ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 603 ดมกลิ่นรู้จักม้า
คำถามนี้ไม่มีผู้ใดที่มีคุณสมบัติตอบได้ อย่างน้อยที่สุดเหล่าหูกับเหล่าเกาก็ตอบไม่ได้ ฟ้าใกล้มืดแล้ว เงาหลังของท่าน ข่านดาบทองค่อยๆ เคลื่อนไกลห่างออกไปท่ามกลางการคุ้มกันของทหารม้า จนสุดท้ายก็ลาลับไปท่ามกลางแสงสายัณห์สีทอง
ชนเผ่านอกด่านที่อยู่โดยรอบค่อยๆ สลายตัวไป ผู้กล้าที่ปิดบังใบหน้าจำนวนหนึ่งถูกบรรดาสาวน้อยห้อมล้อมไว้ตั้งแต่แรก กำลังส่งเสียงเจื้อยแจ้วจำนรรจา มอบมาลัยดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วน ยังมีบางคนที่หน้าสะสวยสักหน่อยกำลังมองประเมินดินแดนเยวี่ยซื่อด้วยท่าทีขวยเขิน คิดจะเข้ามามอบดอกไม้แต่ก็ขาดความกล้า
อย่างไรเสียเยวี่ยซื่อคือดินแดนที่ท่านข่านดาบทองทรงเลือกด้วยตนเอง ผู้กล้าที่ร้ายกาจมากที่สุดย่อมต้องให้ท่านข่านใหญ่ผู้งดงามกอปรด้วยสติปัญญาทรงเลือกก่อน ส่วนคนที่เหลือถึงจะมาถึงคราวพวกนาง
“น้องหลิน เจ้าดูสิ สาวน้อยชนเผ่านอกด่านเหล่านี้กำลังจ้องมองเจ้าตาไม่กะพริบเลยนะ!” เหล่าเกากล่าวระคนหัวเราะอย่างลามก “ขอเพียงเจ้าร้องออกมาคำเดียวว่าข้าต้องการหาคนมาอุ่นเตียง คืนนี้สาวงามที่นอนบนพื้นหญ้าก็จะมีเป็นภูเขาเลากาแล้ว ฮิๆ!”
เหล่านายทหารต้าหัวซึ่งอยู่รายล้อมแม่ทัพหลินต่างหัวเราะเสียงดัง บรรยากาศผ่อนคลายเหลือล้น เดิมทีการแข่งขันชิงแพะนี้เป็นการแข่งขันตามประเพณีของชนเผ่านอกด่าน ยอดฝีมือคับคั่ง ผู้กล้ามากล้น แต่ละครั้งจะต้องสู้รบพัวพันกันอย่างยาวนานนากจะตัดสิน เพียงแต่ปีนี้เหนือความคาดหมายมากที่สุด ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่างานเทศกาลแข่งขันชิงแพะที่ชนเผ่านอกด่านภาคภูมิใจกลับให้ทัพอันโดดเดี่ยวของต้าหัวซึ่งล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้าชิงความเป็นหนึ่งแทน ทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบของสาวน้อยทูเจวี๋ยจำนวนมากขนาดนี้อีก แล้วนี่ยังจะมีเรื่องที่น่าสนุกยิ่งกว่านี้อีกหรือ?!
ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่อ๋องขวาทูเจวี๋ยถูสั่วจั่วซึ่งมีชื่อเสียงอุโฆษปทั่วทุ่งหญ้าก็ยังพ่ายแพ้ใต้เงื้อมมือแม่ทัพหลินอีก แม้วิธีการจะต่ำช้าเป็นอันธพาลอยู่บ้างก็ตาม แต่การลงสนามรบสู้แลกชีวิตกันเช่นนี้แต่เดิมก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเปิดเผยตรงไปตรงมาอยู่แล้ว ชนะก็คือวีรบุรุษ ถูสั่วจั่วพ่ายแพ้จนอับจนคำพูด! สรุปแล้วการรบวันนี้ได้กำไรมหาศาล!
