ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 596 ผู้ใดจะฉลาดยิ่งกว่าเจ้า
รู้ทั้งรู้ว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์จำตนเองไม่ได้ แต่เขาก็ยังอดก้มหน้าโดยไม่รู้ตัวอยู่ดี กลั้นลมหายใจ ไม่กล้าพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ
ข่านใหญ่ผงกศีรษะเบาๆ สายตากวดามองทุกคน ปราศจากการหยุดยั้งแม้แต่น้อย นางยิ้มแย้มพลางโบกมือให้ราษฎรที่อยู่ข้างหน้า ชาวทูเจวี๋ยโห่ร้องกระโดดโลดเต้น อาการเหมือนใกล้เสียสติ
อยู่ใกล้มาก หลินหว่านหรงรับรู้ได้กระทั่งเสียงหัวใจเต้นอันสงบนิ่งเป็นธรรมชาติของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ปราศจากการกระเพื่อมไหวใดๆ ราวกับน้ำในทะเลสาบซึ่งอยู่ในส่วนลึกของทุ่งหญ้า
อยู่ใกล้แค่คืบ ทว่าเหมือนดั่งอยู่สุดขอบฟ้า ยากจะพรรณนาออกมาได้
จวบจนเงาร่างของข่านใหญ่ค่อยๆ หายลับไปในฝูงชนที่อยู่ไกลออกไป เขาถึงพ่นลมหายใจยาวออกมาราวกับปลดภาระอันหนักอึ้งออกไป เกาฉิวส่ายหน้า แล้วเอ่ยด้วยความสงสัย “แปลกจัง เยวี่ยหยาเอ๋อร์ลืมพวกเราจริงๆ หรือ? โดนของแล้ว!”
“โดนของอะไรเล่า? ลืมแล้วไม่ดีหรอกหรือ” หลินหว่านหรงหัวเราะ “หรือว่าท่านยังอยากให้นางนำทหารมาจับตัวข้า?!”
อวี้เจียพาข่านน้อยเดินอย่างแช่มช้าไปตลอดทาง เมื่อพบคนในเผ่าก็จะหยุดอยู่ครู่หนึ่ง สนทนากับพวกมันสักหลายประโยค แม้การแข่งขันชิงแพะจะหยุดแข่ง แต่บรรยากาศกลับมีแต่เพิ่มพูนไม่ได้ลดทอนลงไปเลย ถูสั่วจั่วติดตามอยู่ข้างหลังคนทั้งสอง คุ้มกันตลอดเส้นทาง กลับทำหน้าที่อย่างเต็มที่
จวบจนอวี้เจียจูงข่านน้อยกลับขึ้นไปบนปะรำพิธี บรรยากาศอันแสนจะคึกคักบนทุ่งหญ้าถึงค่อยๆ สงบลง ชาวทูเจวี๋ยสุมหัวกระซิบกระซาบกันด้วยความตื่นเต้นสิ่งที่วิพากษ์วิจารณ์ยังไม่ใช่ท่านข่านน้อยผู้เป็นมิตรใกล้ชิดสนิทสนมอีกหรือ ได้รับการสนับสนุนจากราษฎร การกระทำครั้งนี้ อวี้เจียแทบจะไม่ได้ออกแรงก็คลี่คลายการบีบคั้นจากอ๋องขวาได้แล้ว
เมื่อเห็นราษฎรทูเจวี๋ยซึ่งตื่นเต้นยินดีเป็นล้นพ้นเพราะได้รับเสด็จท่านข่านเหล่านั้น สถานะของพี่น้องอวี้เจียภายในใจชาวทูเจวี๋ยเห็นเป็นที่ประจักษ์ หลังจากพ่ายแพ้ต่อเนื่องหลายครั้ง สีหน้าของถูสั่วจั่วก็ออกจะย่ำแย่อยู่บ้าง
มันเงียบงันอยู่นาน ในที่สุดก็ออกมาอีกครั้ง ก้าวไปยังกึ่งกลางทุ่งหญ้า ใช้มือเดียวแนบหน้าอก พูดเสียงดังออกมาว่า “ทูลท่านข่านใหญ่ บัดนี้การแข่งขันชิงแพะจะดำเนินต่อไปอีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?!”
