ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 599 - 2 ชิงท่านข่าน
เมื่อคำพูดของข่านน้อยหลุดออกมา ถูสั่วจั่วอึ้งเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง ในเผ่ามันมีคนวิ่งออกมาข้างหน้าแล้ว นำรายชื่อของแต่ละชนเผ่าที่ได้รับชัยชนะมาตรงหน้ามัน
อ๋องขวาพลิกอ่านไปหลายหน้า จากนั้นจึงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังแล้วพูดว่า “เหลือแค่เยวี่ยซื่อเล็กๆ เพียงแห่งเดียวเท่านั้นเอง พวกมันขวัญฝ่อตั้งแต่แรก ไม่กล้าลงสนามไปแล้ว…”
“ใครบอกว่าพวกเราไม่กล่าลงสนาม?! ไป!” หูปู้กุยตวาดด้วยภาษาทูเจวี๋ย ทหารม้าราวสิบกว่าคนข้างหลังที่เหลือบุกเข้าสนามราวกับลมพายุหมุน เชิดหน้าอย่างภาคภูมิ จ้องตาถูสั่วจั่ว
ชาวทูเจวี๋ยระเบิดเสียงโห่ร้องยินดี คิดไม่ถึงว่าช่วงเวลาสุดท้ายจะยังมีคนที่ไม่กลัวตายกล้าท้าประลองถูสั่วจั่วอยู่อีก มิหนำซ้ำยังเป็นดินแดนที่อ่อนแอและเล็กที่สุดบนทุ่งหญ้าอีกด้วย
ข่านน้อยซ่าเอ่อร์มู่พูดเสียงดัง “เผ่าเยวี่ยซื่อ พวกเจ้าชนะต่อเนื่องสามรอบ ทั้งยังมีความกล้ามหาศาลมาท้าประลองอ๋องขวา จิตใจช่างน่าชื่นชมเสียจริง ประทานแพะอ้วนพีให้อีกห้าร้อยตัว หากได้รับชัยชนะ ข้าจะประทานม้าเหงื่อโลหิตให้อีกหนึ่งตัว!”
ม้าเหงื่อโลหิตเป็นสัตว์เทพขั้นใด ชนเผ่านอกด่านที่อยู่รอบด้านต่างอิจฉาเป็นล้นพ้น นี่เป็นการเสนอให้ก่อนที่จะสู้จนอ๋องขวาพ่ายแพ้ การชนะสามรอบของเยวี่ยซื่อ นอกจากจะลงมือโหดเ**้ยมเป็นพิเศษแล้วก็ไม่มีอะไรโดดเด่น กระทั่งว่ายังแฝงการอาศัยจังหวะและโชคช่วยเล็กน้อยอีกด้วย ให้พวกมันไปล้มอ๋องขวาจะทำด้หรือ?
“เยี่ยม!” ถูสั่วจั่วหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ในเมื่อพวกเจ้ากล้ามา ข้าก็จะจัดการพวกเจ้าเช่นกัน ข่านน้อย ม้าเหงื่อโลหิตของพระองค์ตัวนั้นเกรงว่าคงไม่ได้ประทานแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ฮ่าๆๆ!”
เมื่อได้ยินอ๋องขวาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เหล่าเกาหัวเราะฮิคราหนึ่ง “มิน่าอวี้เจียถึงไม่ชอบมัน เจ้าหน้าขาวทูเจวี๋ยคนนี้หัวเราะช่างน่าเกลียดมารดามันเสียจริง อย่างกับเป็ดตัวผู้!”
สนามแห่งนี้เหลือแค่เยวี่ยซื่อกับอ๋องขวาสองดินแดนแล้ว ทั้งสองฝ่ายยืนนิ่งอยู่ที่จุดเริ่มต้น ศึกใหญ่กำลังจะปะทุ อวี้เจียนั่งอยู่บนปะรำพิธียาว สีหน้าเรียบเฉย ปราศจากความผิดปกติแม้แต่น้อย
เหตุใดนางถึงยังไม่เคลื่อนไหวอีก หรือว่าข้าจะเดาผิด? หลินหว่านหรงลอบสงสัยอยู่ในใจ
สองฝ่ายต่างประจำตำแหน่ง เสียงโห่ร้องของเหล่าชนเผ่านอกด่านดังขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้กลับแบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน ฝ่ายหนึ่งสร้างกำลังใจให้ ส่วนที่เหลือกลับตะโกนให้เยวี่ยซื่อ
แตรสัญญาณของนักบวชยกไปที่ริมฝีปากอย่างแช่มช้า ขณะกำลังจะเป่ากลับได้ยินเสียงสดใสเสียงหนึ่งดังขึ้น “ช้าก่อน!”
