ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 594 - 2 คนแปลกหน้ากับท่านข่าน
เบื้องหน้าผุดใบหน้าเปื้อนยิ้มของเยวี่ยหยาเอ๋อร์อย่างไร้สาเหตุ งดงามล่องลอย ไม่อาจจับต้องได้
“ที่ทูเจวี๋ยของเรา ข้าก็ไม่ใช่ผู้ที่ฉลาดมากที่สุด” คำพูดของลู่ตงจ้านยังคงก้องอยู่ข้างใบหู เขาเพิ่งเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของประโยคนี้ สวรรค์นั้นยุติธรรม ผู้ใดผู้หนึ่งเสพสุขแต่เพียงผู้เดียวโดยเฉพาะ แต่ละชนชาติการล้วนมีผู้ฉลาดหลักแหลมและมีความสามารถจำนวนมาก ต้าหัวเป็นเช่นนี้ ทูเจวี๋ยก็เป็นเช่นนี้
ข่านคนใหม่ของทูเจวี๋ยกลับเป็นเด็กน้อยตัวเล็กๆ คนหนึ่ง! พวกเขากลับกำลังรบกับเด็กคนหนึ่ง?! นี่มันช่างเป็นข่าวที่น่าเหลือเชื่อเสียจริง ช่วงเวลาที่เข้าสู่ทุ่งหญ้านี้ เมื่อนำทุกเรื่องมารวมกันก็ยังไม่น่าตื่นเต้นตึงเครียดเท่ากับวันนี้ เหล่าเกาเลียริมฝีปาก ลำคอแห้งผาก รีบกุมดาบโค้งในมือแน่น “น้องหลิน ตอนนี้จะทำเช่นไร?!”
“ทำเช่นไรอะไรกัน?!” หลินหว่านหรงตอบไม่เร็วไม่ช้า “ยืนดูความเปลี่ยนแปลงอย่างสงบนิ่งก็พอ”
“แต่เยวี่ยหยาเอ๋อร์กลับมาแล้ว ด้วยความฉลาดของนาง นางต้องรู้ว่าพวกเราซ่อนตัวอยู่ที่…”
เกาฉิวพูดไม่ทันจบก็ถูกหลินหว่านหรงโบกมือด้วยท่าทางเรียบเฉยเพื่อตัดบท เขาเงียบกันอยู่นาน จากนั้นจึงถอนหายใจเล็กน้อย “วางใจเถอะ อวี้เจียตอนนี้ไม่รู้จักท่าน และไม่รู้จักข้า นางเป็นแค่คนแปลกหน้าซึ่งปราศจากความเกี่ยวข้องกับพวกเราแม้แต่น้อยคนหนึ่งเท่านั้น พี่เกา ท่านจะกลัวคนแปลกหน้าคนหนึ่งหรือ?!”
คนแปลกหน้า?! พวกของหูปู้กุยสองคนต่างตกใจเป็นล้นพ้น เรื่องแปลกในวันนี้เหตุใดถึงมีมากมายนัก ก่อนอื่นคือข่านทูเจวี๋ยกลายเป็นเด็กน้อย จากนั้นก็เป็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์ซึ่งกลายเป็นคนแปลกหน้าอีก เรื่องที่พวกเขาเจอในชาตินี้ยังไม่พิสดารเท่ากับที่เจอในวันนี้เลย!
“ท่านแม่ทัพ นะ…นี่มันเรื่องอะไรหรือขอรับ?!” หูปู้กุยเกาหัวแกรกๆ เอ่ยถามเสียงเบา
หลินหว่านหรงส่ายหน้าเบาๆ สายตาไปอยู่ที่ม่านสีเหลืองนั้น เงียบงันไม่เอ่ยวาจา เหล่าเกาออกแรงถลึงตาใส่หูปู้กุยคราหนึ่ง แยกเขี้ยวอย่างดุดัน ทำปากเป็นสองคำออกมาว่า เจ้าโง่!
