ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 602 ข้าจะจำเจ้าเอาไว้
“อ๊า…อ๊า…” กระโดดลงจากม้าพร้อมจูงบังเ**ยน ชี้ไปที่หูของตัวเอง จากนั้นก็ชี้ไปที่ปาก แสดงความหมายว่าไม่ได้ยินที่นางพูด
ผู้ที่พูดไม่ได้ส่วนใหญ่จะหูหนวกด้วย เยวี่ยหยาเอ๋อร์ย่อมรู้เหตุผลนี้ นางนั่งอยู่บนม้า จ้องตาเจ้าใบ้ ใบหน้าปรากฏความผิดหวังเล็กน้อย นางพูดเสียงเบาออกมาว่า “เหมือนข้าจะเคยเห็นเจ้าที่ไหนมาก่อน…เจ้าเป็นใบ้จริงหรือ?!”
เจ้าใบ้ออกแรงส่ายหน้า สายตางุนงง ฟังนางพูดไม่เข้าใจแม้แต่น้อย อวี้เจียถอนหายใจ “น่าเสียดาย เหตุใดเจ้าถึงเป็นใบ้ได้?”
ภาษาทูเจวี๋ยที่เยวี่ยหยาเอ๋อร์เอ่ยออกมา หลินหว่านหรงฟังไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว ความร้อนรนอับจนปัญญาปรากฏให้เห็นภายในดวงตา สีหน้าท่าทางไม่ต่างจากคนหูหนวกเป็นใบ้แม้แต่น้อย ไม่ต้องแสดงเสียด้วยซ้ำ
การวิ่งห้อตะบึงคราวนี้ไม่รู้ว่าวิ่งออกมากี่ลี้ ชนเผ่านอกด่านที่อยู่ไกลๆ มองไม่เห็นแล้ว ม้าทูเจวี๋ยของนางค่อยๆ ลดความเร็วของฝีเท้า
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในการชิงแพะครั้งสุดท้ายเยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็ขมวดคิ้ว นางกระโดดลงจากม้าทันที ขวางเจ้าใบ้อยู่ข้างหน้าแล้วชี้ไปที่หัวม้า มือน้อยชี้ไปที่ข้างแก้ม แหงนหน้าทำท่าดื่มน้ำ จากนั้นก็ใช้มือเดียวประคองใบหน้าเอนศีรษะ เบิกตากว้างมองดูเขา
นี่ทำอะไรน่ะ? เจ้าใบ้จ้องนางด้วยสีหน้านิ่งอึ้ง
อวี้เจียรีบทำการกระทำเมื่อครู่ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง หลินหว่านหรงมองนางชี้มือชี้ไม้ก็เข้าใจในทันที นังหนูคนนี้กำลังเล่นใบ้คำอยู่นี่เอง สมัยนี้ภาษามือยังไม่มีมาตรฐาน เพียงแต่อวี้เจียมีพรสวรรค์สูงล้ำ การทำท่าทางเหมือนจริง ทำให้คนเห็นแล้วก็เข้าใจ นางกำลังถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงสาดน้ำใส่หน้าม้าน้อย?”
เจ้าใบ้นำใบหน้าประชิดจมูกม้า ทำท่าทางดมกลิ่น จากนั้นก็เงยหน้าร้องอ๊าๆ สองครั้ง มองนางด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง
อวี้เจียรู้ทันที เพราะเจ้าคนนี้เป็นคนใบ้ ดังนั้นจมูกของมันถึงไวมากกว่าเดิม ได้กลิ่นยาสลบที่ตนเองทาบนบังเ**ยนและหัวม้า มันสาดน้ำใส่ใบหน้าและจมูกม้าก็เพื่อละลายผงยาสลบ ทำให้ม้าหลุดพ้นจากความหวาดกลัวจากกลิ่นยาสลบ
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงคิดออกว่าข้าทายาสลบอยู่บนจมูกม้าแต่ไม่ใช่ที่อื่นล่ะ?!” อวี้เจียใช้มือชี้ที่หน้าอกมัน จากนั้นก็จิ้มที่หัวใจตัวเองพร้อมเอนศีรษะ ทำท่าทางสงสัย ออกแรงตบจมูกม้า ใช้มือทำท่าภาษามือ
เจ้าใบ้ผงกศีรษะ ลอบหัวเราะอยู่ในใจ ดูไม่ออกจริงๆ นะนี่ ที่แท้แม่หนูเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้มีความสามารถเป็นอาจารย์สอนภาษามือกับเขาด้วย
เขาเดินไปข้างกายม้า ลูบหลังมันเบาๆ พร้อมชี้ที่ตนเอง จากนั้นก็ตบหน้าอก ทำท่าทางใจเต้นตุบๆ ปากร้องอ๊ะๆ หลายครั้ง ท่าทางแม้จะดูน่ารักตลกขบขัน แต่อวี้เจียกลับเข้าใจความหมายได้ “ม้าก็เหมือนข้า ต่างก็มีชีวิต!”