ทุกคนต่างเงยหน้ามอง กลับเป็นข่านใหญ่ดาบทองผุ้งดงามยืนขึ้นแล้ว กำลังยิ้มให้กับทุกคน
อ๋องขวารอจนทนไม่ไหวตั้งแต่แรก รีบพูดขึ้นมาว่า “ข่านใหญ่ไม่ทราบว่าทรงมีรับสั่งอันใด?!”
อวี้เจียเอ่ยอย่างแช่มช้า “ในเมื่อเป็นการแข่งขันชิงแพะรอบสุดท้าย ทั้งยังมีผู้กล้าที่ชมดูจำนวนมากขนาดนี้อีก ตัวข้าคิดว่าไม่สู้เพิ่มความยากให้มากขึ้นอีกสักหน่อยจะดีกว่า!!
ก่อนหน้านี้ฝีมือยิงธนูของถูสั่วจั่วพ่ายแพ้ให้อวี้เจีย เป็นที่หัวเราะเยาะมาตั้งแต่แรก ครานี่พอได้ยินว่าข่านใหญ่จะเพิ่มความยาก หากมันชนะ เช่นนั้นก็จะอุดปากทุกคนได้ มันพลันรู้สึกยินดี หัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยว่า “แล้วแต่ข่านใหญ่ทรงรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์ใช้สายตาที่เอ่ยวาจาได้เหลือบมองทางนี้อีกครา หูปู้กุยพูดว่า “เยวี่ยซื่อปราศจากความเกรงกลัวพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้เจียผงกศีรษะ เดินย่างแช่มช้าลงจากปะรำพิธี ประนมมือพร้อมออกแรงตบสองครั้ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงกู่ร้องกระจ่างชัดหลายครั้ง ณ สถานที่อันห่างไกล อาชาน้อยงามสง่าตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างเร็วรี่ ลักษณะท่าทางไม่ธรรมดา
ทุ่งหญ้าค่อยๆ เงียบสงัดลง ความฉลาดเฉลียวของท่านข่านดาบทองทุกคนต่างรู้ดี การเดิมพันซึ่งเกี่ยวพันถึงความสุขชั่วชีวิตเช่นนี้ ไม่รู้ว่านางจะเสนอการทดสอบเช่นไรออกมา
เยวี่ยหยาเอ๋อร์พลิกตัวขึ้นม้า กระตุกบังเ**ยนอย่างแรง อาชาน้อยก่อเป็นแสงสายฟ้าแลบ เหินอากาศออกไปราวกับโผบิน วิ่งห้อตะบึงอย่างเร็วรี่บนทุ่งหญ้า ชาวทูเจวี๋ยปรบมือเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นดั่งสายน้ำบ่า ส่งเสียงชมเชยให้นาง
ฝีมือการขี่ม้าของแม่หนูคนนี้ยังเก่งกล้ากว่าข้ามมากมายนัก แม่ทัพหลินลอบทอดถอนใจ กลับบ้านคราวนี้ต้องตั้งใจฝึกฝนวิชาขี่ม้ากับฮูหยินแต่ละคน ห้ามล้าหลังผู้อื่นเป็นอันขาด!
อวี้เจียวิ่งไปถึงกึ่งกลางทุ่งหญ้ากลับดึงบังเ**ยนพร้อมหยุดลงอย่างแช่มช้า นางยิ้มแย้มเล็กน้อย พูดเสียงดังออกมาว่า “การแข่งขันสุดท้ายในวันนี้ให้เริ่มจากตรงนี้ ข้าหนึ่งคนหนึ่งม้ายืนอยู่ตรงนี้ จะไม่จากไปเด็ดขาด ทั้งสองใยต่อสู้ฆ่าฟันกันอย่างอิสระ แต่ห้ามแตะต้องข้ากับม้าของข้า ผู้ใดพาข้ากับม้าของข้าถึงเส้นชัยได้ก่อนก็จะได้รับชัยชนะ!”