หลินหว่านหรงส่ายหน้า หัวเราะฮิๆ แล้วพูดว่า “ต้องการหาคนมาอุ่นเตียง? พี่เกา ท่านไปเองเถอะนะ! ข้าคนนี้เป็นพวกจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ เห็นสาวงามดั่งสิ่งปฏิกูล ทุกคนต่างรู้กันดี…เพียงแต่จะว่าไป” เขามองรอบด้านหลายครั้ง กล่าวพลางถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย “หากจะหาสิ่งปฏิกูลจากสาวน้อยทูเจวี๋ยเหล่านี้ นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายดายแล้วหรือ!”
เกาฉิวผงกศีรษะเห็นด้วยอย่างยิ่ง หัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ก็ไม่เป็นไร ดับไฟเสียทุกคนก็เหมือนกันแล้ว! พอลืมตามอง หวา สิ่งปฏิกูลเต็มไปหมดเลย!”
เจ้าเหล่าเกาคนนี้ แม้แต่คำพูดก็แฝงความลามกอนาจาร ไม่ว่าจะมาแบบไหนกลับไม่เคยบ่ายเบี่ยง หูปู้กุยฟังแล้วก็สนุกสนานยิ่งนัก
สรวลเสเฮฮากันไปหลายประโยค หลินหว่านหรงก็เหลียวมองประเมินรอบด้าน ดวงตะวันลาลับ ณ ทิศประจิม ม่านท้องฟ้ายามสนธยากำลังมาเยือน ดินแดนหลายสิบดินแดนที่มีคุณสมบัติเข้าไปในเค่อจือเอ่อร์วิ่งห้อตะบึงไปมาอยู่บนทุ่งหญ้าโดยไม่แม้แต่จะถอดหน้ากาก ร้องเพลงอย่างมีความสุข เฉลิมฉลองชัยชนะ ส่วนชนเผ่านอกด่านที่มีจำนวนมากกว่ากลับไร้สาวนาเข้าไปในราชธานี พวกมันเก็บค่ายกระโจมกันอย่างเงียบๆ รีบรุดกลับดินแดนตนภายในคืนนี้
สำหรับผู้พ่ายแพ้เหล่านี้ หากต้องการความเคารพและการชื่นชมจากดินแดนอื่น มีแค่ต้องกลับมาใหม่ปีหน้าเท่านั้น
อาชาพ่วงพีส่งเสียงร้องยาวๆ อยู่บนทุ่งหญ้า วิ่งไปวิ่งมาไม่หยุดหย่อน ถึงกระนั้นไปกลับมีมาก มามีน้อยยิ่ง ชาวทูเจวี๋ยที่พ่ายแพ้จากไปอย่างหม่นหมอง ที่เหลืออยู่ก็มีแค่คนสามสี่ร้อยคนจากสิบกว่าดินแดนเท่านั้น ซึ่งในนั้นก็รวมถึงเยวี่ยซื่อด้วย รอบด้านมีแต่หญ้าแห้งที่ม้ากินเหลือกับร่องรอยจากการตั้งค่าย ยุ่งเหยิงเละเทะไปหมด ทุ่งหญ้าซึ่งชุลมุนวุ่นวายทั้งวันเงียบสงบภายในชั่วพริบตาตามเสียงคนที่หายไป
ทหารม้าหมาป่าหลายหมื่นนายซึ่งเดิมทีปักหลักอยู่นอกเมืองติดตามอวี้เจียเข้าเมืองไปแล้ว รอบด้านล้วนเงียบสงัดและว่างเปล่า เทศกาลแข่งขันชิงแพะจบสิ้น ทหารม้าทูเจวี๋ยจึงไม่จำเป็นต้องปักหลักอยู่นอกเมืองเป็นธรรมดา เรื่องนี้กลับไม่ได้เหนือความคาดหมาย
มองดูพี่น้องสามสิบกว่าคนซึ่งกำลังรายล้อมอยู่รอบตัว เมื่อเทียบกับสิบกว่าคนในการแข่งชิงแพะก่อนหน้านี้ถือว่าเพิ่มขึ้นหลายเท่า พวกเขากำลังเดินตรวจตราอย่างลับๆ อยู่รอบด้าน หูปู้กุยเลือกเฟ้นคนเหล่านี้มาอย่างดี แต่ละคนต่างพูดภาษาทูเจวี๋ยได้หลายประโยค หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “พี่หู คนมาครบแล้วหรือไม่?!”