หลังจากเขอข่านเอ่ยปาก ถูสั่วจั่วก็ยืนขึ้น ชาวทูเจวี๋ยโดยรอบลุกขึ้นตามอย่างรวดเร็วเช่นกัน ยืนด้วยคาวมเคารพนบนอบอยู่ด้านข้าง
ถูสั่วจั่วกำกำปั้นข้างหนึ่งไว้ตรงหน้าอกแล้วพูดว่า “ท่านข่าน การแข่งขันชิงแพะวันนี้แข่งไปแล้วสี่รอบ มีดินแดนผู้กล้าสี่แห่งที่ได้รับชัยชนะ บุคคลเหล่านี้ล้วนเป็นราษฎรซึ่งจงรักภักดีต่อพระองค์…พี่น้องทั้งหลายอยู่ที่ใด?! รีบแสดงความยินดีต่อท่านข่านเร็ว!”
“เฮ! เฮ!” เหล่าผู้กล้าซึ่งได้รับชัยชนะจากการแข่งขันต่างโบกมือด้วยความตื่นเต้นยินดี แสดงการทักทายต่อเข่อข่านและทุกคน พวกของเหล่าหูด้วยควาจำเป็นบีบบังคับจึงต้องโบกมือสองสามครั้งด้วยความจนใจ
“ดี!” เสียงอ่อนเยาว์นั้นลอยเข้ามา “ประทานแพะให้ดินแดนละห้าสิบตัว”
“ขอบพระทัยท่านข่าน” ถูสั่วจั่วค้อมกายด้วยความเคารพ “เชิญท่านข่านเสด็จขึ้นเวที”
ผ้าม่านโปร่งสีเหลืองทองขยับวูบไหวเล็กน้อย คล้ายมีเงาคนเข้าไปในปะรำพิธี รางเลือน มองเห็นไม่ชัด อ๋องขวาใบหน้าประดับรอยยิ้ม จ้องมองด้วยความรู้สึกเปี่ยมล้น อารมณ์ต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
เป็นท่านข่านน้อยคนนี้ที่เอ่ยวาจามาตลอด กลับไม่ได้ยินเสียงของอวี้เจีย ไม่รู้ว่านางอยู่ที่ใด และยิ่งไม่รู้ว่านางมีความสัมพันธ์อะไรกับข่านน้อยคนนี้อีกด้วย แม่ลูก? อย่ามาล้อเล่นน่า หากอวี้เจียเป็นแม่ของข่านน้อยจริง อย่างนั้นข้าก็เป็นท่านพ่อของมันแล้วล่ะ เลี้ยงเด็กไว้เป็นสามี? ชาวทูเจวี๋ยไม่น่าจะชอบเรื่องนี้นะ เดาไปเดามาก็รู้สึกเลอะเทอะ ดังนั้นจึงคร้านที่จะสนใจทันที ยืนดูอย่างเงียบๆ
ข่านทูเจวี๋ยขึ้นเวทีไปแล้ว เพียงแต่เพื่อความปลอดภัยทั้งสี่ด้านจึงใช้ผ้าม่านสีเหลืองปิดบังเอาไว้ มองไม่เห็นผู้ที่อยู่ข้างใน
เสียงหัวเราะร่วนเบาๆ ลอยเข้ามา บรรดาสาวน้อยทูเจวี๋ยซึ่งเมื่อครู่กำลังรายล้อมอวี้เจียเหล่านั้นก็เดินออกมาจากหลังผ้าม่าน แต่ละคนต่างอารมณ์คึกคักสนุกสนาน มีบางคนที่ใบหน้ายังแต่งแต้มบางๆ เพิ่มพูนความงามขึ้นมาอีกหลายส่วน
ถูสั่วจั่วเบิกตาโต มองประเมินทีละคน มองอยู่ครึ่งค่อนวันกลับไม่เห็นเงาผู้ที่ตนต้องการพบ ใบหน้ามันปรากฏความผิดหวังเล็กน้อย มองไปหลังม่านอยู่หลายครา จากนั้นก็พูดเสียงดังออกมาว่า “ถูสั่วจั่วขอบังอาจทูลถามท่านข่าน วันนี้ยังมีสตรีอื่นที่จะเข้าร่วมการเลือกคู่อีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?!”
