๋ยหลังจากประสบมรสุมมานานหลายร้อยปีในที่สุดก็รวบรวมทุ่งหญ้าให้เป็นหนึ่ง นอกจากนั้นยังสร้างปราการเมืองอันแข็งแกร่งอยู่บนทุ่งหญ้าเขียวขจีแห่งนี้ด้วย และศิลาขนาดใหญ่ที่ใช้สร้างราชธานีแห่งนี้ เป็นพวกมันแบกใส่บ่าขนย้ายขึ้นไปทีละก้อนทีละก้อน งานฝีมือของเมืองแห่งทุ่งหญ้าแม้จะหยาบกระด้าง ถึงกระนั้นกลับเป็นเครื่องพิสูจน์ความพากเพียรพยายามนับร้อยปีของชาวทูเจวี๋ย
“นี่ก็คือเค่อจือเอ่อร์หรือ?” ในที่สุดเกาฉิวก็ทนไม่ได้ ดึงตัวหูปู้กุยที่อยู่ข้างกายพร้อมเอ่ยถาม
เหล่าหูผงกศีรษะด้วยสีหน้าหนักอึ้ง “น่าจะใช่แล้ว ปราการเมืองที่ยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้บนทุ่งหญ้า คงหาแห่งที่สองไม่ได้อีกแล้ว”
เหล่าเกาส่งเสียงจึ๊จ๊ะทอดถอนใจไม่เอ่ยวาจา เห็นได้ชัดว่าขนาดและบารมีของราชธานีทูเจวี๋ยอยู่เหนือความคาดหมายของเขาอยู่ไกลโข
หลินหว่านหรงถอนหายใจ ก่อนหน้านี้ออกจะดูแคลนชาวทูเจวี๋ยเกินไปแล้วจริงๆ พวกมันผงาดอยู่บนทุ่งหญ้ามาเป็นร้อยปี นอกจากความกล้าหาญดุดัน ก็ต้องค่อนข้างมีสติปัญญาด้วยเช่นกัน ไม่ต้องเอ่ยไปไกล แค่การสร้างเมืองแห่งราชธานีที่แข็งแกร่งและสูงตระหง่านเช่นนี้ได้ ในประวัติศาสตร์หลายพันปีของทุ่งหญ้าอาลาซ่านจะมีดินแดนของชนเผ่าเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนใดที่มีความยิ่งใหญ่เช่นนี้? เมื่ออยู่ต่อหน้าปราการเมืองอันแข็งแกร่งเช่นนี้ หากอาศัยทหารม้าห้าพันฝืนใช้กำลังบุกยึด นั่นเท่ากับเป็นคนบ้าที่กำลังพูดเรื่องเพ้อเจ้ออยู่จริงๆ
หูปู้กุยพูดกดเสียงต่ำ “ด้วยกำลังของพวกเราในตอนนี้ หากต้องการยึดเค่อจือเอ่อร์ การใช้กำลังโจมตีเกรงว่าคงจะไม่ได้ ต้องยึดด้วยสติปัญญาถึงจะถูก”
ความนัยของเหล่าหู หลินหว่านหรงเข้าใจดี ด้วยการป้องกันอย่างเข้มงวดของชนเผ่านอกด่านเยี่ยงนี้ โอกาสที่จะลอบเข้าเมืองเพียงหนึ่งเดียวก็คืองานแข่งขันชิงแพะซึ่งจะจัดขึ้นในวันมะรืนนี้เท่านั้น พวกเขาปราศจากทางเลือกอื่นใดอีก อย่างไรก็ตามด้วยสถานะของพวกเขาหากเข้าร่วมการแข่งขันชิงแพะ ก็ยิ่งเหมือนแพะเข้าสู่ถ้ำเสือ อันตรายรอบด้าน หากประมาทพลาดพลั้ง ถูกคนดึงผ้าปิดหน้าออกไป พวกเขาก็จะตกอยู่ในวงล้อมอันหนาแน่นของชาวทูเจวี๋ยทันที นั่นจะเป็นสถานการณ์อันน่าอนาถเพียงใด ตอนนี้ก็จินตนาการได้
“น้องหลิน จะทำเช่นไร” สายตาของทุกคนไปอยู่บนใบหน้าเขา กำลังรอคอยคำตอบของเขาอยู่
ทอดสายตามองชาวทูเจวี๋ยที่กำลังร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุขอยู่ไกลๆ หลินหว่านหรงเงียบงันอยู่เป็นเวลานาน ทันใดนั้นก็หมุนกาย พร้อมฟาดก้นม้าหนักๆ คราหนึ่ง “ กลับไปแล้วค่อยว่ากัน ไป!”
