ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 593 - 3 ข่านทูเจวี๋ย
หลังจากตรวจสอบว่าดาบถูกลับคมออกไปแล้วก็ไม่มีผู้ใดสนใจพวกเขาอีก ส่วนจุดเริ่มต้นของการชิงแพะนั้นอยู่ห่างจากกึ่งกลางทุ่งหญ้าราวสองร้อยจั้ง ถูสั่วจั่วที่อยู่ในปะรำพิธีกำลังมองประเมินรอบด้าน เห็นชัดว่าจิตใจไม่อยู่กับตัว ดังนั้นจึงไม่มีทางสนใจดินแดนเยวี่ยซื่อเล็กๆ ซึ่งมาจากชายขอบทะเลทรายนี่แน่นอน
“ปู๊น!” แตรสัญญาณถูกเป่าดังขึ้น หลินหว่านหรงควบม้าพุ่งขวับออกไป การออกตัวนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ราวกับลอยล่องไปตามเมฆา แม้แต่เหล่าหูเองก็ตามเขาไม่ทันอยู่บ้าง ฝูงชนพลันโห่ร้อง ชมเชยฝีมือการขี่ม้าอันยอดเยี่ยมของเขา เพียงแต่ชาวทูเจวี๋ยแม้ฝันก็คงนึกไม่ถึงว่าภายใต้ผ้าปิดหน้าสีดำสนิทนี้กลับเป็นใบหน้าของคนผิวเหลือง
เสียงลมหวีดหวิวดังอยู่ข้างใบหู ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องอย่างบ้าคลั่งจากชนเผ่านอกด่านที่มาชมการสู้รบ มองเห็นดวงตาสีน้ำเงินเข้มของศัตรูได้รางๆ เค่อจือเอ่อร์อยู่ตรงหน้า ทว่าหลินหว่านหรงกลับมีจิตใจสงบนิ่งดั่งวารี นอกจากเสียงฝีเท้าม้าก็เหมือนไม่ได้ยินสิ่งใดอีกแล้ว
ความปราดเปรียวของดินแดนนกไป่หลิงสมดังคำร่ำลือ ผู้ที่บุกอยู่เบื้องหน้าสุดก็คือชนเผ่านอกด่านผู้มีฝีมือในการขี่ม้าล้ำเลิศที่เคยเห็นวันนั้นนั่นเอง มันเคลื่อนที่ดั่งโผบินเบี่ยงร่างไปด้านข้างเล็กน้อย จากนั้นก็เก็บแพะที่เปียกชุ่มนั้นอยู่ในมือ คนในตระกูลของนกไป่หลิงต่างโห่ร้องยินดีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมาโดยพลัน
ชนเผ่านอกด่านจากดินแดนเสือดาวกลับไม่ได้กินเสียข้าวสุก ไม่รอให้ดินแดนนกไป่หลิงมีปฏิกิริยาตอบสนอง มีม้าห้าตัวบุกมาจากด้านหลังพวกมัน ล้อมชนเผ่านอกด่านที่ชิงแพะได้ผู้นั้นอยู่กึ่งกลาง ดาบโค้งที่อยู่ในมือกวัดแกว่ง บุกเข้าหาทันที
เห็นได้ชัดว่านกไป่หลิงเตรียมการไว้ตั้งแต่แรก มันตวาดเสียงดังคราหนึ่ง สองมือจับตัวแพะแน่น จากนั้นก็เขวี้ยงไปขางหน้าสุดแรง
“หูโหยว (เยี่ยม)!” เสียงตื่นเต้นดังลั่นหลายเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน คนในกลุ่มของนกไป่หลิงซึ่งกำลังเคลื่อนที่อยู่ข้างหน้าพยายามรับตัวแพะเอาไว้ จากนั้นก็ควบม้าดุจโผบิน พุ่งไปยังจุดหมาย
ชนเผ่านอกด่านธงเสือดาวห้าคนที่ล้อมโจมตียังไม่ทันเข้าใจสถานการณ์ ชาวทูเจวี๋ยที่เชี่ยวชาญการขี่ม้าคนนั้นพลันหมุนกายกลับมาแล้วฟันดาบโค้งอันหนักอึ้ง เพียงชั่วพริบตาก็ทำให้สองคนตกลงจากม้า
โอกาสอันดีที่ยากจะพานพบเช่นนี้เหล่าเกาจะพลาดได้อย่างไร เขาเข้าไปตามสถานการณ์ กีบเท้าม้าย่ำลงบนหน้าท้องชนเผ่านอกด่านสองคนอย่างหนักหน่วง จากนั้นก็ฉวยโอกาสฟันดาบลงไปสองครา ชนเผ่านอกด่านก็สิ้นเสียงไป
“หูโหยว (เยี่ยม)!” เมื่อเห็นฝีมือดาบอันยอดเยี่ยมเช่นนี้ ชาวทูเจวี๋ยที่กำลังมุงดูจึงส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นอย่างบ้าคลั่ง โห่ร้องยินดี สายตาที่มองเกาฉิวเต็มไปด้วยความเคารพและเทิดทูน เหล่าเกายินดียิ่งนัก “หูโหยว พวกเจ้าก็หูโหยวฮ่าๆ!”