“มาครบแล้วขอรับ!” หูปู้กุยกะพริบตา หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพ คราวนี้อาศัยใบบุญของท่าน พี่น้องหลายสิบคนของเรานี้ถึงเข้าเมืองอย่างเปิดเผยได้”
ดินแดนซึ่งชนะสามรอบขึ้นไปต่างมีสิทธิ์เข้าเค่อจือเอ่อร์เพื่อร่วมสนุกกับงานเลี้ยงที่ข่านใหญ่จัดขึ้นได้ เพียงแต่หลังจากเข้าเมืองแล้วจะดำเนินการเช่นไรกลับเป็นปัญหาใหญ่ยิ่งนัก
ตามแผนก่อนหน้านี้ของเขา เทศกาลแข่งขันชิงแพะเป็นงานใหญ่ของชนเผ่านอกด่านซึ่งมีปีละครั้ง คึกคักและยิ่งใหญ่ จะต้องมีราชนิกุลและผู้สูงศักดิ์จำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันที่วังหลวง ทหารม้าทูเจวี๋ยคุ้มกันข่านและเหล่าผู้สูงศักดิ์อยู่นอกเมือง จิตใจตึงเครียด เหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด การป้องกันเมืองย่อมเผยจุดอ่อนออกมา อีกทั้งเค่อจือเอ่อร์ในคืนนี้จะสนุกสนานคึกคักกันทั้งคืนเพราะงานเทศกาลชิงแพะอะไรที่ว่า ขอเพียงคิดหาหนทางก่อความวุ่นวายเล็กน้อย ยึดกำแพงเมืองและเปิดประตูเมืองอย่างรวดเร็ว ทหารม้าจำนวนห้าพันฉวยโอกาสขณะที่ชนเผ่านอกด่านยังไม่รู้ตัว ใช้ความเร็วดุจสายอสุนีบาตบุกยึดวังหลวงทูเจวี๋ย สู้ให้มันรับมือไม่ทัน เมื่อชิงวังหลวง จับกุมข่านและผู้มีอำนาจสำคัญของทูเจวี๋ยได้ เช่นนั้นก็เท่ากับสูบจิตวิญญาณของเค่อจือเอ่อร์ไป ราชธานีทูเจวี๋ยย่อมล่มสลาย ชนเผ่านอกด่านย่อมถูกทำลายไปเอง
แม้จะคำนวณอย่างดี เพียงแต่ระหว่างนั้นกลับเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงตั้งมากมาย สู้ศึกครั้งใหญ่กับอ๋องขวาอย่างแปลกประหลาดมหัศจรรย์ แถมเยวี่ยซื่อยังได้ที่หนึ่งในงานแข่งขันชิงแพะอีก ตอนนี้พวกเขาไม่ใช่ดินแดนเล็กและอ่อนแอที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามอีกต่อไป แต่เป็นเป้าสายตาของทุกคน ช่องว่างที่จะให้พวกเขาก่อการไม่ได้มากเท่ากับก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไร ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน การปะปนเข้าเค่อจือเอ่อร์คือหนทางเดียวที่พวกเขาเลือกได้
“เข้าเมืองอย่างเปิดเผยอาจไม่ใช่โชคดีก็ได้” หลินหว่านหรงถอนหายใจ พูดพึมพำกับตนเอง