ชาวทูเจวี๋ยตะลึงงัน จากนั้นก็ระเบิดเสียงโห่ร้องดังไปถึงขอบฟ้า ที่แท้การเพิ่มความยากที่อวี้เจียว่าไว้ก็คือข่านใหญ่ผู้งดงามลงสนามด้วยตนเอง ใช้ร่างกายเป็นแพะ สิ่งนี้เมื่อเทียบกับการฆ่าฟันกันธรรมดาก่อนหน้านี้ยังสนุกสนานกว่าเป็นร้อยเท่า เร้าใจกว่าเป็นพันเท่า ความยากเช่นนี้เป็นสิ่งที่บุรุษทุกคนชื่นชอบ
เสียงโห่ร้องดังกึกก้องทั่วทุ่งหญ้า ความตื่นเต้นพัดผ่านทุกคน ชิงท่านข่านดาบทองผู้งดงาม นี่มันช่างเป็นเรื่องเร้าใจเสียเหลือเกิน! แม้แต่ถูสั่วจั่วเองก็ยังกระโดดโลดเต้นยินดีไม่ได้ นี่เห็นชัดว่าอวี้เจียกำลังให้โอกาสมัน ขอเพียงมันชิงพาอวี้เจียกับม้าของนางไปถึงเส้นชัยก่อน ความอับอายเรื่องฝีมือยิงธนูก่อนหน้านี้ถือว่าหายกันโดยสิ้นเชิง
คนเราเมื่อบ้าคลั่งก็จะกลายเป็นโง่งม ต่อให้เป็นคนฉลาดอีกสักเพียงใดก็ไม่มีข้อยกเว้น อวี้เจียถือว่ากำจุดอ่อนของนิสัยมนุษย์ได้อย่างแม่นยำ มองดูอ๋องขวาทูเจวี๋ยที่หน้าชื่นตาบาน ระรื่นรื่นรมย์ หลินหว่านหรงที่มองอยู่ด้านข้างอย่างสงบนิ่งจิตใจกระจ่างชัดราวกับกระจกใส
“ชิงท่านข่าน นี่มันกติกาอะไรกัน?!” หูปู้กุยงุนงงเล็กน้อยแล้ว
หลินหว่านหรงหัวเราะฮิคราหนึ่ง “ชิงท่านข่าน? ใครชิงใครก็ยังไม่แน่จริงๆ นะ นี่ไม่ใช่กติกา แต่เป็นกับดัก! ครั้งนี้พวกเราถือว่าถูกคนเล่นงานแล้ว!”
เกาฉิวส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจความหมายของเขา
หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะ “เฉลยก็แล้วกัน การละเล่นชิงท่านข่านนี้ เป็นข้ออ้างให้อวี้เจียเข้าร่วมการชิงแพะเท่านั้น แต่นางดันปกปิดได้ดียิ่ง ล่อลวงใจชาวทูเจวี๋ยเป็นล้นพ้น แม้แต่ข้าก็ยังหวั่นไหวบ้าง”
ไม่ฟังไม่รู้ พอได้ฟังก็ตกใจสะดุ้งโหยง แม่ทัพหลินพูดไม่ผิด โดยไม่รู้ตัว อวี้เจียกลับร่วมงานชิงแพะด้วยตัวเองแล้ว แต่ทุกคนต่างไม่รู้สึกตัว ด้วยความตกตะลึง หูปู้กุยจึงถามด้วยความสงสัยออกมา “เช่นนั้นเหตุใดพวกเราถูกคนเล่นงานล่ะขอรับ?!”