หูปู้กุยฟันดาบไปสองครั้ง ชนเผ่านอกด่านอีกสามคนที่เหลือก็เอนล้มลงไป นกไป่หลิงตกใจจนต้องหมุนกายแล้ววิ่งหนี ฝีมือการขี่ม้าของชนเผ่านอกด่านยอดเยี่ยมจริงด้วย เหล่าหูตามอยู่ข้างหลังพวกมัน แต่กลับไม่อาจไล่ทันได้
แพะอยู่ในมือนกไป่หลิง ชนเผ่านอกด่านสองตระกูลตะลุมบอนกันตั้งแต่แรก ฝูงม้าวิ่งตัดผ่านไปมา ลงมือไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย ยังโหดเ**้ยมยิ่งกว่าสนามรบเสียอีก ทหารม้าต้าหัวดูเหมือนจะไล่ตามพวกมันไม่ทัน ถึงกระนั้นกลับจงใจเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ เล็งจังหวะที่มีคนตกม้าใช้เท้าเหยียบย่ำและดาบฟัน มีความสุขสนุกสนานยิ่งนัก
“บุก!” เมื่อเห็นศัตรูเสียพลังไปพอสมควรแล้ว หลินหว่านหรงจึงตวาดต่ำๆ คราหนึ่ง พี่น้องที่อยู่ข้างหลังกรูเข้าไป กวัดแกว่งดาบฟันอย่างเร็วรี่ พวกเขาออมแรงมานาน พลันเหมือนหมาป่าบุกเข้าฝูงแพะ ฟันชนเผ่านอกด่านท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดี ความรู้สึกเช่นนี้ช่างปลุกเร้าอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก!
มีเหล่าเกาเป็นผู้นำ แม้ดาบจะทื่อแต่ก็เข่นฆ่าอย่างสะใจ เมื่อเห็นว่าเหลือชาวทูเจวี๋ยเพียงไม่กี่คน หูปู้กุยจึงส่งสายตา จากนั้นก็มีทหารต้าหัวหลายนาย ‘ร้องโหยหวน’ แล้วร่วงลงไป ชนเผ่านอกด่านที่มุงดูเลือดลมพลุ่งพล่าน โห่ร้องชมเชย เสียงกรีดร้องดังขึ้นเป็นระยะ
นกไป่หลิงซึ่งยังคงยืนหยัดด้วยความยากลำบากผู้นั้นเมื่อความกดดันลดทอนลงก็ยินดียิ่ง เขวี้ยงแพะออกไปอย่างสุดแรงเสียงดังขวับ
ชนเผ่านอกด่านผู้มีฝีมือขี่ม้าอันล้ำเลิศที่อยู่ข้างหน้าคนนั้นรอคอยมาตั้งแต่แรก มันยกมือขึ้นรับ ขณะกำลังจะห้อตะบึงออกไป จู่ๆ ก็มีสายลมเร็วรี่พัดเข้ามาจากข้างหน้า มันรีบหดศีรษะ ร่างแนบชิดกับหลังม้า จากนั้นสองเท้าเหยียบที่วางเท้าและควบพุ่งกระโดดออกไป
ไอ้คนเจ้าเล่ห์! หลินหว่านหรงแค่นเสียงด้วยโทสะ ชิงมาอยู่ข้างหน้าขวางเส้นทางของมันไว้ ขณะเดียวกันก็พาดดาบขวาง ฟันไปที่เอวมัน
ชนเผ่านอกด่านผู้นั้นจับแพะเอาไว้ ไม่อาจตอบโต้ได้เลย ด้วยความรีบร้อน ฝีมือการขี่ม้าอันล้ำเลิศจึงได้ใช้งาน มันกอดคอม้า แล้วควบหมุนวน เมื่อดาบฟันมามันก็จะมุดลงไปใต้ท้องม้า
วิ่งตีคู่ไปเช่นนี้หลายก้าว ชนเผ่านอกด่านผู้นั้นขยับขึ้นๆ ลงๆ ราวกับวานร หลินหว่านหรงมองจนตาลายไปหมด ถ้าทำแล้วต้องทำถึงที่สุด เขาหัวเราะฮิคราหนึ่ง ชูดาบใหญ่ขึ้น จากนั้นก็ฟันลงบนหลังม้าอย่างแรง
ม้าทูเจวี๋ยอ่อนยวบล้มลงกับพื้น นกไป่หลิงสูญเสียที่พึ่ง ตื่นตระหนกจนรีบหนีไป ถึงกระนั้นกลับถูกหูปู้กุยที่ไล่ตามมาใช้ดาบฟันจนกลิ้ง
“เฮ!” เหล่าเกาชูร่างแพะ บุกมาที่จุดหมายด้วยความตื่นเต้น ชนเผ่านอกด่านกรูเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ กระโดดโลดเต้นโห่ร้องยินดี
หลินหว่านหรงจงใจรั้งอยู่ท้ายสุด เงยหน้าทอดสายตามองออกไปไกล เหล่าเชื้อพระวงศ์ทูเจวี๋ยกำลังสุมหัวกระซิบกระซาบกันด้วยความตื่นเต้น ถึงกระนั้นกลับไม่พบเงาร่างถูสั่วจั่วแล้ว
“ท่านแม่ทัพ เป็นอะไรหรือขอรับ?!” หูปู้กุยอยู่ใกล้เขามากที่สุด เมื่อเห็นเขาเหลียวซ้ายแลขวาจึงรีบเข้ามาใกล้พร้อมเอ่ยถาม
หลินหว่านหรงส่ายหน้า กล่าวด้วยท่าทีอันหนักอึ้ง “ถูสั่วจั่วหายไปแล้ว!”