เหล่าหูเข้าใจความลำบากของเขา ดังนั้นจึงกล่าวระคนหัวเราะอยู่ข้างใบหู “ท่านแม่ทัพวางใจเถิดขอรับ สวี่เจิ้นพาพี่น้องหลายพันที่เหลือเดินทางตั้งแต่แรกแล้ว ต่อให้โชคร้ายกว่านี้ พวกเขาก็บุกเข้าเมืองโดยตรงได้เลย อย่างมากก็คือตาย ตอนพวกเราออกมาไม่ได้คุยกันเรียบร้อยแล้วหรือขอรับ? ต่อให้ฆ่าชนเผ่านอกด่านไม่ได้ก็ต้องทำให้พวกมันตกใจจนตาย…”
เมื่อได้ยินเหล่าหูพูดจาสบอารมณ์ยิ่งนัก หลินหว่านหรงจึงหัวเราะฮ่าๆ อารมร์ผ่อนคลายลงไปหลายส่วนทันที หูปู้กุยมองรอบด้านอย่างมีลับลมคมนัย พูดกดเสียงต่ำออกมาว่า “ยังมีอีกเรื่องที่ไม่กล้าบอกท่านขอรับ เมื่อครู่ตอนที่พวกเราชิงแพะ บรรดาพี่น้องที่เหลืออยู่ฉวยโอกาสช่วงที่ชนเผ่านอกด่านดูการต่อสู้ไปเอาน้ำมันต้นถงจากเผ่าละแวกใกล้เคียงมา ตอนนี้วางอยู่บนหลังม้าทั้งหมดแล้ว ท่านคิดดูสิขอรับ เค่อจือเอ่อร์คืนนี้ร้องรำทำเพลง ต้อนรับเหล่าวีรบุรุษผู้ชิงแพะอย่างยิ่งใหญ่ นั่นไม่ใช่ต้องมีผู้คนล้นหลาม ฝูงชนคับคั่ง เบียดเสียดยัดเยียดกันหรอกหรือ? หากมีม้าเพลิงที่ควันลุกโผล่พรวดออกมาจากที่ใดสักที่หนึ่ง ฮิๆ นั่นจะเป็นภาพเช่นไรกันนะ!”
“จริงหรือ?!” หลินหว่านหรงยินดียิ่งนัก รีบเหลือบมองม้าศึกที่อยู่ข้างกาย สองข้างท้องม้าทูเจวี๋ยตัวนั้นมีกระบอกไม้ไผ่ยาวหลายฉื่อห้อยอยู่หลายกระบอก ต่างถุงใช้ผ้าปิดบัง ปริมาณคล้ายไม่น้อยเลยทีเดียว
“อ้อ” เกาฉิวเงี่ยหูฟังอยู่ด้านข้างมาตั้งนาน พูดพร้อมทำปากกลมโตด้วยความยินดียิ่ง “เหล่าหูตัวดี รู้จักขโมยน้ำมันแล้ว!”
“ขโมยอะไรกัน” หูปู้กุยมองเขาด้วยความหงุดหงิดโมโห “ฉวยโอกาสช่วงปลอดคนเข้าไปเที่ยวชมในกระโจมผู้อื่นสักครา จากนั้นก็เอาน้ำมันติดมือมาเล็กน้อย นี่เรียกว่าขโมยหรือ? นี่เขาเรียกว่าตัก! เหล่าเกา เจ้ากลับไปหาอาจารย์มาสักคนแล้วเรียนตัวอักษรใหม่เถอะนะ!”
“ใช่ๆ ตักน้ำมัน ไม่ได้ขโมยน้ำมัน” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ รู้สึกโล่งอกยิ่งนัก เมื่อมีอาชาเพลิงหลายสิบตัวนี้ ต่อให้ยึดเค่อจือเอ่อร์ไม่ได้ ข้าก็ต้องทำให้มันวุ่นวาย!
จู่ๆ เกาฉิวก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบพูดออกมาว่า “ต่อให้พวกเรามีอาชาเพลิง แต่ทหารม้าทูเจวี๋ยนับหมื่นนั่นก็เข้าเมืองแล้ว หากพวกมันขวางอยู่หน้าประตูวัง นี่จะกลายเป็นศัตรูมากฝั่งเราน้อย สู้ยากนา!”