คำถามนี้พอเอ่ยออกไป ทั้งสนามก็ต่างเงียบสงัด เหล่าชนเผ่านอกด่านต่างแย่งกันชะเง้อมองไปข้างหน้า ดวงตาฉายแววเป็นห่วง
หลังผ้าม่านเงียบสนิท ผ่านไปเนิ่นนานก็ไม่มีใครตอบ
“ถูสั่วจั่วขอบังอาจทูลถามท่านข่าน วันนี้ยังมีสตรีอื่นที่จะเข้าร่วมการเลือกคู่อีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?!” อ๋องขวาทูเจวี๋ยรีบเดินไปข้างหน้าสองก้าว เชิดหน้าแอ่นอก เอ่ยถามเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง
ที่แท้ในหมู่ชาวทูเจวี๋ยก็ไม่ได้แน่นแฟ้น มิน่าเล่าเจ้าคังหนิงถึงฉวยโอกาสยุแยงได้! หลินหว่านหรงยิ้มหยันไม่เอ่ยวาจา เห็นได้ชัดว่าเจ้าถูสั่วจั่วคนนี้กำลังบีบบังคับให้มอบอำนาจ แม้ไม่รู้ว่าอวี้เจียมีความสัมพันธ์อันใดกับข่านน้อยคนนี้ และไม่รู้ว่าเหตุใดอวี้เจียถึงไม่ออกมาเลือกคู่ แต่หากต้องให้เขาเลือกระหว่างอวี้เจียกับถูสั่วจั่ว คนโง่ก็ยังรู้ว่าต้องเลือกฝ่ายไหนถึงจะดี
ชาวทูเจวี๋ยที่อยู่โดยรอบอ้าปากกว้าง มองหลังผ้าม่านโปร่งสีเหลืองทองนั้นตาปริบๆ เห็นได้ชัดว่ากำลังรอผลที่จะเกิดขึ้นอยู่
หลังจากถูสั่วจั่วถามต่อเนื่องสองครั้ง ไม่เห็นมีผู้ใดตอบ ขณะกำลังจะเยื้องย่างเข้าไปอีก กลับได้ยินเสียงขวับคราหนึ่ง ผ้าม่านโปร่งสีเหลืองนั้นลูกเลิกขึ้นครึ่งหนึ่ง เสียงเด็กน้อยกระจ่างใสแว่วออกมา “อ๋องขวา นี่เจ้ากำลังตั้งคำถามกับท่านข่านเช่นข้าหรือ?!”
ในที่สุดก็ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของข่านน้อยทูเจวี๋ยคนนี้แล้ว นี่เป็นเด็กชายอายุราวห้าหกขวบคนหนึ่ง คิ้วหนาตาโต ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งประกาย สวมชุดชนเผ่านอกด่านสีเหลืองทองทั้งร่าง สะพายดาบโค้งที่เอว กำลังขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามอ๋องขวา
“เจ้าเด็กนี่แข็งแรงกำยำ กลับมีบุคลิกของข้าสมัยก่อนอยู่บ้าง” เหล่าเกาพูดพึมพำกับตนเอง
ชาวทูเจวี๋ยชิงหมอบกราบกรานกับพื้น แสดงความเคารพต่อเข่อข่าน ถูสั่วจั่วกลับปราศจากความเกรงกลัว มันส่ายหน้าพร้อมเอ่ยเสียงดัง “ท่านข่านน้อย ถูสั่วจั่วขอบังอาจทูลถาม วันนี้ยังมีสตรีอื่นที่จะเข้าร่วมการเลือกคู่อีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เจ้าถูสั่วจั่วคนนี้ช่างบังอาจเสียจริง กลับกล้าเรียกเจ้าเด็กน้อยนั่นว่าท่านข่านน้อยต่อหน้าผู้คนจำนวนมากขนาดนี้ได้ นี่ถ้าไม่ใช่การรังแกคนอายุน้อยกว่าแล้วจะเรียกว่าอะไรกัน? ขุนนางทรราชต้นตำรับของแท้! หลินหว่านหรงแค่นเสียง