อาชาจำนวนหลายสิบตัวหมุนตัวกลับไป จากนั้นจึงวิ่งห้อตะบึงไปตามเส้นทางขามา ก่อให้เกิดฝุ่นดินคละคลุ้งอยู่ข้างหลัง
“อวี้เจียล่ะ?!” เมื่อกลับมาถึงบริเวณค่ายที่ซ่อนตัว ยังไม่ทันกระโดดลงจากม้าศึก หลินหว่านหรงก็เลยถามหลี่อู่หลิงที่เข้ามารับหน้า
เมื่อเห็นเขาหัวคิ้วขมวดมุ่น สีหน้าหนักอึ้ง เสี่ยวหลี่จื่อก็นิ่งงันไป รีบถามขึ้นมาว่า “ซ่อนตัวอยู่ในป่าตรงนั้น มีพี่น้องหลายคนกำลังเฝ้านางอยู่ พี่หลิน มีอะไรหรือขอรับ?!”
หลินหว่านหรงส่ายหน้า ไม่ตอบหลี่อู่หลิง เดินสาวเท้ายาวๆ เข้าไปในป่า
สาวน้อยทูเจวี๋ยนั่งพิงต้นไม้หันหลังให้เขา กำลังใช้สองมือซึ่งถูกมัดอย่างแน่นหนาเด็ดดอกไม้น้อยสีสันสดใสดอกหนึ่งที่อยู่บนพื้น นางมีสีหน้าสงบนิ่ง ใบหน้าพผุดรอยยิ้มหวาน บนแก้มขาวกระจ่างใสปรากฏลักยิ้มอันงดงามคู่หนึ่งให้เห็นรางๆ
“หลินซาน” เมื่อได้ยินฝีเท้าเร่งร้อนทางด้านหลัง เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็หันหน้ากลับมา เมื่อเห็นหลินหว่านหรงมา นางจึงหัวเราะเบาๆ ด้วยความยินดี “เจ้ามาเยี่ยมข้าหรือ?!”
เมื่อได้ยินนางเรียกว่าหลินซานก็รู้สึกไม่คุ้นหูอยู่บ้างจริงๆ หลินหว่านหรงผงกศีรษะ ยิ้มหน้าระรื่นพลางเดินเข้าไปหา “ใช่แล้วล่ะ ข้ามาเยี่ยมเจ้า น้องสาว เมื่อคืนหลับสบายดีหรือไม่?! อ้อ ดอกไม้ใบหญ้าพวกนี้วันหลังเจ้าอย่าเล่นพวกมันเลยดีกว่า”
เมื่อถูกงูกัดก็จะกลัวเชือกไปสิบปี ระหว่างที่เขาเอ่ยวาจาก็ฉวยโอกาสช่วงที่อวี้เจียไม่ทันระวัง ชิงดอกไม้ที่อยู่ในมือนางมา ออกแรงโยนทิ้งออกไปไกลโข ไม่ให้นางมีโอกาสแจ้งเตือนชาวทูเจวี๋ยได้อีก
เยวี่ยหยาเอ๋อร์ส่ายหน้าอย่างจนใจ “เจ้าคนนี้ช่างโง่จริง แผนการเดิมๆ หรือว่าข้ายังจะใช้เป็นครั้งที่สองได้อีกหรือ?!”
หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “แผนการเดิมๆ เมื่ออยู่ในมือเจ้าใช้เป็นสิบครั้งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ข้ายอมเชื่อว่ามี แต่ไม่ยอมเชื่อว่าไม่มี”
อวี้เจียส่ายหน้า ยิ้มแย้มเล็กน้อย เงียบงันไม่เอ่ยวาจา
หลินหว่านหรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มองอวี้เจียอยู่หลายครั้ง จู่ๆ ก็ขยับร่างกาย เดินออกไปข้างนอกอย่างรีบร้อน เขามาเร็ว ไปก็เร็ว รวมกันแล้วยังพูดไม่ถึงสองประโยค สีหน้าแปลกประหลาดย่ำแย่ยิ่งนัก สถานการณ์เช่นนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เยวี่ยหยาเอ๋อร์อึ้งเล็กน้อย รีบถามขึ้นมาว่า “หลินซาน เจ้าจะไปแล้วหรือ?!”
“ใช่แล้วล่ะ ข้าจะไปทำเรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่ง” หลินหว่านหรงยั้งฝีเท้า แต่ไม่ได้หันหน้ากลับมา เขานิ่งเงียบอยู่นาน ทันใดนั้นก็ถอนหายใจออกมายาวๆ คราหนึ่ง “คุณหนูอวี้เจีย เจ้าเคยรู้สึกเสียใจต่อการตัดสินใจของเจ้าหรือไม่?!”
“เสียใจ?!” อวี้เจียยิ้มอย่างหยิ่งผยอง “ในภาษาทูเจวี๋ยของพวกเราไม่เคยมีคำนี้มาก่อน”
สตรีทูเจวี๋ยผู้หยิ่งผยองและเชื่อมั่นในตัวเอง! หลินหว่านหรงโบกมือ ไม่ได้กล่าวอะไรอีก เดินมุ่งตรงออกไป
เมื่อมาถึงนอกป่า พวกของเกาฉิวสองคนก็กำลังเดินมาพอดี เมื่อเห็นเขาออกมาก็วิ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วด้วยความยินดี “น้องหลิน เป็นอย่างไร ตัดสินใจแล้วหรือ?!”
หลินหว่านหรงผงกศีรษะ ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา หูปู้กุยขมวดคิ้วพร้อมพูดว่า “ไปแค่พวกเรายังไม่ได้ขอรับ การแข่งขันชิงแพะนี้ ตัวละครสำคัญก็คืออวี้เจีย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องคิดหาหนทางให้นางไปโผล่อยู่ข้างกายอ๋องขวาได้ทันเวลาถึงจะถูกต้อง สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือห้ามให้นางเปิดเผยร่องรอยของพวกเรา”
“ไม่อย่างนั้นพวกเราวางยาพิษ ทำให้นางกลายเป็นคนปัญญาอ่อนดีหรือไม่?” เกาฉิวกล่าวด้วยความโหดเ**้ยม
หูปู้กุยตกใจอย่างยิ่ง เจ้าเหล่าเกาคนนี้ช่างมีความอำมหิตอยู่หลายส่วนจริงๆ เลยนะ เพียงแต่หากปราศจากหนทางแล้วจริงๆ ความคิดนี้ก็น่าจะลองได้ ต้องดูว่าแม่ทัพหลินจะหักใจลงมือได้หรือไม่
“วางยาพิษ? ท่านวางยาพิษชนะอวี้เจียได้หรือ” หลินหว่านหรงตบบ่าเหล่าเกาด้วยความขบขัน คำพูดนี้ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย ด้วยฝีมือทางการแพทย์ของอวี้เจียยังจะมีผู้ใดที่วางยาพิษล้มนางได้อีก?