นางหัวเราะพลางผงกศีรษะ ขณะกำลังจะเอ่ยวาจาสายตาก็ไปอยู่ที่ข้อมือ เมื่อเหลือบมองอย่างไม่ตั้งใจสายตาก็ชะงักงันทันที
เป็นอะไรไปล่ะ? หลินหว่านหรงตกใจ ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาอะไรอวี้เจียก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมชี้ไปที่ข้อมือของเขาแล้ว นางเอ่ยถามเบาๆ ว่า “นี่คืออะไร?!”
หลินหว่านหรงรีบมองข้อมือ รอยฟันโค้งจางๆ รอยหนึ่งเปล่งประกายอ่อนโยนภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง
ซวยแล้ว เขาร่ำร้องด้วยความร้อนรนอยู่ในใจ คิดจะรั้งมือกลับไปก็ไม่ทันเสียแล้ว นี่เป็นรอยฟันที่อวี้เจียทิ้งเอาไว้ขณะที่ขัดขืนอย่างรุนแรงตอนที่จัดการนางในวันนั้น ครั้นปรากฏขึ้นมาอีก ด้วยนิสัยอันแข็งกร้าวดื้อด้านของอวี้เจีย ใครจะรู้ว่านางจะคิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง
“อ๊ะ…อ๊ะ…” ด้วยความร้อนใจ เจ้าใบ้ใช้สองมือทำท่าทางอย่างต่อเนื่อง ทำท่าสุนัขใหญ่โผเขมือบเหยื่ออย่างดุร้าย อวี้เจียกล่าวด้วยความสงสัย “เจ้าบอกว่านี่คือสุนัขกัดเจ้า? ข้าว่าไม่ค่อยเหมือนนะ นี่เหมือนข้ากัด…”
นางหยุดพูดอย่างทันท่วงที ใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย เอาตัวเองไปเทียบกับสุนัข คำพูดเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่นางซึ่งมีสถานะเป็นข่านใหญ่ดาบทองจะพูดออกจากปากมาได้ โชคดีที่ฝ่ายตรงข้ามคือคนใบ้คนหนึ่งเท่านั้น
เยวี่ยหยาเอ๋อร์ผงกศีรษะ เงยหน้ามองพร้อมกล่าวด้วยความสงสัย “ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ข้ารู้สึกว่าเหมือนเคยพบเจ้าที่ไหนมาก่อน เจ้าล่ะ เคยพบข้าหรือไม่?!”
เจ้าใบ้เบิกตาโพลง ใบหน้างุนงง
ลืมไป เจ้าคนนี้ทั้งหูหนวกทั้งเป็นใบ้ แล้วจะได้ยินข้าพูดได้อย่างไรกันเล่า? อวี้เจียส่ายหน้า หัวเราะพลางตบหัวม้าทูเจวี๋ยหลายครั้ง พูดด้วยภาษามือว่า “เอาล่ะ เจ้าพูดต่อไป เหตุใดถึงคิดออกว่าข้าทายาสลบไว้ที่จมูกม้า?”