หูปู้กุยตกใจ รีบกวาดตามองหลายครั้ง จริงดังคาด ภายในปะรำพิธียาวนั้นว่างเปล่า อ๋องขวาทูเจวี๋ยไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่
“หรือว่าจะไปเข้าส้วม?!” เหล่าหูเอ่ยถามเสียงเบา
ข้าตอบคำถามนี้ของเจ้าได้หรือ?! หลินหว่านหรงกลอกตาค้อนอย่างอับจนปัญญา เหล่าหูหัวเราะฮ่าๆ เกาหัวด้วยความกระดากใจ
“ท่านย่ามัน! เหตุใดถึงไม่มีใครมามอบดอกไม้ให้ข้า? ผู้หญิงทูเจวี๋ยตาบอด!” เหล่าเกาเดินเข้ามาด้วยความเดือดดาล ออกแรงกวัดแกว่งดาบโค้งในมือหลายครั้ง
ใช่แล้วล่ะ ทำไมถึงไม่มีคนมอบดอกไม้? คำพูดนี้ของเหล่าเกากลับเตือนสติหลินหว่านหรง ด้วยการแสดงออกของเกาฉิววันนี้ เมื่ออยู่ในสายตาของสาวน้อยทูเจวี๋ยที่ยอมรับแต่ฝีมือไม่ยอมรับคนเหล่านั้น การที่ไม่มีใครมาชื่นชมถือเป็นเรื่องผิดปกติ เขารีบหันหน้ากลับไป เพียงมองก็รู้ปัญหาทันที
บรรดาสาวน้อยทูเจวี๋ยซึ่งเดิมทีกำลังชมการชิงแพะด้วยอารมณ์คึกคักสนุกสนานยามนี้กลับชะเง้อหน้าไปทางทิศใต้กันหมด กำลังเบิกตากว้างมองหาอะไรบางอย่าง ไม่มองเหล่าเกาซึ่งได้รับชัยชนะทางนี้แม้แต่แวบเดียว
สายตาของทุกคนต่างมองไปทางทิศใต้ ทุ่งหญ้าอาลาซ่านซึ่งเมื่อครู่ยังอึกทึกคึกคักกลับสงบนิ่งยิ่งกว่าน้ำในทะเลสาบภายในชั่วพริบตา
เมื่อถูสั่วจั่วหายไป สาวน้อยก็ไม่ร้องตะโกน ทุ่งหญ้ากลับกลายเป็นเงียบสงัดเช่นนี้ ที่แท้มันเกิดอะไรขึ้น? พวกของเหล่าเกาสองคนต่างสบตากัน รู้สึกงุนงงสงสัยอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าจะไปหาคำตอบจากผู้ใด
ถ สถานที่อันห่างไกล ปรากฏจุดดำขนาดเล็กจุดหนึ่งบนทุ่งหญ้า เสียงฝีเท้าดังกุบกับกุบกับกระจ่างชัด กระแทกเข้าไปในจิตใจของทุกคน เรือนร่างค่อยๆ ตกกระทบม่านจักษุ นั่นกลับเป็นม้าน้อยสีขาวปลอดตัวหนึ่ง ส่ายหัวไปมา สีหน้าท่าทางไม่ธรรมดา
มีสตรีเยาว์วัยนางหนึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า เรือนผมงามดั่งเมฆาแผ่สยายลงมาราวกับม่านน้ำตกสีนิล ผิวขาวกระจ่างใสราวสระสวรรค์และหยกงาม ใบหน้าปกปิดด้วยผ้าโปร่งสีอ่อนเบาบาง เนตรงามกลอกเล็กน้อย ดวงตาประหนึ่งระลอกคลื่นฤดูสารท ภายในความดำขลับเปล่งประกายยังแฝงไว้ด้วยสีฟ้าอ่อนที่เกือบจะมองไม่เห็น ล้ำลึกทว่ากระจ่างใส ราวกับทะเลสาบน่ามู่ชั่วที่อยู่ในส่วนลึกของทุ่งหญ้า สะอาดบริสุทธิ์กระจ่างใส สายลมเอื่อยพัดผ้าคลุมหน้าปลิวเบาๆ มุมปากแดงชุ่มชื่นของนางหยักยกขึ้นเล็กน้อย ก่อเป็นรอยยิ้มซึ่งมีเส้นโค้งอันงดงาม ราวกับจันทร์เสี้ยวที่ลอยขึ้นตรงขอบฟ้า