เสียงของมันราวกับระฆังใหญ่ เข้าสู่ใบหูของทุกคนบนทุ่งหญ้า ชาวทูเจวี๋ยจึงกลั้นลมหายใจอีกครา คอยฟังวาจาของท่านข่าน
หูปู้กุยหัวเราะฮิฮะ พูดเสียงกดต่ำ “เจ้าหนุ่มถูสั่วจั่วคนนี้ถูกอวี้เจียเล่นงานเข้าแล้ว ตอนนี้รู้จักทำตัวว่าง่าย ไม่กล้าบีบให้นางเข้าร่วมการเลือกคู่แล้ว“
“ก็ไม่แน่!” หลินหว่านหรงส่ายหน้ากล่าวเสียงทุ้มหนัก “คนอย่างถูสั่วจั่วนี้ ตอนที่มันเห่าหอนอย่างบ้าคลั่งกลับปลอดภัย เมื่อมันเงียบเข้าจริง นั่นหมายความว่าอันตรายมาถึงแล้ว ข้าคิดว่าอวี้เจียไม่มีทางไม่รู้สึก”
หลังผ้าม่านโปร่งสีเหลืองทองเงียบงันไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ขณะที่ทุกคนกำลังรอคอยด้วยความกระวนกระวาย ทันใดนั้นก็มีเสียงเยาว์วัยกระจ่างชัดของข่านน้อยลอยออกมา “อ๋องขวารอสักครู่”
รอสักครู่? รออะไร? นี่ไม่ใช่แค่ถูสั่วจั่วจะไม่เข้าใจ แต่เป็นความสงสัยของทุกคนด้วยเช่นกัน
ใต้ปะรำพิธียาวพลันมีสาวน้อยทูเจวี๋ยซึ่งสวมชุดหรูหราจำนวนนับไม่ถ้วนกรูออกมา พวกนางร่วมแรงกันยกพรมสีแดงขนาดยักษ์ผืนหนึ่ง ค่อยๆ เคลื่อนที่มาเบื้องหน้า บนพรมใช้ผ้าไหมสีทองคลุมอยู่ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าข้างใต้ซุกซ่อนด้วยสิ่งใด
ขณะที่หลินหว่านหรงกำลังมองอย่างสงสัย เหล่าสาวน้อยทูเจวี๋ยกลับหยุดชะงัก
“ปู๊น!” เสียงแตรสัญญาณสั้นและกระชั้นดังขึ้น บริเวณกึ่งกลางผ้าไหมสีเหลืองพลันนูนขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็มีเสียงตึงดังขึ้นมาคราหนึ่ง กลองหนังแพะสะเทือนเลื่อนลั่นกระแทกจิตใจทุกคนประดุจอสุนีบาตยามวสันต์ บริเวณกึ่งกลางทุ่งหญ้ามีขาตั้งไม้ขนาดยักษ์ค่อยๆ ขยับขึ้นมา กึ่งกลางขาตั้งไม้นั้นวางดาบโค้งอย่างงามสง่าอยู่หนึ่งเล่ม งดงามประณีตสูงค่า เปล่งประกายสีทองสะดุดตาใต้แสงตะวัน
“เป็นดาบทองของอวี้เจีย!” เกาฉิวตกใจ