เกาฉิวนิ่งอึ้งอยู่เช่นกัน พูดด้วยความหงุดหงิดโมโหว่า “ถ้าอย่างนั้นจะทำเช่นไร พวกเราไม่อาจเอานางส่งมอบให้เจ้าคนแซ่ถูเปล่าๆ เช่นนี้ได้หรอกนะ”
“ต้องมีวิธี ลองให้ข้าลองคิดดูก่อนก็แล้วกัน” หลินหว่านหรงส่ายหน้า เรื่องแบบนี้ต้องขอความช่วยเหลือจากนางเซียนเท่านั้นแล้ว นางเคยพูดไว้ว่านางมีวิธี
พวกเหล่าเกาสองคนจากไปด้วยความหงุดหงิด หลินหว่านหรงหลับตาลงครุ่นคิด รู้สึกกลัดกลุ้มอยู่บ้าง แม้จะบอกว่าที่พาอวี้เจียมาตลอดทางนั้นก็เพื่อจะใช้ประโยชน์นางได้สักวันหนึ่ง เพียงแต่เมื่อช่วงเวลานั้นมาถึงเข้าจริง รสชาตินั้นกลับหาใช่จะใช้ถ้อยคำเพียงไม่กี่คำมาสาธยายได้
“เจ้าตัดสินใจจริงแล้วหรือ?!” หนิงอวี่ซีมายืนอย่างสงบนิ่งอยู่ข้างกายเขาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ น้ำเสียงสงบนิ่งแช่มช้าและอ่อนโยน ประหนึ่งเสียงแห่งธรรมชาติ
หลินหว่านหรงจับมือนาง หัวเราะแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าตัดสินใจกันตั้งแต่แรกแล้วหรือ เหตุใดพี่สาวถึงยังมาถามข้าอีก”
“ไม่เหมือนกัน” นางเซียนหนิงส่ายหน้าด้วยท่าทีขึงขัง “ข้าไม่เคยบอกเจ้าถึงความรุนแรงของเรื่องนี้ ข้าหวังว่าก่อนที่เจ้าจะตัดสินใจ เจ้าจะพิจารณาถึงผลลัพธ์ให้ถ้วนถี่”
หนิงอวี่ซีสีหน้าหนักอึ้ง หลินหว่านหรงถามด้วยความฉงนสนเท่ห์ “มีอะไรรุนแรง? พี่สาว ท่านพอจะพูดให้ชัดเจนสักหน่อยได้หรือไม่”
นางเซียนย่ำเท้าอย่างแช่มช้าไปหลายก้าว จากนั้นจึงเอ่ยออกมาเบาๆ “วัตถุประสงค์ที่เจ้าเข้าร่วมงานแข่งขันชิงแพะนี้ก็เพื่อใช้อวี้เจียล่อให้อ๋องขวาทูเจวี๋ยกับเชื้อพระวงศ์อื่นออกมา เมื่อเป็นเช่นนี้ทหารม้าทูเจวี๋ยจะต้องเคลื่อนย้ายกำลังหลักในการเฝ้ารักษามาอยู่นอกเมือง การป้องกันตัวเมืองก็จะผ่อนคลายลง เมื่อถูสั่วจั่วเข้าร่วมงานชิงแพะ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าข่านทูเจวี๋ยอาจมาร่วมชมด้วยตนเอง หากมีโอกาสก็จะบุกจับกุมข่านทูเจวี๋ยพร้อมขุนนางสำคัญทุกคนทันที เรื่องนั้นย่อมดีมากแน่นอน แต่ถ้าการระวังป้องกันนอกเมืองของพวกมันเข้มงวดกวดขันจนเกินไปจนปราศจากโอกาสลงมือ เจ้าก็ฉวยโอกาสช่วงที่เมืองว่างเปล่าและมีความวุ่นวายปะปนเข้าสู่เมืองเค่อจือเอ่อร์ไปพร้อมกับทุกดินแดนการปกครองได้ ขอเพียงเข้าราชธานีทูเจวี๋ยแล้ว การทำลายเมืองก็สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ข้าพูดถูกหรือไม่?!”
“ถูก ถูก พี่สาว รู้ใจข้าจริงด้วย” หลินหว่านหรงชูนิ้วพร้อมกล่าวชมเชย
หนิงอวี่ซีหัวเราะขึ้นมา “ดินแดนการปกครองของชนเผ่านอกด่านที่มีคุณสมบัติเข้าเมืองล้วนต้องเข้าร่วมการชิงแพะ หากเจ้าอยากมีโอกาสปะปนเข้าไป ก็จำเป็นต้องได้รับชัยชนะสักหลายรอบ วิธีการนี้แม้จะเสี่ยงอยู่สักหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ จุดสำคัญที่แฝงอยู่ในนั้นอยู่ที่ตัวของอวี้เจีย ต้องการให้นางปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าชนเผ่านอกด่าน แต่กลับไม่อาจให้นางเปิดเผยร่องรอยของพวกเรา…”
สิ่งที่หลินหว่านหรงกังวลก็คือเรื่องนี้ เขารีบถามขึ้นมาว่า “พี่สาว ท่านเคยบอกว่ามีวิธีไม่ใช่หรือ?!”
