ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 601 - 2 เจ้าเป็นใคร
นาฬิกาทรายเหลือแค่ครึ่งเดียวแล้ว จะถูกคนขัดขวางก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เยวี่ยหยาเอ๋อร์ยังคงยิ้มแย้ม อาชาสีผสมใต้ร่างนางจู่ๆ กลับเชิดหน้าส่งเสียงร้อง เดินไปข้างหน้าสองก้าว ต้องการใช้หัวกระแทกก้นม้าทูเจวี๋ยที่อยู่ข้างหน้า
อวี้เจียร้องอ๊ะ ปรากฏสีหน้าประหลาดใจ เรื่องที่ทำให้นางตกใจยิ่งกว่ากลับเป็นสิ่งที่ตามมา ม้าทูเจวี๋ยที่อยู่ข้างหน้าคล้ายทนการรบกวนไม่ได้ วิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วหลายก้าว อาชาสีผสมของนางกลับไล่ตามติด เอาใบหน้าดันร่างและใบหน้าอาชาที่อยู่เบื้องหน้า ไม่ยอมห่างแม้แต่ก้าวเดียว
“หยุด!” ด้วยความตกใจ ข่านดาบทองไม่มีเวลาให้คิดมากแล้ว รีบดึงบังเ**ยนต้องการให้ม้าหยุด แต่เจ้าม้ากลับระเบิดโทสะทันที มันยกขาหน้าขึ้นในบัดดล เชิดหัวสูงพร้อมส่งเสียงร้อง วิ่งวนเป็นวงกลม ความรุนแรงนั้นทำให้คนสั่นสะท้าน เกือบสะบัดเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้อ่อนแอหลุดจากหลังม้า
ความดื้อดึงแข็งกร้าวของอวี้เจียกลับยิ่งทำให้คนเคารพนับถือ นางกอดคอม้าแน่น ปล่อยให้ม้าน้อยกระโดดโลดเต้น ร้องคำรามอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายนางหมือนดั่งเรือใบไม้น้อยที่ลอยล่องอยู่กลางระลอกคลื่นอันบ้าคลั่ง ทว่ากลับกัดฟันกรอดไม่ยอมส่งเสียงสักแอะเดียว!
“ไป!” หลินหว่านหรงตวาดต่ำ ๆ คราหนึ่ง หวดแส้ลงบนก้นม้าอย่างรุนแรง ม้าทูเจวี๋ยแหงนหน้ากู่ร้องยาว พุ่งปราดไปข้างหน้าราวกับดาวตกและสายฟ้าแลบ อาชาสีผสมของอวี้เจียเห็นรูปการณ์ก็ร้องตาม ร่างกายตามติดอยู่ด้านหลังหลินหว่านหรงประดุจสายฟ้า
ม้าเร็วสองตัว หนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่ หนึ่งดำหนึ่งผสม ประหนึ่งสายลมอันบ้าคลั่งพัดผ่านม้วนทุ่งหญ้า กวาดม้วนใบหญ้า ให้พุ่งผ่านเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ราวกับดาวตกอันเจิดจ้ามากที่สุด
“ข่านดาบทองถูกพวกเราชิงไปแล้ว!” หูปู้กุยนำทหารสิบกว่าคนไล่ตามอยู่ด้านหลัง ชูแขนโห่ร้องด้วยความยินดี เสียงแหบห้าวดึงกึกก้องทั่วทุ่งหญ้าดั่งเสียวอสุนีบาต
ด้วยความงดงามและสติปัญญาของข่านดาบทอง มีเพียงผู้กล้าที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นถึงชิงตัวนางไปได้! ชาวทูเจวี๋ยต่างเปล่งเสียงโห่ร้องยินดีอย่างเต็มที่ เสียงปรบมือและเสียงคำรามดังต่อเนื่องจนทำให้ทุ่งหญ้าสั่นสะเทือน
เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องดังลั่นฟ้าสะเทือนดินของคนในเผ่า อวี้เจียซึ่งทนทุกข์พลิกคว่ำไปมาบนหลังม้ากลับมีความทุกข์ทว่ามิอาจเอ่ยปากออกมาได้ อาชาที่นางเชื่อใจมากที่สุดไล่ตามก้นคนเผ่าเยวี่ยซื่อราวกับเสียสติ ไม่ว่านางจะกระแทกที่พักเท้า ดึงกระชากบังเ**ยนเช่นไร กลับแลกมาด้วยการต่อต้านที่รุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ภายใต้ความบ้าคลั่งเช่นนี้ ต่อให้มีทักษะการขี่ม้าล้ำเลิศเช่นไรก็ไร้ประโยชน์ นางสูญเสียการควบคุมม้าโดยสิ้นเชิง เป็นม้าที่พานางวิ่ง หรือพูดอีกอย่างว่าคนเผ่าเยวี่ยซื่อที่อยู่ข้างหน้าพานางวิ่งห้อตะบึง
หันกลับไปมองสายตาอันเดือดดาล ริมฝีปากสีชาดที่ถูกกัดแน่นของอวี้เจีย หลินหว่านหรงกลับรู้สึกสาแก่ใจอย่างบอกไม่ถูก วันนี้เขาโดนนังหนูนี่ทำให้ลำบากไม่น้อย ไม่เพียงต้องสู้แลกชีวิตกับถูสั่วจั่ว แถมยังเกือบถูกอวี้เจียหักขาข้างหนึ่งอีก หากไม่ใช่เขาฉลาดเฉลียวมีไหวพริบ วันนี้เกรงว่าแม้แต่ชีวิตก็ต้องทิ้งไว้ที่นี่! ตอนนี้ถือว่าให้นางลองลิ้มรสความลำบากบ้างแล้ว!
เขาควบม้าดุจโผบิน ไม่คิดจะหยุดพักแม้แต่น้อย ชนเผ่านอกด่านบนทุ่งหญ้าเห็นแค่ม้าสองตัวหนึ่งหน้าหนึ่งหลังวิ่งอย่างเร็วรี่ดั่งสายฟ้าแลบ ทุกคนต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี ไหนเลยจะรู้สภาพของข่านใหญ่ได้
อวี้เจียคือผู้ปกครองชั้นยอดแห่งทุ่งหญ้า จิตใจและความห้าวหาญหาใช่ธรรมดา แม้จะถูกกระทำจนม้าบ้าคลั่ง ถึงกระนั้นตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่เคยยอมแพ้
ม้าน้อยวิ่งห้อตะบึงอยู่ครู่หนึ่ง หอบหายใจแฮ่กๆ เบ้าตาแดงก่ำราวกับเปลวเพลิง เท้าลื่นสะดุดเล็กน้อย คล้ายกำลังกะเผลก เมื่อลองควบคุมบังเ**ยน ม้าน้อยกลับยังส่ายหน้าอย่างรุนแรง แต่ไม่ได้พลุ่งพล่านเช่นก่อนหน้านี้แล้ว
เมื่อเห็นว่านาฬิกาทรายใกล้ไหลจนหมดสิ้น เส้นชัยอยู่แค่เบื้องหน้า คนเผ่าเยวี่ยซื่อที่อยู่ข้างหน้าตนไม่กี่จั้งกลับวิ่งพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
เยวี่ยหยาเอ๋อร์ตื่นเต้นยินดีอยู่ในใจ ดึงบังเ**ยนม้าอย่างแยบคาย แรงต้านทานของม้าอ่อนลงไปเรื่อยๆ คล้ายหมดสิ้นเรี่ยวแรงแล้ว
“หยุด!” เมื่อเห็นว่าเส้นชัยอยู่ตรงหน้า ไม่มีเวลาให้ลังเลแล้ว อวี้เจียก็กัดฟันกรอดอย่างแรง ดึงบังเ**ยนทันที
“ฮี้!” อาชาสีผสมซึ่งกำลังวิ่งราวกับเกาทัณฑ์ถูกดึงจมูก สองตามันแดงดั่งโลหิต บ้าคลั่งภายในชั่วพริบตา มันแหงนหน้าอย่างเร็วรี่ แผงคอตั้งชัน ขาทั้งสี่ตะกุยอากาศพร้อมกัน ร่างกายหมุนวนอยู่กลางอากาศอย่างเร็วรี่ประหนึ่งใบหลิวท่ามกลางสายลมอันบ้าคลั่ง
หลินหว่านหรงที่กำลังควบม้าอยู่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวผิดปกติจากด้านหลัง ดังนั้นจึงรีบดึงม้าแล้วหันกลับไปมอง อวี้เจียผมเผ้าโบกสยาย ใบหน้าขาวซีด ราวกับดอกบัวที่กระจัดพลัดพราย อยู่กลางสายลม เขาอดบังเกิดเพลิงโทสะพลุ่งพล่านไม่ได้ ไม่เคยเห็นผู้หญิงที่โง่ขนาดนี้มาก่อน ม้าตัวเมียที่ติดสัดเจ้าก็กล้าหาเรื่องด้วยหรือ?!