พูดยังไม่ทันขาดคำก็เห็นผ้าไหมสีทองที่อยู่กึ่งกลางนั้นถูกดึงขึ้นอย่างแช่มช้า สิ่งที่ปรากฏให้เห็นแรกสุดก็คือแขนงามที่ชูขึ้นสูงข้างหนึ่ง นิ้วมือเรียวยาวบัดเดี๋ยวหุบบัดเดี๋ยวชู เปลี่ยนแปลงไปมาไม่หยุด ราวกับมยุราผู้หยิ่งผยองซึ่งกำลังแหงนหน้าร่ายรำให้ท้องฟ้าตัวหนึ่ง เล็บมือสีทองเปล่งประกายเจิดจรัสถายใต้แสงอาทิตย์
เสียงกลองเร็วรี่ ผ้าไหมสีทองถูกดึงออกไป มีแต่สีแดงเพลิงและสีทองอยู่เต็มไปหมด สตรีนางหนึ่งกระโดดขึ้นอย่างเร็วรี่ เรือนร่างอันน่าลุ่มหลงกรีดเป็นตัวอักษร “大” งดงามกลางอากาศ ราวกับเทพธิดาฉางเอ๋อที่เหินร่างลงมาจากฟากฟ้าสุราลัย ท่วงท่าอันงดงามนั้นอ่อนนุ่มนิ่มอรชรอ้อนแอ้น พุ่งกระโดดขยับหมุน ระหว่างร่ายรำบางคราก็จำแลงร่างเป็นนกยูงผู้หยิ่งผยอง บางคราก็เป็นดอกนุ่นที่ผลิบานเต็มที่ สำแดงความยวนเย้าพราวเสน่ห์และเปี่ยมล้นด้วยความรักของสาวน้อยแห่งทุ่งหญ้าออกมาจนหมดสิ้น สาวน้อยทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนร่ายรำอยู่รอบกายนาง เปล่งเสียงขับขาน เพลงรักก้องกังวานกระจ่างใสแพร่ไปทั่วทุ่งหญ้า
ทุกคนต่างมองอย่างเหม่อลอย ไม่ว่าจะเป็นชาวทูเจวี๋ยหรือว่าชาวต้าหัว น้ำลายของเหล่าเกาไหลหยดลงแหมะๆ
ครั้งแรกที่เห็นอวี้เจียร่ายรำ กลับเป็นเหตุการณ์เช่นนี้ สวรรค์ช่างเล่นตลกเสียจริง! หลินหว่านหรงส่ายหน้าอับจนในถ้อยคำ
ท่ามกลองเสียงกลองอันกึกก้อง เยวี่ยหยาเอ๋อร์พลันหยุดท่าร่างอันงดงาม นัยน์ตางามพิลาสเปล่งประกายเย็นเยียบ กุมดาบทองที่อยู่บนขาตั้งไม้พร้อมออกแรงเล็กน้อย ขาตั้งไม้ขนาดยักษ์นั้นค่อยๆ ยกขึ้น ดาบโค้งสีทองพลันลอยขึ้นสูง กลายเป็นจุดรวมสายตาของทุกคน
“เฮ!” ชาวทูเจวี๋ยซึ่งเหมือนพึ่งตื่นจากห้วงแห่งความฝันระเบิดเสียงโห่ร้องยินดีดังเสียงอสุนีบาต พวกมันกวัดแกว่งดาบม้าขึ้นสูง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น แม้แต่ทูเจวี๋ยอ๋องขวาผู้เงียบงันก็ยังชูแขนกู่ร้องเสียงดังด้วยความยินดี ส่งเสียงคำรามไม่หยุด ความบึ้งตึงบนใบหน้าปลาสนาการไปสิ้นตั้งแต่แรก
ข่านใหญ่ทูเจวี๋ยจะชิงแพะเลือกคู่แล้ว!