หลินหว่านหรงตบบ่าเขา แย้มยิ้มพลางส่ายหน้า “พี่เกา พวกเราไม่ได้มาแข่งจำนวนคนกับพวกมัน พวกเรากำลังแข่งกันว่าใครจะลงมือรวดเร็วกว่ากัน! ท่านดูสิ นั่นก็คือพระราชวังของทูเจวี๋ย”
เขาชี้มือไป พวกเกาฉิวสองคนมองไปตามทิศทางของนิ้วมือเขา ท่ามกลางแสงสายัณห์สีแดงเข้ม กำแพงเมืองหยาบหนาของเค่อจือเอ่อร์ปรากฏให้เห็นเด่นชัด ห่างจากตัวกำแพงเมืองไม่ไกลจะมองเห็นศาลาหอคอยที่มีหลังคาสีเหลืองกระเบื้องทอง ทางเดินสีแดงสลับเขียวอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับสิ่งปลูกสร้างเตี้ยๆ ที่อยู่โดยรอบ เห็นได้ชัดว่ามันดูสูงส่งและสะดุดตามาก
“เมื่อดูจากการจัดผังเมืองเค่อจือเอ่อร์ วังหลวงอยู่ไม่ไกลจากประตูเมือง สิ่งนี้เมื่ออยู่ที่ต้าหัวเราช่างเป็นเรื่องที่ไม่กล้าคิดแม้แต่น้อย ดูท่าทางชาวทูเจวี๋ยไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการสร้างเมืองสักเท่าไหร่!”
หูปู้กุยฟังแล้วก็ผงกศีรษะ เมืองหลวงในประวัติศาสตร์หัวเซี่ย มีเมืองใดบ้างที่มีประตูเป็นชั้นๆ ตำหนักสูงกำแพงศิลาหนา พระราชวังชาวทูเจวี๋ยแห่งนี้โครงสร้างเรียบง่าย สร้างแบบหยาบๆ กระทั่งยังเทียบศาลาว่าการภายในเมืองอันแสนจะมั่งคั่งเมืองใดเมืองหนึ่งในเจียงหนานไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
“และเมื่อตัดสินจากขนาดของหอและศาลาเหล่านั้น วังหลวงของทูเจวี๋ยจุคนได้สองพันคนนั่นก็ถือว่าเยี่ยมมากแล้ว!” หลินหว่านหรงหัวเราะ “ดังนั้นทหารม้าทูเจวี๋ยไม่อาจปักหลักอยู่ที่นี่ทั้งหมดได้ พวกมันต้องยังมีค่ายทหารอยู่ในเมือง ในเมื่อเป็นค่ายทหารก็ต้องอยู่ห่างจากวังหลวงสักช่วงหนึ่ง!”
“แต่ไกลเท่าไหร่ล่ะ?!” เหล่าเกาขมวดคิ้ว นี่ถึงจะเป็นประเด็นสำคัญของปัญหานี้
“ง่ายดายมาก” แม่ทัพหลินแบมือแล้วพูดว่า “พี่เกา หากท่านเป็นข่านทูเจวี๋ย เมื่อมีทหารม้านับหมื่นอยู่ข้างกายเช่นนี้ ท่านคิดจะเอาพวกมันไปไว้ไกลเท่าใด?!”
“ก็ต้องยิ่งใกล้ก็ยิ่งดี!” เหล่าเกาตอบโพล่งออกมา จากนั้นเมื่อครุ่นคิดจึงพูดขึ้นมาอีกว่า “ก็ไม่ถูกนะ ไพร่พลตั้งหมื่นกว่าคนนี้หาใช่จำนวนน้อยๆ ดาบทวนของจริงทั้งนั้น หากอยู่ใกล้เกินไปผู้ใดจะรับรองว่าในหมู่พวกมันไม่มีคนคิดกบฏ?!”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะแล้วเอ่ยว่า “นี่ก็คือโรคของเจ้าผู้ปกครอง กระหายอำนาจทางการทหาร แต่กลับกลับการก่อกบฏของทหารอีกด้วย จะต้องรักษาระยะห่างอย่างเหมาะสม ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง พวกท่านอย่าลืมว่าทหารนับหมื่นนี้เป็นคนในเผ่าถูสั่วจั่ว!”
