ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 604 - 1 ผู้กล้าใบ้
หูปู้กุยพอลองครุ่นคิดก็เข้าใจ “ท่านแม่ทัพ ความหมายของท่านก็คืออวี้เจียอยากจะดูว่าที่ทาอยู่ตรงก้นม้าคือผงยาอะไรใช่หรือไม่ขอรับ”
หลินหว่านหรงผงกศีรษะ ด้วยความดื้อดึงของสาวน้อยเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนั้น นางต้องรู้ให้ได้ว่าสิ่งที่ทำให้ม้าน้อยของตนเสียสตินั้นมันคืออะไรกันแน่ เมื่อคิดว่านางซึ่งสูงส่งเป็นถึงท่านข่านใหญ่แห่งทูเจวี๋ย แต่กลับต้องมาตรวจก้นม้าด้วยตัวเอง ว่าไปแล้วก็น่าขำอยู่บ้าง
“ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง” เกาฉิวกล่าวระคนหัวเราะด้วยความมั่นใจเปี่ยมล้น “น้องหลินวางใจได้ ผงยาที่ข้าให้เจ้าส่วนผสมหลักคือนมของแม่หมูติดสัด สิ่งที่ผสมลงไปก็คือนมแพะและนมวัวที่อยู่ในช่วงให้นมลูก จากนั้นก็เติมเครื่องหอมดอกไม้ใบหญ้าที่เห็นได้ทั่วไปอีกหลายชนิด ต่างเป็นของระดับล่างที่ข้าซื้อจากเมืองซิงชิ่ง มิหนำซ้ำว่ากันว่าส่วนใหญ่เอามาขายที่ทุ่งหญ้า ชนเผ่านอกด่านใช้เพื่อผสมพันธุ์ม้าโดยเฉพาะ หลายครั้งก่อนหน้านี้ข้ากระดากใจที่จะเอาออกมาใช้ เพราะเอาเจ้านี่มาใช้กับคนไม่ค่อยได้ผลมากนัก อย่างมากก็แค่ร้อนรนกระสับกระส่าย แต่กับวัวเอยอูฐเอยอะไรต่อมิอะไร กลับใช้ได้ผลทุกครั้ง ผลลัพธ์มหัศจรรย์ เดิมทีเตรียมมอบให้น้องหลินใช้ไต่สวนเชลย แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ใช้ ฮิๆ น่าเสียดาย ถือว่าชนเผ่านอกด่านพวกนั้นโชคดี บนทุ่งหญ้านี้มันเป็นของที่เห็นได้บ่อยๆ ต่อให้อวี้เจียจำแนกออกมาได้ก็ไม่ได้อะไรมากนัก”
เอาเจ้านี่มาใช้ไต่สวนเชลย! นั่นจะเป็นการไต่สวนอย่างไร หูปู้กุยขนลุก ไม่ว่าฟังคำพูดเหล่าเกาเช่นไรก็มักรู้สึกแฝงความชั่วร้ายอยู่ตลอดเลยนะ
ที่แท้ก็ใช้ผสมพันธุ์ม้าโดยเฉพาะ มิน่าถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้ หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง รู้สึกเสียดายยิ่งนัก ผลิตภัณฑ์สีเขียวชั้นดีที่ทำมาจากนมบริสุทธิ์ทำไมถึงให้สัตว์เดรัจฉานไปใช้สิ้นเปลืองได้นะ
ฟ้าค่อยๆ มืด ทุ่งหญ้าขมุกขมัวสลัวมืดมนไปหมด แสงไฟหรุบหรู่หลายดวงสาดส่องมาจากกำแพงเมืองเค่อจือเอ่อร์ ชนเผ่านอกด่านสร้างโคมไฟไม่ได้ บนกำแพงเมืองใช้คบเพลิงส่องสว่างทั้งหมด สายลมยามราตรีอันเย็นเยียบบนทุ่งหญ้าพัดเข้ามา เปลวไฟขยับวูบไหว เพียงประเดี๋ยวเดียวก็ดับไปเกินครึ่ง บนกำแพงเมืองมืดมิดไปหมด ชาวทูเจวี๋ยเหมือนจะเคยชินกับภาพเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร
พลขี่ม้าเร็ววิ่งห้อตะบึงมาคนหนึ่ง จากนั้นก็ประชิดข้างใบหูหูปู้กุยพร้อมเอ่ยถ้อยคำไปหลายประโยค เหล่าหูผงกศีรษะ พูดกดเสียงต่ำออกมาว่า “ท่านแม่ทัพ พวกของสวี่เจิ้นหุ้มกีบเท้าม้า หนึ่งชั่วยามหลังจากนี้ก็จะไปถึงตำแหน่งที่กำหนดไว้ขอรับ”
หลินหว่านหรงผงกศีรษะ มองดูขบวนเข้าเมืองที่กระจัดกระจายมีจำนวนไม่มากตรงหน้า เหลือแค่ไม่กี่คนแล้ว เขาโบกมือพร้อมตวาดออกมาว่า “เค่อจือเอ่อร์อยู่ข้างหน้า พี่น้องทั้งหลาย ตามข้าไป!”