ไม่ง่ายดายเลยกว่าจะให้นางเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาได้ เจ้าใบ้ผงกศีรษะอย่างอกสั่นขวัญแขวน ย่างก้าวเร็วรี่พุ่งปราดไปข้างกายม้าทูเจวี๋ย เขาตบขาม้า จากนั้นลูบไล้หู ดวงตา จมูก และปากของมัน ต่อมาก็ชี้ท้องฟ้าและทุ่งหญ้า ใช้มือเดียวแนบหน้าอก ทำท่าทางของการรับรู้
เยวี่ยหยาเอ๋อร์ครุ่นคิด ผงกศีรษะแล้วเอ่ยว่า “เจ้าบอกว่าม้ากับพวกเราก็เหมือนกัน หากมันจะรับรู้ทุ่งหญ้าและท้องฟ้าก็ต้องอาศัยดวงตา จมูก ปาก อีกทั้งขา! สาเหตุที่ม้าน้อยของข้าไม่เดิน จะต้องเป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างนี้แน่ ดังนั้นเจ้าถึงเริ่มดูที่ขาม้าก่อน จากนั้นค่อยไปที่อวัยวะทั้งห้า?!”
นางจ้องหลินหว่านหรง พูดจารวดเร็วยิ่งนัก เสียงกระจ่างชัดดั่งกระดิ่งลม ด้วยภาษาทูเจวี๋ยอันแสนจะน่าเวทนาไม่กี่ประโยคของคนแซ่หลิน ไหนเลยจะเข้าใจได้ว่านางกำลังพูดอะไรอยู่
“อ๊ะ…อ๊ะ…” เจ้าใบ้รีบโบกมือ แสดงความหมายว่าข้าฟังไม่ออกว่าเจ้าพูดอะไร
มองดูเจ้าใบ้เบิกตากว้าง ท่าทางงงงวยไม่รู้เรื่อง อวี้เจียจึงเอ่ยออกมาเบาๆ “เจ้าไม่ได้ยินข้าพูดก็ไม่เป็นไร แต่ข้าเข้าใจความคิดของเจ้าแล้ว บางทีเจ้าอาจเป็นคนใบ้ที่ฉลาดมากที่สุดบนทุ่งหญ้าแห่งนี้ เพียงแต่พฤติกรรมต่ำช้าที่เจ้าแอบทายาปลุกกำหนัดบนตัวม้ากลับไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะทนได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?” นางใบหน้าเย็นชา คิ้วงามเลิกขึ้น สีหน้าท่าทางเคร่งขรึม ไม่แสดงโทสะกลับแผ่บารมี เพียงแต่น่าเสียดายที่ฝ่ายตรงข้ามทั้งหูหนวกทั้งเป็นใบ้ มองดูนางด้วยตาที่เบิกกว้างราวกับคนปัญญาอ่อน ทำให้ความน่าเกรงขามของนางไม่อาจใช้งานได้
เจ้าคนใบ้คนนี้ชิงข่านใหญ่ท่ามกลางสายตาฝูงชน เป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนเห็นกับตา ตอนนี้ไม่อาจลงโทษมันตามใจชอบได้ แม้แต่ความน่าเกรงขามของข่านใหญ่ก็ไม่อาจใช้กับมัน อวี้เจียกัดฟันกรอด กล่าวด้วยความรู้สึกทั้งเดือดดาลทั้งจนใจเล็กน้อย “ครั้งนี้เจ้าทำเพื่อปกป้องคนในเผ่าเจ้า ข้าเข้าใจ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ห้ามมีอีก หากให้ข้าเห็นว่าเจ้าใช้วิธีการต่ำช้าพวกนั้นอีกล่ะก็ ข้าจะหักขาเจ้าเสีย ให้เจ้าขี่ม้าไม่ได้อีกต่อไป! เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
เจ้าใบ้อือๆ หลายครั้ง เดินไปข้างกายม้าช้าๆ หันหลังให้นางพลางลูบไล้แผงคอของอาชาสีนิลเบาๆ เงียบงันไม่เอ่ยวาจา
เมื่อเห็นท่าทางตกใจหวาดกลัวและไม่ได้รับความเป็นธรรมของมัน ใจของข่านใหญ่ดาบทองก็ไม่รู้ว่าเป็นเช่นไร จู่ๆ ก็รู้สึกรวดร้าวเล็กน้อย จ้องมองเงาหลังที่ว้าเหว่ของเจ้าใบ้อย่างเหม่อลอย นางนิ่งงันอยู่นาน จากนั้นก็พูดเบาๆ ออกมาว่า “บอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าชื่ออะไร?!”