นางเซียนถอนหายใจ “ข้ามีวิธีจริงๆ เพียงแต่กลัวว่าเจ้าจะลงมือไม่ได้…หากไม่อยากให้อวี้เจียเปิดเผยร่องรอยของพวกเรา วิธีการที่ดีที่สุดก็คือให้นางลืมเรื่องราวทุกสิ่ง”
“ลืมเรื่องราวทุกสิ่ง?” หลินหว่านหรงตกใจจนหน้าถอดสี “นี่ต้องทำอย่างไรถึงจะลืม?!”
หนิงอวี่ซีจับมือเขาพร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน “โจรน้อย เจ้ายังจำเหตุการณ์ที่พวกเราได้พบกันครั้งแรกหรือไม่?!”
“จำได้ ย่อมจำได้แน่ ตอนนั้นข้ายิงปืนใส่ท่านไปหลายนัด ท่านก็ซัดเข็มเงินใส่ข้าหลายเล่มเช่นกัน ตอนนี้พอคิดดู การยิงซัดเช่นนี้ที่แท้ก็เป็นบุพเพสันนิวาสที่สวรรค์กำหนดไว้แล้ว” เขาหัวเราะฮ่าๆ หลายครั้ง ทว่าว่าภายในใจกลับรู้สึกงุนงง เห็นอยู่ว่ากำลังพูดถึงอวี้เจีย แล้วเหตุใดนางเซียนโยงไปถึงเรื่องที่ทั้งสองคนพบกันครั้งแรกได้ล่ะ
“…ข้ากับเจ้าไม่เคยรู้จักกัน วันนั้นที่ทำกับเจ้าเช่นนั้นก็เพราะความจำเป็นบังคับ วาสนาระหว่างเจ้ากับชิงเสวียนเฉกเช่นจันทราในวารี บุปผางามในคันฉ่อง เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ กาซัดเข็มเงินนี้ไม่ทำร้ายถึงแก่ชีวิตของเจ้า ถึงกระนั้นกลับทำให้เจ้าลืมเรื่องของชิงเสวียน เจ้าอย่าโทษข้าเลย…”
นางเซียนหนิงน้ำเสียงแผ่วเบาเลื่อนลอย เข็มเงินที่อยู่ในมือเปล่งประกายวูบวาบ คล้ายกลับไปในป่านอกเมืองในวันนั้นอีกครั้งหนึ่ง นั่นเป็นการพบหน้าครั้งแรกของทั้งสองคน มีหลายสิ่งที่ไม่อาจลืมเลือนได้ตลอดกาล บทสนทนานี้เป็นนางเซียนที่พูดออกมาจากปากเอง
แค่ได้ยินประโยคสุดท้าย หลินหว่านหรงก็เข้าใจเจตนาของหนิงอวี่ซีแล้ว ในเมื่อนางมีวิธีทำให้ข้าลืมชิงเสวียนได้ เช่นนั้นก็ย่อมทำให้อวี้เจียลืมข้าได้ด้วยเช่นกัน น้ำลืมรักสองถ้วยบนโลกนี้ต่างถูกข้าดื่มทั้งสิ้น! เขาเลียริมฝีปากที่ปริแห้ง รสชาติที่มีอยู่ภายในใจอยากจะสรรหาถ้อยคำมาบรรยาย เขาถอนหายใจยาวพร้อมกับพูดว่า “พี่สาว ท่านจะฝังเข็มให้อวี้เจีย ทำให้นางลืมข้าหรือ?!”