ดาบทองซึ่งแขวนอยู่บนที่สูงกลางทุ่งหญ้าเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกสิ่งแล้ว
หลินหว่านหรงถอนหายใจยาว ทว่าในใจกลับชื่นชมอย่างยิ่งยวด นี่คือสตรีที่ชาญฉลาดกอปรด้วยสติปัญญาอย่างแท้จริง การแสดงที่นางแสดงต่อหน้าชาวทูเจวี๋ยวันนี้ อาจพูดได้ว่านางใช้ฝีมือทั้งสองด้านออกมาจนหมดสิ้น
แข็งกร้าวดึงดันละดูแคลนต่อหน้าอ๋องขวา สูงส่งทว่าอ่อนโยนต่อหน้าประชาชี เชื่อว่าชาวทูเจวี๋ยที่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ไม่มีผู้ใดที่จะลืมเลือนนาง อ๋องซ้ายอ๋องขวาอะไรที่ว่า ช่วงเวลานี้ล้วนถูกเปรียบเทียบให้ด้อยค่าลงไป
สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกเหนือความคาดหมายมากที่สุดกลับเป็นการออกทัพพิสดารอย่างกะทันหันของนาง แขวนดาบทอง ชิงแพะเลือกคู่
ไม้นี้เกรงว่าตัวของถูสั่วจั่วซึ่งได้รับความกระทบกระเทือนก็ยังคาดไม่ถึง เห็นชัดว่าข่านใหญ่ทูเจวี๋ยรู้สถานการณ์รอบตัวเป็นอย่างดี ขณะที่ไม่อาจผิดใจกับถูสั่วจั่ว การใช้ไม้แข็งและเพิ่มความหวานชื่นหลังจากนั้นของนาง ไม่เพียงได้ชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ต่อหน้าคนในเผ่าเท่านั้น ยังยิ่งสลายความเคียดแค้นของอ๋องขวาให้สลายไปอีกด้วย
“ดาบทองออกมาแล้ว อวี้เจียจะชิงแพะเลือกคู่แล้ว!” เหล่าหูเงียบงันอยู่ครึ่งค่อนวัน มองแม่ทัพหลินอย่างระแวดระวังหลายคราพร้อมพูดกดเสียงต่ำ
เหล่าเกายิ่งส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง “อวี้เจียทำอะไรน่ะ สู้การใช้อำนาจบีบเค้นของถูสั่วจั่วไม่ได้เลยนะ! ครานี้ดีเลย ได้เปรียบเจ้าหน้าขาวทูเจวี๋ยนั่นแล้ว”
หลินหว่านหรงตบบ่าเหล่าเกาพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าในน้ำเต้าอวี้เจียขายยาอะไร แต่ข้ามั่นใจว่าถูสั่วจั่วไม่มีทางได้เปรียบโดยง่ายแน่นอน หากเอ่ยถึงความฉลาด มันกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์ห่างกันถึงหนึ่งแสนแปดหมื่นลี้”
เกาฉิวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อันที่จริงข้าก็รู้สึกเช่นนี้มาตลอด เยวี่ยหยาเอ๋อร์กับน้องหลินถึงจะเหมาะสมกันที่สุด ไม่ใช่แค่สถานะ ความฉลาดและสติปัญญาเท่านั้น แม้แต่ฝีมือในการเล่นละคร สีหน้าท่าทางในการพูดจา…ดู ดู ท่าทางที่เจ้าถลึงตามองข้ากับท่าทางที่อวี้เจียถลึงตามองเจ้าราวกับพิมพ์เดียวกัน น้องหลินลองพิจารณาข้อเสนอของข้าสักหน่อย ใช้เสน่ห์ของเจ้าแพร่พันธุ์ รวบรวมทุ่งหญ้าให้เป็นหนึ่งเดียวเถอะ!“
ไอ้เจ้านี่! เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองข้ากับข้ามองเจ้า นั่นมันเป็นสายตาแบบเดียวกันหรือ? เจ้าคนนี้กลับคิดแต่เรื่องเบื้องต่ำอยู่ตลอดเวลา หลินหว่านหรงใบหน้าเผยรอยยิ้ม อดส่ายหน้าไม่ได้
หูปู้กุยกล่าวด้วยความรู้สึกทอดถอนใจยิ่ง “วิธีของเหล่าเกาแม้จะสกปรกไปบ้าง แต่ท่านแม่ทัพ โปรดอภัยที่ข้าน้อยกล่าวตามตรง สองวันนี้ไม่เห็นท่านหัวเราะเลยขอรับ!“
“อย่างนั้นหรือ?” หลินหว่านหรงเบิกตากว้าง ผงกศีรษะแล้วเอ่ยว่า “นั่นอาจเพราะช่วงหลายวันก่อนหัวเราะมากเกินไป หนังหน้าตึง พักฟื้นสองวันก็หายแล้ว”
เหล่าเกาแอบถุยคราหนึ่ง ต่อให้ฉางเฉิง[1]ถล่ม หนังหน้าเจ้าก็ไม่มีทางตึงหรอก!