คำถามนี้เจ้าใบ้ย่อมฟังไม่เข้าใจ ตบหลังม้าเบาๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ท่าทางสบายอารมณ์ยิ่งนัก
อวี้เจียรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นมันตอบสนอง ใจพลันเต้นรัวดังตึกตักอย่างไม่ทราบสาเหตุ นางไม่รู้เช่นกันว่าความรู้สึกมาจากที่ใด เดินสองก้าวอย่างฉับพลัน พุ่งปราดไปข้างหน้า เบิกตากว้างพลางจ้องมอง “เจ้าใบ้ ข้าอยากเห็นเจ้า!”
การพุ่งเข้ามาของนางครั้งนี้ทำให้หลินหว่านหรงตกใจสะดุ้งโหยงทันที เห็นสาวน้อยคนนี้เผยอริมฝีปากสีชาดเล็กน้อย ถึงกระนั้นกลับไม่รู้ว่านางจะทำอะไร หากถามว่าตอนนี้เขาเสียดายเรื่องอะไรมากที่สุด สิ่งนั้นก็คือไม่ได้เรียนภาษาทูเจวี๋ยจนชำนาญนั่นเอง
มันเป็นคนใบ้จริงๆ! เมื่อเห็นท่าทางบื้อใบ้งงงวย ไม่รู้เรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้นของคนตรงหน้า อวี้เจียก็ทอดถอนใจเล็กน้อย ลงมือรวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบเพื่อดึงผ้าคลุมหน้า
ช่วงเสี้ยววนาทีนี้แม้จะไม่ได้ยินแต่ก็มองเห็น! หรือว่าจะถูกนางจับได้แล้ว?! ข้างหลังเป็นม้า ปราศจากหนทางถอย ด้วยความตกใจอย่างยิ่ง หลินหว่านหรงมองข้อมืองดงามประดุจหยกที่อยู่ใกล้แค่คืบนั้น เขาใช้ความคิดเร็วรี่ กัดฟันกรอด ขณะที่กำลังจะลงมือจับตัวนางไว้ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องเรียกเซ็งแซ่อยู่ไกล ๆ “ท่านข่านใหญ่ ท่านข่านใหญ่…”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์อึ้งเล็กน้อย มืองามหยุดอยู่กลางอากาศ เบือนหน้าไปอย่างรวดเร็ว เห็นว่าห่างออกไปหลายร้อยจั้ง ชาวทูเจวี๋ยจำนวนมหาศาลกำลังควบม้าห้อตะบึงมา ผู้ที่อยู่หน้าสุดก็คือทหารม้าหมาป่าทูเจวี๋ยซึ่งรับผิดชอบการคุ้มกันความปลอดภัยของนาง ข่านน้อยซ่าเอ่อร์มู่อยู่กึ่งกลาง หวดแส้ม้าเร่งความเร็ว วิ่งเข้ามาหาอย่างเร็วรี่ ไม่ไกลจากตัวเขา ชนเผ่าเยวี่ยซื่อที่ได้รับชัยชนะกำลังสิ่งตัดผ่านทุ่งหญ้าประดุจสายลม
หลินหว่านหรงถอยหลังออกไปหลายก้าวอย่างเงียบๆ เหงื่อเย็นไหลพร่างพรู หากถูกอวี้เจียเปิดหน้ากาก ความยากลำบากในการรอนแรมช่วงหลายเดือนนี้ก็จะจบสิ้นภายในชั่วพริบตา พี่สาวนางเซียนพูดถูก จิตใจของอวี้เจียมุ่งมั่นหาใดเปรียบ ยิ่งอยู่ใกล้นางก็ยิ่งอันตราย
ทหารม้าทูเจวี๋ยมาอยู่ตรงหน้าภายในชั่วพริบตา เมื่อสูญเสียโอกาสดีที่สุดที่จะได้เปิดหน้ากากไปแล้ว เยวี่ยหยาเอ๋อร์จึงรั้งมือกลับไปอย่างหงุดหงิด แววตาปรากฏความผิดหวังให้เห็นรางๆ
“ท่านพี่ ท่านไม่เป็นอะไรนะ?!” ม้าเพิ่งมาถึง ข่านน้อยก็โผลงจากหลังม้าแล้ว โผมาอยู่เบื้องหน้าอวี้เจียด้วยความตื่นเต้น เขาจับมือข่านใหญ่แน่น ดวงตามีน้ำตาคลอให้เห็นรางๆ เด็กอายุห้าหกขวบคนหนึ่ง แบกภาระอันแสนจะหนักอึ้งเหลือล้นไว้บนบ่า มิหนำซ้ำข่านใหญ่ซึ่งเป็นที่พึ่งพิงกลับหายสาญสูญภายในชั่วพริบตาอีก ความมหาศาลของแรงกดดันนั้นเพียงคิดก็รู้ได้
อวี้เจียจุบมือข่านน้อย ผงกศีรษะพลางแย้มยิ้ม “ข้าสบายดี ซ่าเอ่อร์มู่ ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”
ซ่าเอ่อร์มู่ร้องด้วยความตื่นเต้น เดินวนรอบพี่สาวรอบหนึ่ง สายตาไปอยู่ที่คนข้างกายอวี้เจีย “ท่านพี่ นี่คือคนเผ่าเยวี่ยซื่อที่ชิงตัวท่านได้คนนั้นหรือ?! นี่ เจ้าชื่ออะไร เจ้าชิงท่านข่านใหญ่ใหญ่ได้อย่างไร?!”