เหมือนที่เจอครั้งแรก! ในใจพลันบังเกิดประโยคนี้ขึ้นมา ทำให้หลินหว่านหรงต้องถอนใจอย่างเงียบงัน
“เป็นอวี้เจีย!” หูปู้กุยกับเหล่าเกาตกใจจนอ้าปากค้าง เหล่าสาวน้อยทูเจวี๋ยต่างกรีดร้อง ขึ้นขี่อาชาขาว พุ่งไปยังทิศทางที่อวี้เจียยืนอยู่อย่างบ้าคลั่ง
“ปู๊น!”
“ปู๊น!”
“ปู๊น!”
แตรสัญญาณส่งเสียงยาวสามครั้ง ดังทุ้มหนักอยู่บนทุ่งหญ้า ผืนปฐพีสั่นสะเทือนเล็กน้อย เสียงฝีม้าไหลบ่าเข้ามาราวกับอสุนีบาต ใต้เมืองเค่อจือเอ่อร์ ฝุ่นดินคละคลุ้ง เหมือนมีทัพใหญ่นับพันนับหมื่นบุกเข้ามา ธงหมาป่าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนโบกสยายรับสายลม
เกาฉิวใช้มือป้องดวงตาทอดสายมองออกไป พูดด้วยความตกใจขึ้นมาว่า “ทหารม้าชาวทูเจวี๋ย อีกทั้งยังมีทหารรักษาเมืองเค่อจือเอ่อร์อีกด้วย พวกมันมาทางนี้กันหมด นี่มันเรื่องอะไรกัน?!”
ฝุ่นดินค่อยๆ กระจายสลายไป ทหารชั้นยอดชาวทูเจวี๋ยนับหมื่นยืนเรียงแถวหน้ากระดาน เดินเข้ามาอย่างแช่มช้า เมื่อเค่อจือเอ่อร์ที่อยู่ไกลออกไป เหล่ากองกำลังรักษาเมืองต่างกรูกันออกมาคุ้มกันอยู่เบื้องหลังพวกมัน คนเหล่านี้ต่างเป็นทหารม้าชั้นยอดของทูเจวี๋ย เข้มงวดมีระเบียบวินัย สีหน้าท่าทางห้าวหาญชาญชัย ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็มีไอสังหารแผ่พุ่งปะทะเข้ามาแล้ว
กึ่งกลางทหารสองกลุ่ม ม้าเหงื่อโลหิตซึ่งมีสีแดงตลอดทั้งร่างจำนวนสิบหกตัวกำลังลากรถม้าขนาดมหึมาให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างแช่มช้า บนรถม้าตั้งกระโจมผ้าม่านสูงลิ่วอยู่หลังหนึ่ง ปักหัวหมาป่าสีทองทั้งสี่ด้าน ลมโบกพัดผ้าม่าน รถม้าคั้นนั้นสงบนิ่งเงียบงัน ไม่รู้เช่นกันว่าผู้ที่นั่งอยู่ในนั้นคือใคร
ทหารม้าทูเจวี๋ยค่อยๆ ล้อมอวี้เจียกับสาวน้อยทูเจวี๋ยเหล่านั้นอยู่กึ่งกลาง พวกมันหมุนกายกลับมาอย่างแช่มช้า รูปกระบวนเหมือนวงกลมขนาดใหญ่ที่ค่อยๆ แผ่ขยายออกไปรอบด้าน กันทุกคนอยู่ข้างนอก ม่านโปร่งสีเหลืองทองแกว่งไกวเบาๆ ท่ามกลางสายลมอันสดชื่น เงาร่างของเยวี่ยหยาเอ๋อร์พร่าเลือน สุดท้ายก็หายลับไปท่ามกลางหมู่คน แม้แต่สาวน้อยทูเจวี๋ยเหล่านั้นก็มองไม่เห็นแล้ว
“ข่านทูเจวี๋ยเสด็จแล้ว!”