ถูสั่วจั่วที่อยู่ทางนั้นครั้นเห็นอวี้เจียถือดาบทองออกมา แสดงให้เห็นว่าต้องการเข้าร่วมเลือกคู่ มันก็ยินดีเป็นล้นพ้นทันที รีบคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ควักดาบเงินออกมาจากอกแล้วชูขึ้นเหนือศีรษะ ส่งมอบถึงหน้าท่านข่านใหญ่
นี่คือกฎของชาวทูเจวี๋ย การมอบดาบเงินแสดงว่าอ๋องขวาดาบเงินเข้าร่วมชิงแพะเลือกคู่ก็เพื่อท่านข่านใหญ่ดาบทอง ต่อให้สาวน้อยที่มาเลือกคู่คนอื่นถูกใจอ๋องขวาก็ต้องเดินอ้อมจากไป เพื่อแสดงความจริงใจของถูสั่วจั่ว
อวี้เจียยิ้มแย้มพลางผงกศีรษะ แสดงว่ายอมรับให้อ๋องขวาเป็นผู้ที่ต้องการไขว่คว้าตนเอง มีสาวน้อยทูเจวี๋ยรับดาบเงินของถูสั่วจั่วไปแล้ว แม้สถานะของอ๋องขวาจะสูงส่ง แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้าดาบทองกลับต่างกันยิ่งนัก
ดาบเงินเล่มนั้นวางอยู่ข้างโต๊ะไม้
เมื่อมีถูสั่วจั่วเป็นตัวอย่าง ดินแดนใหญ่ซึ่งมีความกล้าอีกหลายดินแดนจึงกรูกันเข้ามาแสดงจิตใจอันเทิดทูนต่อท่านข่านใหญ่ของพวกมันด้วยเช่นกัน แสดงเจตนาว่าจะเป็นผู้ที่ต้องการไขว่คว้านาง ข่านใหญ่ต่างน้อมรับทีละคน
อ๋องขวามั่นใจต่อกำลังของตนเองมาก มันเชิดหน้ามองอยู่ด้านข้างพลางยิ้มแย้ม ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
เหล่าเกาเบิกตาโตพร้อมพูดว่า “สมกับคำว่าดรุณแช่มช้อยงดงาม วิญญูชนต่างไขว่คว้าเสียจริง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นข่านหญิงผู้แสนจะงดงามเช่นนี้อีก เหล่าหู พวกเราจะไปแสดงความในใจบ้างหรือไม่?!”
“นี่ไม่ต้องกระมัง” หูปู้กุยมองหลินหว่านหรงแวบหนึ่ง หัวเราะพร้อมเอ่ยว่า “หากไปแสดงความจริงใจก็หมายความว่านอกจากข่านใหญ่ดาบทองก็ไม่อาจวิวาห์เชื่อมสัมพันธ์กับดินแดนอื่นได้อีก เพียงแต่พวกมันยังร่วมแข่งกับพวกเราได้ ยิ่งไปกว่านั้น ข่านใหญ่ไม่จำเป็นต้องชอบผู้กล้าจากดินแดนใหญ่ทั้งหลายเหล่านี้ ไม่แน่ว่าผู้ชนะคราวนี้อาจเป็นดินแดนเล็กก็ได้”
หลินหว่านหรงกล่าวเสียงทุ้มหนัก “พี่หู พี่เกา พวกท่านจำคำของข้าเอาไว้ เป้าหมายคือการเข้าเมือง ไม่ใช่ชิงที่หนึ่ง! อันดับยิ่งสูง ผู้ที่จับจ้องพวกเขาก็ยิ่งมาก ความเป็นไปได้ที่จะเผยตัวก็มากขึ้นด้วย พวกเราเพียงสู้ชนะสามรอบ มีคุณสมบัติในการเข้าเมืองก็พอแล้ว ไม่ต้องสู้เพิ่มอีกรอบ!”