เรี่ยวแรงที่อาชาตัวนั้นหมุนวนอยู่กลางอากาศรุนแรงมากเพียงใด ต่อให้มีทักษะการขี่ม้าดีอีกสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจใช้งานได้ อวี้เจียรู้สึกว่าร่างกายเหมือนโคมลอยซึ่งอัดเต็มด้วยอากาศซึ่งกำลังลอยล่องอยู่ ร่างม้าออกห่างจากตนไป
ไม่ทันได้ตกใจว่าเหตุใดม้าตัวนี้ถึงได้เสียสติเช่นนี้แล้ว เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็ไม่สนใจทุกสิ่ง รู้เพียงว่าให้กลั้นลมหายใจเฮือกสุดท้าย คว้าแผงคอที่กำลังปลิวสยายอยู่บนร่างม้าตัวนั้นแน่น
ด้วยความเจ็บปวด อาชาสีผสมร้องด้วยโทสะทันที สองขายังไม่ทันถึงพื้นก็เหยียดคอไปข้างหน้าแล้วสะบัดอย่างแรง เมื่อทำอย่างต่อเนื่อง อวี้เจียไม่อาจบังคับแรงที่มือได้อีกต่อไป เสียงดังขวับคราหนึ่ง ร่างกายหลุดขวางออกไปราวกับกลีบดอกบัวที่หลุดร่วงท่ามกลางลมพายุหมุน
ชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ ถึงกระนั้นกลับไม่อาจไปช่วยได้ทัน
เมฆาขาวยิ่ง หญ้าเขียวขจียิ่ง ท้องฟ้าสีครามยิ่ง ท่ามกลางสติอันรางเลือน อวี้เจียหลับตาอย่างแช่มช้า บางทีดอกนุ่นที่งดงามที่สุดและสูงส่งที่สุดบนทุ่งหญ้าอาจโรยราไปทั้งอย่างนี้
พรึบ! เสียงลมเร็วรี่ดังข้างใบหู ม้าวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว อวี้เจียรู้สึกว่าร่างกายตนเองใกล้จะสัมผัสพื้นแล้ว ชั่วพริบตาที่จะกระแทกพลันมีแขนกำยำทรงพลังข้างหนึ่งยื่นเฉียงเข้ามาโอบเอวนางแน่นราวกับคีมเหล็ก คนผู้นั้นทำราวกับชิงแพะสองขากระแทกตัวม้า ร่างกวาดผ่านพื้นอย่างรวดเร็ว ใช้มือเดียวขวางโอบ กวาดเอวอันคอดกิ่วของนางขึ้นมา
“อ๊า!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ร้องด้วยความตกใจ ร่างกายลอยล่องเบาหวิวขึ้นไปราวกับลอยอยู่บนปุยเมฆ คนเผ่าเยวี่ยซื่ออันกล้าแกร่งใช้มือเดียวโอบเอวนาง ยกเบาๆ เพียงครั้งเดียวอวี้เจียก็นั่งอยู่บนอานม้าเบื้องหน้าอย่างมั่นคง ซุกเข้าสู่อ้อมกอดเขาโดยไม่รู้ตัว ทั้งสองนั่งเคียงคู่อยู่บนอาน วิ่งห้อตะบึงออกไปอย่างเร็วรี่
นับตั้งแต่ข่านดาบทองตกม้าจนถึงคนเผ่าเยวี่ยซื่อเข้าช่วยเหลืออย่างเร็วรี่ การเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้เพียงชั่วระยะประกายไฟเท่านั้น เสียงโห่ร้องตกใจของชนเผ่านอกด่านยังไม่ทันเปล่งออกมา อาชาทูเจวี๋ยซึ่งวิ่งทะยานราวกับโผบินตัวนั้นกลับไม่อาจยั้งท่าร่าง โผทะยานขึ้นกลางอากาศข้ามผ่านทุกคนไปราวกับเทพอาชาที่เหาะลงมาจากสรวงสวรรค์ มุ่งตรงไปยังทิศทางอันแสนไกล
ดวงตะวันขนาดมหึมาค่อยๆ ลาลับทุ่งหญ้า ท่ามกลางอาทิตย์อัสดงสีแดงโลหิต สองคนนั้นเงาร่างประสานกัน ค่อยๆ กลายเป็นจุดสีดำขนาดเล็กที่ขยับวูบลอยล่อง ราวกับจมหายไปในท้องฟ้า
“ลงไป!” อาชาทูเจวี๋ยวิ่งออกไปหลายร้อยลี้ ข่านดาบทองนั่งอย่างมั่นคง อาการใจเต้นกลับเป็นปกติ ดวงหน้าอันงดงามแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา หันร่างกลับมาแล้วใช้หมัดกระแทกท้องหลินหว่านหรงอย่างหนักหน่วงคราหนึ่ง นางเป็นยอดหญิงงามไร้ผู้ใดเปรียบบนทุ่งหญ้า ไม่มีวันยอมให้ชายใดมาล่วงละเมิดตนเองแน่ แม้คนเผ่าเยวี่ยซื่อผู้เ**้ยมหาญคนนี้จะช่วยชีวิตตนเองก็ไม่ได้!