เข้าใจแล้ว! หูปู้กุยกับเกาฉิวตกใจพร้อมกัน
“ดังนั้นจึงพูดได้ว่าขอเพียงพวกเราเคลื่อนไหวรวดเร็วพอ เปิดประตูเมืองทันท่วงที ก่อนบุกเข้าวังหลวง โอกาสของพวกเรากับชาวทูเจวี๋ยอย่างน้อยก็ครึ่งต่อครึ่ง! แม้จะมีความเสี่ยงสูงมาก แต่พวกเราก็ต้องทำ นั่นเพราะพวกเรามาเพื่อสิ่งนี้!” เขาโบกมือตัดสินใจเป็นแม่นมั่น ดวงตาผุดไอสังหารเย็นเยียบ “ขอเพียงยึดวังหลวงทูเจวี๋ยได้ นั่นก็คือความสำเร็จของพวกเราแล้ว!”
หูปู้กุยพอฟังก็เลือดลมร้อนระอุพลุ่งพล่าน รีบปรบมือคราหนึ่ง “ดี เอาตามนี้! คืนนี้พวกเราไปเปิดประตูเมืองกัน!”
“พี่หูรีบร้อนอะไร” หลินหว่านหรงหัวเราะ “ตอนนี้ยังไม่ได้เข้าเมือง สถานการณ์ด้านในยังไม่ชัดเจน มาพูดเรื่องพวกนี้ออกจะเร็วเกินไป พวกเรามีแนวทางแล้ว พอเข้าเมืองค่อยทำตามสถานการณ์ก็ได้”
ร้อนใจเกินไปบ้างจริงๆ เหล่าหูหัวเราะด้วยความกระดากใจ
ม่านราตรีค่อยๆ เคลื่อนตัวลงท่ามกลาง ไอหมอกยามสนธยา ทุ่งหญ้าขมุกขมัวไปหมด มองเห็นธงหมาป่าที่ปลิวไสวอยู่บนกำแพงเมืองไกลๆ ได้เล็กน้อย มีดินแดนที่ได้รับชัยชนะไปรออยู่ใต้เมืองอย่างอดรนทนไม่ได้ กำลังเตรียมตัวเข้าเค่อจือเอ่อร์ หน้ากากของผู้กล้าทุกคนไม่ได้ถอด นี่คือเครื่องยืนยันเกียรติยศ พวกมันต้องการเปิดในงานเลี้ยงภายในพระราชวังเพื่อเสพสุขกับเสียงโห่ร้องยินดีจากปวงชน
ประตูเมืองเปิดอย่างแช่มช้า ทหารทูเจวี๋ยที่เฝ้าประตูเมืองสอบถามเล็กน้อยสองสามประโยค เหล่าผู้กล้าแกว่งธงซึ่งแสดงสัญลักษณ์ดินแดนของตนเองด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง จากนั้นเส้นทางก็ปลอดโปร่งปราศจากการสกัดขัดขวาง
เค่อจือเอ่อร์ตั้งอยู่ส่วนลึกของทุ่งหญ้าอาลาซ่าน ไม่เคยถูกโจมตีมาก่อน ชาวทูเจวี๋ยเชื่อมั่นในความสามารถของตนอย่างเปี่ยมล้น การป้องกันจะผ่อนคลายก็เป็นที่ให้อภัยได้
หูปู้กุยเอ่ยถามเบาๆ “พวกเราเข้าตอนนี้ด้วยเลยหรือไม่ขอรับ?!”
หลินหว่านหรงมองท้องฟ้า จากนั้นจึงส่ายหน้าเล็กน้อย “เข้าไปตอนนี้จะกลายเป็นจุดสนใจของผู้อื่นเท่านั้น รออีกสักหน่อยจะดีกว่า”
เกาฉิวหัวเราะฮิคราหนึ่ง “น้องหลิน ข้ามีเรื่องหนึ่งที่สงสัยมานานมากแล้ว เจ้าจับพิรุธได้อย่างไรว่าอวี้เจียเล่นตุกติกกับม้า?”