“ตกลง!” ทั้งสองตอบพร้อมกัน
ขณะที่สนทนา ถูสั่วจั่วก็ถอยออกไปเปลี่ยนชุดตั้งแต่แรกแล้ว ชาวทูเจวี๋ยปิดหน้าชิงแพะก็เพื่อความยุติธรรม อ๋องขวาปิดบังใบหน้าก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันหลบซ่อนอยู่ที่ใดแล้ว
คราวนี้กลับถึงตาหลินหว่านหรงกังวลบ้าง คนปิดบังใบหน้าเต็มไปหมด แล้วใครจะรู้ว่าถูสั่วจั่วอยู่ที่ไหน? แล้วใครจะรู้ว่ามันจะโผล่มาตอนไหนอีก? มีแค่ลงสนามรบเพื่อชิงแพะเท่านั้นถึงจะแยกแยะเงาร่างมันออก แต่ถึงเวลาจดจำมันได้ บางทีอาจสายไปแล้ว นี่คือการแข่งขันสู้ตะลุมบอนบวกการคัดออก แพ้รอบหนึ่งก็เท่ากับงานล่มก่อนที่จะสำเร็จ
ครุ่นคิดอยู่นาน ทันใดนั้นเขาก็กัดฟันกรอดแล้วเอ่ยว่า “พี่หู ท่านไปจับสลาก พวกเราไปสู้กันอีกรอบหนึ่ง ทันที เดี๋ยวนี้!”
เหล่าหูตกใจ “ท่านแม่ทัพ เหตุใดถึงไม่รอให้ถูสั่วจั่วออกโรงไปแล้วค่อยเข้าร่วมขอรับ? แบบนั้นจะได้หลบเลี่ยงมันได้!”
หลินหว่านหรงส่ายหน้าด้วยท่าทีเคร่งขรึม ชี้ไปยังผู้กล้าที่ปิดบังหน้าตานับพันบนสนาม “พี่หู ข้าพูดด้วยความมั่นใจได้ว่าคนจำนวนสิบในสิบในสนามห่งนี้ต่างมีความคิดเช่นเดียวกับท่าน ทุกคนต่างรอให้ถูสั่วจั่วออกโรง หวังว่าจะหลีกเลี่ยงมัน ท่านว่าถึงเวลาจะเป็นเช่นไร?”
หูปู้กุยคิดแล้วคิดอีก พลันตระหนักขึ้นมาในทันที ทุกคนต่างคิดจะหลีกเลี่ยงอ๋องขวา ถึงเวลาดินแดนนับร้อยต่างเบียดเสียดกันไปที่ไม้ท่อนเดียว หากไม่เข่นฆ่าจนคนพลิกหงายตกจากหลังม้า คมดาบปรากฏโลหิต ย่อมไม่มีวันเลิกราแน่นอน หากเช่นนั้นกลับจะอันตรายมากที่สุด
“ถูสั่วจั่วหาใช่คนหุนหันพลันแล่น มันเริ่มออกรบตั้งแต่อายุสิบสาม รบครั้งน้อยใหญ่มานับไม่ถ้วน ช่วงเวลาที่ข่านใหญ่ทูเจวี๋ยต้องการเข้าร่วมงานชิงแพะเลือกคู่ ทุกคนต่างมีจิตใจตื่นเต้นคึกคัก ข้าว่ามันไม่มีทางลงสนามด้วยความหุนหัน อย่างน้อยก็ต้องดูลาดเลาสักรอบหนึ่งก่อน ดังนั้นการเป็นฝ่ายลงมือก่อนกลับเสี่ยงน้อยที่สุด พี่หู ท่านไปเร็ว!”