หูปู้กุยพุ่งปราดไปอยู่ข้างกายหลินหว่านหรงตั้งแต่แรก ทั้งสองคนยังไม่ได้ทันพูดคุยกัน ข่านน้อยก็เอ่ยถามมาเป็นชุดแล้ว ภายใต้สายทุกคน เหล่าหูไม่อาจแปลได้ เขาร้อนใจจนเหงื่อเย็นไหลพราก ถึงกระนั้นกลับได้ยินอวี้เจียพูดเบาๆ ออกมาว่า “เจ้าคนนี้มันเป็นคนใบ้…ซ่าเอ่อร์มู่ ไม่ต้องถามแล้ว มันพูดไม่ได้!” ซ่าเอ่อร์มู่ดวงตาฉายแววผิดหวังอย่างยิ่ง ผู้ที่ทำให้อ๋องขวาร่วงลงจากม้าก็คือเจ้าใบ้คนนี้? ช่างเหลือเชื่อเหลือเกิน
“ท่านพี่ เช่นนั้นดาบทองเล่มนี้…” ข่านน้อยมองดาบทองของอวี้เจียที่ประคองอยู่ในมือ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถามออกมาเบาๆ
เมื่อคำพูดของซ่าเอ่อร์มู่หลุดออกมา รอบด้านพลันเงียบสงัดทันที การถือครองดาบทองคือคำถามสุดท้ายของการแข่งขันชิงแพะในวันนี้ และเป็นคำตอบที่ทุกคนอยากรู้ด้วย แม้แต่พวกของเหล่าหูก็ยังอดกลั้นลมหายใจเพื่อฟังว่าอวี้เจียจะตอบเช่นไรไม่ได้ ข่านใหญ่รับดาบทองไปกุมอยู่ในมือ ข้อมือบอบบางกำแน่นเสียจนปรากฏเส้นเอ็นสีเขียวปูดขึ้นมาบาง
นางเงียบงันอยู่นาน จู่ๆ ก็ย่างก้าวเบาๆ เดินเข้าหาหลินหว่านหรงไม่เร็วไม่ช้า เหล่าเกาส่งเสียงฮิคราหนึ่ง ดึงแขนเสื้อน้องหลินแน่น
ฝีเท้าของอวี้เจียเหยียบย่างอยู่บนทุ่งหญ้า เสียงซ่าๆ เบาๆ ดังก้องวนเวียนอยู่ภายในจิตใจทุกคน มองดูนางเดินเข้าหาเจ้าใบ้ทีละก้าว ความตึงเครียดในอากาศราวกับจะระเบิดออก แม้แต่เสียงเข็มตกก็ยังได้ยินชัดเจน
หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว อวี้เจียใบหน้าอมยิ้ม ร่างกายใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ดาบทองในมือเปล่งประกายเจิดจรัส
ขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่านางจะมอบดาบทองให้เจ้าใบ้ อวี้เจียกลับเดินผ่านมันไปแล้วจูงม้าทูเจวี๋ยที่อยู่ข้างหลังมัน
“ซ่าเอ่อร์มู่ พวกเราไป!” ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามสนธยา ข่านใหญ่สายตาเย็นเยียบ วงหน้าอันงดงามเปล่งประกายสีทอง ท่าทางน่าเกรงขาม นางออกแรงหวดแส้ม้า ข่านน้อยร้องเสียงดังว่าเยี่ยม จากนั้นก็หักหัวม้าตามติดอยู่ข้างหลังพี่สาว ทหารม้านับพันเคลื่อนที่อย่างแช่มช้า
ข่านใหญ่ไม่ได้ต้องใจคนเผ่าเยวี่ยซื่อคนนั้น! ชนเผ่านอกด่านส่ายหน้าที่อยู่โดยรอบถอนหายใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย ผู้กล้าเยวี่ยซื่อคนนี้ใช้กำลังสู้กับอ๋องขวา แย่งชิงท่านข่าน ไม่ว่าด้านการต่อสู้หรือสติปัญญาต่างเป็นเลิศ ถึงกระนั้นกลับไม่ได้รับการชื่นชอบจากท่านข่านดาบทอง ช่างน่าเสียดายจริงๆ!