เมื่อถามเช่นนี้เหล่าหูก็หันหน้ามาทันที เห็นชัดว่าเขาก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
แม่ทัพหลินหัวเราะ “หลักการน่ะหรือ อันที่จริงก็ง่ายดายนัก ม้าก็เหมือนพวกเรา มีจมูกมีตา มีปากและก็มีขา ต่างเป็นอวัยวะในการรับรู้ทั้งสิ้น อาชาสีผสมตัวนั้นไม่ยอมขยับเท้าจะต้องเกิดปัญหาจากส่วนใดส่วนหนึ่งแน่ ดังนั้นข้าจึงดูที่ขาม้าก่อน ขาไม่มีปัญหาก็ไปที่หูกับดวงตาของม้า ส่วนที่มองเห็นชัดเจนมากที่สุด อวี้เจียยากจะเล่นตุกติก ดังนั้นส่วนที่เหลือก็ต้องเป็นที่จมูกกับปากแล้ว”
มีเหตุผล! หูปู้กุยผงกศีรษะ จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัยต่อไป “เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงตัดสินว่านางเล่นตุกติกที่จมูก แต่ไม่ใช่ที่ปากล่ะขอรับ?”
“นี่ยังต้องขอบคุณถูสั่วจั่ว” หลินหว่านหรงผงกศีรษะพลางแย้มยิ้ม “ตอนที่ลูกสมุนมันป้อนหญ้าข้าตั้งใจมองอยู่ ม้าน้อยตัวนั้นถูกสวมตะกร้อครอบปาก ถึงกระนั้นกลับยังออกแรงขยับเข้าไปใกล้ นี่หมายความว่าปากของมันไม่มีปัญหา อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ได้มีปัญหารุนแรง ด้วยเหตุนี้ส่วนที่เล่นตุกติกได้ง่ายมากที่สุดและพบเห็นยากมากที่สุดที่เหลืออยู่ก็คือจมูกของม้า อวี้เจียสาดผงสมุนไพรที่ทำมาจากดอกไม้และใบหญ้าชนิดหนึ่ง ข้าดมแล้วได้กลิ่นหอมจางๆ แต่สำหรับม้ากลิ่นนี้อาจเป็นสิ่งที่มันเกลียดอยู่พอดี ดังนั้นข้าเอาแส้หวดมันมันก็ไม่ไป! ข้าคิดหาวิธีได้ เอาน้ำสาดใส่จมูกเพื่อละลายผงยา เมื่อกลิ่นเบาบางลงมันจึงเปลี่ยนเป็นม้าธรรมดาๆ ตัวหนึ่ง! ต่อมาก็แอบป้ายยาปลุกกำหนัดให้ม้าของนาง จากนั้นก็ไปป้ายที่ก้นม้าข้าเล็กน้อย ดังนั้นนางก็เลยวิ่งไล่ตามข้าไป ฮ่าๆ มันก็ง่ายๆ แบบนี้นี่เอง!”
“ดมกลิ่นรู้จักม้า? น้องหลิน เจ้าช่างมีจมูกอันร้ายกาจเสียจริง!” เหล่าเกาชูนิ้วโป้งชมเชยยกใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชม
หูปู้กุยส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ หลักการเหล่านี้พูดแล้วง่ายดาย แทบเป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้ แต่การสังเกตเรื่องละเอียดปลีกย่อย ขบคิดพิจารณาอย่างยอดเยี่ยมนั้นกลับไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็ทำได้ ผู้อื่นเอาแต่ด่าทอว่าแม่ทัพหลินใช้เป็นแต่ฝีปาก นึกว่าสิ่งที่เขาได้มาทั้งหมดนั้นเอาฝีปากแลกกลับมา ซึ่งนั่นถือเป็นการมองเขาด้วยสายตาอันตื้นเขินนัก
“แย่แล้ว!” ขณะที่หูปู้กุยยังอยู่ในห้วงความคิดก็ได้ยินแม่ทัพหลินส่งเสียงด้วยความตกใจ “ข้ารู้แล้วว่าทำไมอวี้เจียถึงขี่ม้าของข้า!”