แม่ทัพหลินถอนหายใจ “ตอนนี้ข้าถึงเพิ่งเข้าใจ ที่แท้ไม่ว่าอวี้เจียเลือกดินแดนใดก็เหมือนกัน เพราะนางไม่ได้ต้องการให้พวกเราเอาชัยชนะให้นาง แต่แค่ต้องการตัวแทนเช่นนี้ ทำให้นางมีโอกาสเข้าร่วมการชิงแพะด้วยตัวเอง นางจะได้ขัดขวางชัยชนะของถูสั่วจั่วด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นช่วยเหลือ หรือจะพูดแบบนี้ก็ได้ เปลี่ยนเยวี่ยซื่อเป็นแมว เป็นดวงอาทิตย์ (เยวี่ยแปลว่าพระจันทร์) ดินแดนใดก็ได้ ขอเพียงเจ้ามีคุณสมบัติท้าทายถูสั่วจั่ว สำหรับอวี้เจียแล้วก็เหมือนกัน เพียงแต่น่าเสียดายที่พวกเราเป็นดินแดนที่ไม่คิดจะก้าวหน้ามากที่สุดบนทุ่งหญ้า เหลือตัวเองไว้ท้ายสุดอย่างโง่งม และรอบสุดท้ายนี้เป็นช่วงที่เยวี่ยหยาเอ๋อร์มีเหตุผลในการเปลี่ยนกฎการแข่งขันมากที่สุด ผู้อื่นไม่อาจหาเหตุผลมาคัดค้านได้เลย ผลลัพธ์ พวกเรากระแทกปากกระบอกปืนอวี้เจียด้วยตัวเอง กลายเป็นของเล่นในมือนาง”
เมื่อพูดเช่นนี้ทุกคนจึงเข้าใจ สติปัญญาของอวี้เจียเหนือล้ำกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการ
“น้องหลิน เช่นนั้นรอบสุดท้ายพวกเราควรทำเช่นไร?!” เกาฉิวถามอย่างจริงจัง
“ดูนาฬิกาทรายสามอันนั้น เวลาที่ยาวนานมากที่สุดก็ไม่เกินครึ่งชั่วยาม ม้าของอวี้เจียย่อมขยับไม่ไปแน่ ถูสั่วจั่วก็อย่าคิดเช่นกัน ช่วงที่ยื้อกันนั้น เพื่อรับประกันชัยชนะ อ๋องขวาต้องบุกเข่นฆ่าพวกเรามากยิ่งขึ้นแน่ อวี้เจียต้องการสละเยวี่ยซื่อ ขัดขวางถูสั่วจั่ว” หลินหว่านหรงแค่นเสียง ดวงตาสาดประกายดุร้าย “ในเมื่อต้องปะทะแล้ว หลบก็หลบไม่พ้น เช่นนั้นพวกเราก็โหดกันสักหน่อย ลงมือก่อนเป็นผู้ได้เปรียบ พี่เกา ห้ามยั้งไมตรีกับผู้ใด เข้าไปแล้วเล็งไปที่ถูสั่วจั่ว ฟันมันให้ตาย!”
“ได้!” เมื่อได้ฟังคำส่งของเขาเช่นนี้ เกาฉิวก็ตื่นเต้นจนเสียดสีกำปั้น เผชิญหน้ากับอ๋องขวาทูเจวี๋ยผู้องอาจห้าวหาญ ครั้งนี้ถือเป็นการศึกที่มีจำนวนคนน้อยที่สุดครั้งแรกนับตั้งแต่เข้าสู่ทุ่งหญ้า แต่ยิ่งอันตรายมากที่สุดเท่าใด กลับยิ่งเร้าใจมากที่สุดเท่านั้น
ท่านข่านดาบทองใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ ชนเผ่านอกด่านที่อยู่โดยรอบเข้ามามุงรายล้อมตั้งแต่แรก เรื่องน่าสนุกสนานเช่นการชิงท่านข่านนี้ บนทุ่งหญ้าพันปีก็ยากจะได้เห็นสักครั้งหนึ่ง! ทุกคนต่างมีเพียงความคิดเดียว พวกมันจะรอดูว่าผู้ใดจะพาผู้ปกครองผู้งามพิลาสคนนี้บุกทะลวงเส้นชัย
ถูสั่วจั่วกับเหล่าผู้กล้าของมันเสียดสีกำปั้น ดึงหัวม้าที่ขยับกระสับกระส่ายด้วยความตื่นเต้น เตรียมตัวออกเดินทางได้ทุกเมื่อ
อวี้เจียขี่อยู่บนอาชาที่ยังไม่เจริญวัย ยืนอย่างสงบนิ่งอยู่กึ่งกลางทุ่งหญ้า นัยน์ทั้งคู่ล้ำลึกดุจวารี ดวงหน้าสีทองผุดรอยยิ้มที่ทำให้คนลุ่มหลง
“ปู๊น!” นักบวชเป่าแตรสัญญาณเสียงสั้นกระชั้น ทุ่งหญ้าเหมือนน้ำที่เดือดพล่านทันที ชนเผ่านอกด่านทุกคนต่างกรูไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ศึกสุดยอดครั้งเนื่องจากมีท่านข่านดาบทองเข้าร่วมด้วยพระองค์เอง ทุกอย่างจึงสลับซับซ้อนยากจะแยกแยะได้
“ฆ่า!” หลินหว่านหรงตวาดเสียงต่ำอยู่ในลำคอ เขากับผู้กล้าสิบกว่าคนที่อยู่ข้างหลังกลายร่างเป็นกระบี่คมที่ออกจากฝัก เล็งไปที่ถูสั่วจั่ว พุ่งปราดออกไปอย่างรวดเร็ว