หนิงอวี่ซีตอบด้วยความอับจนปัญญา “ไม่ใช่ให้นางลืมเจ้า แต่ทำให้นางลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากออกจากเฮ่อหลานซานแล้วเข้าสู่ทุ่งหญ้า ไม่ว่าจะเป็นทะเลแห่งความตายหรือว่ายอดเขาเทียนซาน ขอให้ฝันนางก็ไม่มีวันนึกถึงเรื่องพวกนี้ได้ตลอดกาล”
ทุกสิ่งทุกอย่างต่างถูกลบออกไปอย่างง่ายดายแบบนี้เลยหรือ?! หลินหว่านหรงยืนนิ่งเหม่อลอย พูดไม่ออกอยู่นาน
เขาไม่มีวันสงสัยสิ่งที่หนิงอวี่ซีพูดออกมาแน่นอน อันที่จริงวันนั้นเขาก็เกือบมีชะตาชีวิตเช่นอวี้เจียแล้ว คิดไม่ถึงว่าผ่านมานานขนาดนี้เรื่องนี้กลับเกิดขึ้นกับสตรีผู้งดงามต่างชนชาติผู้หนึ่งได้ ผู้ที่สร้างเรื่องเลวร้ายนั้นกลับเปลี่ยนเป็นตัวเอง สวรรค์นี้ช่างรู้จักล้อเล่นเสียจริง
เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่เอ่ยวาจาและไม่ขยับเขยื้อน รู้สึกอึดอัดคับข้องแปลกประหลาดประหนึ่งระลอกคลื่นขนาดใหญ่ และมีเพียงหนิงอวี่ซีที่เคยสัมผัสด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะเข้าใจได้
“โจรน้อย…” นางเซียนดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ ภายในดวงตาแผ่ความห่วงใยอันเปี่ยมล้นออกมา
หลินหว่านหรงกำลังถอนหายใจออกมายาวๆ ยิ้มให้นางเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นอะไร ในฐานะที่เป็นผู้รบชนะ ข้ามีสิทธิ์ที่จะจัดการเชลยศึก ไม่ว่านางจะงดงามหรือว่าขี้เหร่ เป็นบุรุษหรือว่าสตรี การพานางมาก็ไม่ใช่เพื่อวันนี้หรอกหรือ? นางเซียนพี่สาว ท่านเตรียมลงมือเมื่อไหร่?!”
“โจรน้อย เจ้า…” หนิงอวี่ซีมอง ขบริมฝีปากสีชาดเบาๆ ท่าทางอ้ำอึ้ง
หลินหว่านหรงหัวเราะ “คนหนึ่งคือชาวต้าหัว คนหนึ่งคือชาวทูเจวี๋ย ชนชาติที่เป็นศัตรูกันสองชนชาติ…การลืมเลือน สำหรับนางอาจเป็นจุดจบที่ดีที่สุดแล้วก็ได้ ชีวิตของนางก็เหลือแค่ไม่กี่เดือนแล้ว ก็ให้นางใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างไร้ทุกข์ไร้กังวลไปเถอะ”
นางเซียนหนิงกล่าวด้วยท่าทีเหม่อลอย “นางลืมเลือนได้ แต่เจ้าล่ะ เจ้าจะทำเช่นไร?! การเก็บความรู้สึกต่อไปจำเป็นต้องใช้ความกล้ามากกว่าการลืมเลือนเสียอีก!”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ พลางส่ายหน้า “พี่สาว เหตุใดท่านถึงพูดจาลึกซึ้งเช่นนี้ ข้าเป็นคนเรียบง่าย ไม่ได้คิดสลับซับซ้อนมากขนาดท่าน”
หนิงอวี่ซีมองเขาอยู่นาน นี่เป็นครั้งแรกที่นางมองไม่ทะลุจิตใจของโจรน้อย ความรู้สึกที่บัดเดี๋ยวใกล้บัดเดี๋ยวไกลเช่นนี้กระทำให้นางรู้สึกลุ่มหลงอยู่บ้าง นางถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ด้วยนิสัยดื้อด้านของอวี้เจีย วิธีการลบความทรงจำเช่นนี้หาใช่แค่การฝังเข็มง่ายดายเยี่ยงนั้น เกรงว่าค่ายังต้องสิ้นเปลืองพลังวัตรไปจำนวนหนึ่งอีกด้วย วิธีการทำเช่นนี้ถือว่าผิดต่อหลักแห่งฟ้ายิ่งนัก ครั้งนี้สวรรค์จะต้องลงทัณฑ์ข้าแน่นอน”
หลินหว่านหรงกุมมือทั้งสองข้างของนางนั่นพร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน “วางใจได้ การลงทุนทั้งหมดข้าจะรับไว้เอง ข้าขอสาบานต่อฟ้าว่าจะสู้จนตัวตาย!”