เหล่าเกาแค่นเสียงพร้อมพูดอย่างชั่วร้าย “น้องหลิน ไม่ต้อผิดหวัง รอให้พวกเราชิงตัวนางมาอุ่นเตียงให้เจ้าดีกว่า! นางหลบหนีโชคชะตาในการอุ่นเตียงให้เจ้าไม่ได้หรอก!”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ สองครา ยังไม่ทันพูดก็เห็นขบวนม้าที่อยู่ข้างหน้าค่อยๆ หยุดลง อาชาสีดำตัวหนึ่งวิ่งผ่านฝูงชน ห้อตะบึงอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบมาถึงเบื้องหน้าเขา มันแหงนหน้าสะบัดกีบเท้า ออกแรงส่งเสียงร้อง หยุดอยู่ตรงหน้าเขา ผู้ที่ขี่อยู่บนม้าทัดปอยผมข้างหูเบาๆ พร้อมกล่าวอย่างอ่อนโยน “เจ้าใบ้ คืนนี้ในเมืองมีงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่ เจ้าอยากมาหรือไม่?!”
ชนเผ่านอกด่านที่อยู่โดยรอบตะลึงงันก่อน จากนั้นก็ระเบิดเสียงโห่ร้องยินดีดังสะเทือนเลื่อนลั่น
“อ๊ะ อ๊ะ…” เหล่าหูเหล่าเการวมพลังอยู่ข้างหลัง ออกแรงกดกดหัวเจ้าใบ้ลง ผงกศีรษะเหมือนไก่จิกข้าวสาร ชาวทูเจวี๋ยยิ่งหัวเราะดังมากขึ้น
อวี้เจียใบหน้าผุดรอยยิ้ม เอื้อนเอ่ยออกมาเบาๆ ว่า “ข้าไม่รู้ว่าข้าเคยพบเจ้าหรือไม่! แต่เจ้าเป็นผู้กล้าที่มีพฤติกรรมเลวร้ายมากที่สุด ทักษะการขี่ม้าย่ำแย่มากที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา! ดังนั้นข้าจะจำเจ้าเอาไว้!”
“ไป!” เมื่อข่านใหญ่กล่าวระคนหัวเราะจบก็หมุนกายห้อตะบึงจากไป ชาวทูเจวี๋ยนับพันห้อมล้อมคุ้มกันเงาร่างอันงดงามอยู่กึ่งกลาง เพียงชั่วพริบตาก็หายลับไปแล้ว
“หมายความว่าอะไร?” เมื่อฟังเหล่าหูแปลจบ หลินหว่านหรงก็เอ่ยถามด้วยท่าทางเหม่อลอย ยากเย็นนักกว่าเขาจะหาโอกาสเอ่ยปากพูดได้สักครั้ง แต่ตนเองกลับต้องงุนงงไปเสียอย่างนั้น
“ไม่มีอะไรขอรับ นางกำลังชมข้อดีของท่าน!” เหล่าเกาแสร้งกล่าวปลอบใจ
“ไม่ได้ถามเรื่องนี้!” หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมใช้เท้าเตะก้นเขา “ข้าถามว่าม้าที่อวี้เจียขี่ไปเหตุใดถึงเป็นม้าของข้า?” ระเบิดลูกแรกผ่านไปแล้ว ต่อจากนี้ยังมีลูกที่สองอีก ระเบิดต่อเนื่องล่ะสินะ…