“อึก!” หลินหว่านหรงส่งเสียงเจ็บปวดอยู่ในลำคอ งอร่างโดยไม่รู้ตัว หอบหายใจหนักกระชั้นถี่ เหงื่อไหลดั่งสายฝน
อวี้เจียแม้จะเป็นสตรี แต่นางก็น้าวคันศรได้สองหน ดาราคู่ไล่จันทรา แล้วจะดูแคลนพละกำลังได้อย่างไร? การลงมืออย่างกะทันหันครานี้ ยังไม่ทันได้ระวังป้องกัน คนเผ่าเยวี่ยซื่อก็ถูกอัดหนักๆ คราหนึ่งโดยไม่ได้ไต่ถาม เลือดลมและอวัยวะภายในต่างขย้อนขึ้นมา
หรือว่านี่คือกรรมตามสนองที่ข้าเคยแหย่นางก่อนหน้านี้?! หลินหว่านหรงหอบหายใจหนักพลางยิ้มขื่น
เมื่อได้ยินเขาแค่นเสียงด้วยความเจ็บปวด อวี้เจียก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วคล้ายสัมผัสอะไรได้ มองเขาอย่างเหม่อลอย สายตาทั้งงุนงงทั้งพร่าเลือน
“เจ้าเป็นใคร?!” นางพูดพึมพำ คำพูดอันแผ่วเบาแช่มช้ากอปรด้วยความอ่อนโยนที่ตนยากจะรับรู้ได้ ถึงแม้เป็นภาษาทูเจวี๋ย แต่หลินหว่านหรงกลับฟังออกว่านางกำลังพูดอะไรอย่างชัดเจน
ข้าเป็นใคร?!
ใช่แล้ว ข้าเป็นใคร?!
ท่ามกลางห้วงความฝันอันรางเลือน ห่างเหินดั่งชาติภพหนึ่ง ระยะทางอันแสนจะยาวไกลมากที่สุดบนโลก ไม่มีสิ่งใดมากไปกว่านี้อีกแล้ว หลินหว่านหรงจิตใจพลุ่งพล่าน ราวกับก้อนหินขนาดยักษ์น้ำหนักหลายร้อยหลายพันชั่งกดทับตนเองอย่างรุนแรง กดดันจนไม่อาจหายใจได้ แต่เขากลับไม่อาจร้องไห้ ไม่อาจหัวเราะ ชีวิตเกิดมาไม่เกิดเศร้าใจขนาดนี้มาก่อน!
“อ๊ะ…อ๊า…อ๊า…” เขาเบิกตาโพลง อ้าปากกว้าง ออกแรงแกว่งแขวนไปมา ทำท่าทางชี้มือชี้ไม้ เนื่องจากกลัวว่าอวี้เจียจะไม่เข้าใจตนเอง ยังเขียนสะเปะสะปะบนฝ่ามือตัวเองอีกหลายครั้ง
อวี้เจียมองอยู่นาน จากนั้นก็ผงกศีรษะเล็กน้อยพร้อมถอนหายใจเบาๆ “ที่แท้ก็คนใบ้!”