เมื่อมองข่านน้อยผู้นั้นอีกครา แม้สีหน้าจะสงบเยือกเย็น การเอ่ยวาจาก็ปราศจากพิรุธ แต่สุดท้ายแล้วอายุก็ยังน้อยเกินไป เมื่อถูกถูสั่วจั่วไล่บี้ถามก็นั่งถอยหลังโดยไม่รู้ตัว สายตาเผยแววหวาดกลัวอยู่หลายส่วน
มือน้อยข้างหนึ่งยื่นออกมาจากจากที่สูงทางด้านหลังแล้วจับมือข่านน้อยเอาไว้บริเวณข้อมือขาวสะอาดเผยชายแขนเสื้อสีเหลืองทองเล็กน้อย สีของอาภรณ์นั้นกลับยังสว่างเจิดจ้ากว่าข่านน้อยอยู่หลายส่วน
“ถูสั่วจั่ว นี่เจ้ากำลังพูดกับใคร?!” เสียงกระจ่างใสเสียงหนึ่งลอยล่องเข้ามาไม่เร็วไม่ช้า เห็นๆ อยู่ว่าเสียงนั้นไม่ดัง ทว่ากลับกรอกเข้าใบหูทุกคนที่อยู่ในทุ่งหญ้าอย่างชัดเจน
“อวี้เจีย!” เหล่าเกาตกใจจนแทบกระเด้งตัวลอย รีบปิดปากทันที แอบมองน้องหลินคราหนึ่ง หลินหว่านหรงสายตาเรียบเฉย สีหน้าสงบนิ่ง คล้ายไม่ได้ยินคำพูดเขา
ฝูงชนระเบิดเสียงโห่ร้องยินดี แม้จะยังไม่เห็นโฉมหน้าอวี้เจีย แต่กลับมีควนจำนวนนับไม่ถ้วนคุกเข่าลงไปด้วยความเคารพ ยังรุนแรงกว่าการกราบกรานให้ข่านน้อยเมื่อครู่มากนัก
ถูสั่วจั่วหมอบกราบลงกับพื้น รีบแสดงการคารวะ เคารพนบนอบกว่าเมื่อครู่เป็นร้อยเท่า มันมีสีหน้าสงบนิ่ง ปราศจากความหยิ่งผยองเมื่อครู่ แฝงความตื่นเต้นยินดีออกมาให้เห็นรางๆ
หรือว่าสถานะของอวี้เจียยังสูงส่งกว่าข่านน้อยอีก?! หลินหว่านหรงตกใจจนไม่อาจสรรหาถ้อยคำมาบรรยาย นึกถึงช่วงเวลาที่ทั้งสองอยู่ร่วมกันขึ้นมาทันที ใบหน้าที่บางครั้งก็หนักอึ้งบางครั้งก็ยินดี ภายในใจเขามักบังเกิดความรู้สึกที่ยากจะบรรยายได้บางอย่างอยู่รางๆ
ครั้นนึกถึงเข็มของอันปี้หรูก็อดทอดถอนใจไม่ได้ สายตาของพี่สาวอันช่างเผ็ดร้อนเหลือแสนเสียจริง
“รีบดูเร็ว อวี้เจียจะออกมาแล้ว!” เกาฉิวชี้ไปข้างหน้า ตะโกนด้วยความตกใจ
ผ้าม่านค่อยๆ ถูกดึงขึ้น เวทีสูงนั้นปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคนจนหมดสิ้น
พรมสีแดงขนาดยักษ์ปูอยู่กึ่งกลาง กลางพรมตั้งบัลลังก์ทูเจวี๋ยขนาดกว้างและสูงใหญ่ไว้ บนบัลลังก์ปูหนังเสือสีทองหลายผืน กว้างใหญ่เหลือคนา สีทองระยิบระยับจับตา สิ่งที่น่าแปลกก็คือบัลลังก์นั่นกลับแบ่งเป็นสองชั้น ชั้นที่อยู่ด้านบนสูงกว่าด้านล่างหนึ่งข้อเท้า