ช่วงเวลาสำคัญไม่อาจลังเลแม้แต่น้อย เหล่าหูพุ่งไปอย่างรวดเร็ว ครู่หนึ่งก็จับสลากกลับมา ครานี้ไม่ใช่กลุ่มเป็ดแล้ว ชื่อน่าฟังมาก เรียกว่าอีลี่ซา
อีลี่ซา? นั่นมันไม่ใช่ดอกกุหลาบหรอกหรือ? หลินหว่านหรงรู้สึกขบขันอยู่บ้าง พลันนึกถึงสิ่งที่เยวี่ยหยาเอ๋อร์พูดในค่ำคืนนั้น ช่วงนี้คือฤดูที่อีลี่ซาเบ่งบานเต็มที่บนทุ่งหญ้าพอดี นางเป็นข่านใหญ่ การเก็บรวบรวมดอกกุหลาบนับหมื่นดอกเพื่อให้ได้ความสุขน่าจะเป็นเรื่องง่ายดายกระมัง
ยืนอยู่ที่จุดเริ่มต้น ดึงผ้าคลุมหน้าลงมา เหลือบมองไปโดยไม่เจตนา เห็นเพียงว่าข้างกายข่านใหญ่ทูเจวี๋ยผู้นั้นมีอีลี่ซาช่อมหึมาอยู่ สีแดงสดสะดุดตา งดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้
เขาตะลึงงัน เมื่อเห็นคนที่กอดช่อดอกไม้ซึ่งกำลังยืนข้างกายอวี้เจียกลับอดหัวเราะพรวดออกมาไม่ได้ แม้จะปิดบังใบหน้า แต่เขาก็ยังมองออกเพียงปราดเดียวอยู่ดี นั่นก็คืออ๋องขวาถูสั่วจั่วแห่งทูเจวี๋ย ข้าก็ว่าทำไมหามันไม่เจอ ที่แท้เจ้าหนุ่มนี่ก็วิ่งแจ้นไปมอบดอกไม้ให้อวี้เจียนี่เอง ครานี้ก็วางใจได้แล้ว
“งานชิงแพะเริ่มต่อไปได้ ขอเชิญท่านข่านน้อยเสด็จตัดเชือก” เสียงของนักบวชทูเจวี๋ยดังแว่วมาแต่ไกล
ซ่าเอ่อร์มู่ยืนขึ้น ขณะกำลังจะเดินขึ้นบนเวทีสูง เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็ผลักดอกไม้ของอ๋องขวาออกไป ดึงซ่าเอ่อร์มู่ไว้แล้วกระซิบข้างใบหูเขาเบาๆ หลายประโยค
ข่านน้อยรีบหยุดฝีเท้าพร้อมผงกศีรษะเล็กน้อย ยื่นมือไปหยิบคันศรโค้งสีทองมาหนึ่งคัน คันศรมีขนาดไม่ใหญ่โต แต่แทบจะบังตัวเขาจนหมด
ทำตามคำสั่งของพี่สาว ลูกเกาทัณฑ์สีทองพาดบนสาย ซ่าเอ่อร์มู่แม้จะมีอายุเยาว์ ทว่าพละกำลังกลับมากยิ่งนัก น้าวคันศรอย่างเต็มที่ เสียงดังพรึบคราหนึ่ง เกาทัณฑ์สีทองกรีดนภาออกไปพร้อมเสียงหวีดหวิว
ฉึก! ถูกกึ่งกลางเชือกพอดี ร่างแพะซึ่งมีน้ำหยดร่วงลงในบัดดล
ชนเผ่านอกด่านที่มีอยู่เนืองแน่นต่างนิ่งอึ้งกันก่อน จากนั้นก็โห่ร้องยินดีดั่งสนั่น การกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดีอย่างรุนแรงทำให้สวรรค์ยังต้องถล่มลงมา
อวี้เจียเอยอวี้เจีย ผู้ใดจะฉลาดยิ่งกว่าเจ้าอีก?!
ไม่ทันแม้แต่จะทอดถอนใจ ม้าเร็วที่อยู่ใต้ร่างเขาก็พุ่งปราดออกไปราวกับเกาทัณฑ์แล้ว!
——
[1] ฉางเฉิง หมายถึง กำแพงเมืองจีน