ข่านน้อยนั่งอยู่ข้างล่าง ที่นั่งประมุขที่อยู่ด้านบนกลับมีสตรีผู้งดงามกำลังนั่งอย่างสง่างามนางหนึ่ง
ยามนี้นางเอาผ้าคลุมหน้าออกไปแล้ว ผิวขาวกระจ่างใสราวกับบัวหิมะเทียนซาน โครงหน้าอันงดงามทำให้ใบหน้าด้านข้างของนางเผยความอ่อนโยนเล็กน้อย
เมื่อมองใบหน้าด้านตรง ผมงามดั่งเมฆาเกล้าขึ้นสูง ศีรษะรัดแถบฉลุลายสีทองอย่างแน่นหนา พู่ระย้าสองสายแกว่งไกวเบาๆ สูงศักดิ์สง่างาม ดั้งจมูกสูงโด่ง ริมฝีปากสีชาดหยักยกเล็กน้อย กอปรด้วยรอยยิ้มที่เหมือนมีเหมือนไม่มี เฉกเช่นนิสัยดื้อดึงไม่ยอมคนของนาง ดวงตาล้ำลึกดั่งวารียามฤดูสารท ภายในความดำขลับแฝงสีฟ้าอ่อนรางๆ สาดประกายเย็นเยียบเล็กน้อย
ใบหน้าของนางผัดแป้งสีทองบางๆ งามยั่วยวนและมีเอกลักษณ์เฉพาะ เปล่งประกายเจิดจรัสใต้แสงตะวัน คิ้วบางทั้งสองข้างทาสีเข้มบริเวณหางตาแล้วออกแรงปัดโค้งขึ้น ประหนึ่งดาบโค้งที่ออกจากฝัก เย็นเยียบมากบารมีโดยปราศจากข้อกังขา
ชุดกระโปรงชนเผ่านอกด่านยาวไปจนถึงสองข้างบัลลังก์ แผ่สยายราวกับเมฆา เจิดจรัสยิ่งกว่าดวงตะวัน
หูปู้กุยถอนหายใจพร้อมกล่าวพึมพำ “เป็นอวี้เจีย เป็นอวี้เจียจริงด้วย! นางยังนั่งสูงกว่าข่านน้อยเสียอีก!”
อวี้เจียใบหน้าประดับรอยยิ้ม มือขวากุมดาบทอง มือซ้ายจับมือของข่านน้อยเอาไว้ ทั้งสองค่อยๆ ยืนขึ้น
“เฮ!” ชาวทูเจวี๋ยที่อยู่โดยรอบกรูเข้าไปราวกับบ้าคลั่ง พยายามร้องตะโกนอย่างเอาเป็นเอาตาย คุกเข่าหมอบกราบกรานอยู่บนพื้นหญ้าใต้เท้าคนทั้งสองรอบด้านมีแต่ฝูงชนอันบ้าคลั่ง เสียงร้องเรียกอันบ้าคลั่ง ทั้งทุ่งหญ้าเหมือนน้ำในหม้อที่ต้มจนเดือดพล่าน
“บ้าไปแล้ว บ้ากันหมดแล้ว!” เหล่าเกาส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ
หูปู้กุยสีหน้าเหม่อลอย เบิกตาโตจนเท่าไข่ห่าน ปากบัดเดี๋ยวอ้าบัดเดี๋ยวหุบ พูดพึมพำอะไรบางอย่าง
รอบด้านต่างเป็นเสียงโห่ร้อง ดังจนหูแทบหนวก คำพูดของชนเผ่านอกด่านหลินหว่านหรงฟังไม่เข้าใจแม้แต่ประโยคเดียว ดังนั้นจึงออกแรงตบร่างเหล่าหูคราหนึ่งพร้อมเอ่ยถามเสียงดัง “พี่หู พวกมันตะโกนเรียกอวี้เจียว่าอะไร?!”
หูปู้กุยหน้าซีดเผือด ส่ายหน้าอย่างแรง พูดพึมพำออกมาว่า “ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเชื่อ พวกมันเรียกนางว่า…ท่านข่านใหญ่!”