ไพร่พลเกือบสี่สิบคนคำรามต่ำ ๆพร้อมกันคราหนึ่ง จากนั้นก็หักหัวม้าติดตามอยู่ข้างหลังแม่ทัพหลิน ขี่ม้าตามสบายโดยไม่ใช้บังเ**ยน มุ่งไปที่ประตูเมืองเค่อจือเอ่อร์
ราชธานีของชนเผ่านอกด่านเข้าใกล้มากขึ้นทีละก้าวๆ ใบหน้าหยาบกระด้างของชาวทูเจวี๋ยที่เดินลาดตระเวนอยู่บนกำแพงเมืองมองเห็นอย่างชัดเจนใต้แสงไฟอันหรุบหรู่ เมื่อหวนนึกถึงการเดินทางเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายช่วงหนึ่งเดือนกว่านี้ ทุกสิ่งก็เพื่อการมาถึงของช่วงเวลานี้ ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที หลินหว่านหรงจับอานม้าแน่น สงบอารมณ์อันพลุ่งพล่านของตนไว้
กำแพงเมืองเค่อจือเอ่อร์ก่อด้วยก้อนหินซึ่งยังไม่ผ่านการขัดขนาดยักษ์ มุมและคมโผล่โดดออกมา ตะปุ่มตะป่ำไม่ราบเรียบ เมื่อทอดสายตามองจากที่ไกลๆ ก็เหมือนเม่น คนที่มีมือเท้าปราดเปรียวสักหน่อยแทบจะปีนป่ายขึ้นไปตามมุมที่อยู่ระหว่างซอกหินทีละก้าวทีละก้าวได้
การสร้างเมืองไม่ใช่ความถนัดของชาวทูเจวี๋ยจริงๆ เมื่อยืนอยู่ใต้กำแพงเมืองอันหยาบกระด้างเช่นนี้ หลินหว่านหรงก็ต้องรู้สึกทอดถอนใจ
“หยุด พวกเจ้าเป็นดินแดนใด!” หน้าประตูเมือง ทหารยามทูเจวี๋ยสองนายขวางขบวนหูปู้กุยพร้อมตวาดถามเสียงดัง
“พวกเรา!” หูปู้กุยหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ออกแรงโบกสะบัดธงถู่ฉือที่อยู่ในมือ กล่าวด้วยท่าทีน่าเกรงขามออกมาว่า “ดินแดนเยวี่ยซื่อ! พวกเจ้าไม่เคยได้ยินหรือไร!”
หากเป็นก่อนการแข่งขันชิงแพะผีสางถึงจะรู้ว่าเยวี่ยซื่อคืออะไร แต่ยามนี้สถานการณ์แปรผันโดยสิ้นเชิง ข่าวเรื่องดินแดนเยวี่ยซื่อซึ่งมีขนาดเล็กที่สุดบนทุ่งหญ้าเอาชนะการแข่งขันชิงแพะนั้นแพร่สะพัดทั้งในและนอกเค่อจือเอ่อร์ตั้งนานแล้ว พวกมันไม่เพียงเอาชนะอ๋องขวา แม้แต่ข่านใหญ่ดาบทองผู้งดงามและฉลาดปราดเปรื่องมากที่สุดก็ยังถูกพวกมันชิงตัวไปได้ มีหน้ามีตา ไร้ผู้ต่อกร ส่วนข่าวเรื่องท่านข่านใหญ่ทรงเป็นฝ่ายเชิญชวนให้ผู้กล้าใบ้ของเผ่านี้เข้าร่วมงานเลี้ยงในพระราชวังก็ยิ่งแพร่สะพัดไปอย่างเอิกเกริก ต่างรู้กันทั่วไป
เมื่อเห็นธงถู่ฉือที่อยู่ในมือหูปู้กุย นั่นคือสัญลักษณ์ของผู้แข็งแกร่ง สีหน้าของทหารยามแปรเปลี่ยนในบัดดล ใช้มือเดียวแตะอกพร้อมกล่าวด้วยความเคารพ “ขอแสดงความนับถือต่อผู้กล้าที่กล้าหาญชาญชัยมากที่สุดบนทุ่งหญ้า เชิญทุกท่านเข้าเมือง!”
รสชาติในการถูกชาวทูเจวี๋ยเคารพเทิดทูนมันช่างไม่ธรรมดาเสียจริง หูปู้กุยได้ยินแล้วก็เบิกบานใจ โบกมือพร้อมหัวเราะเสียงดัง “ผู้กล้าทั้งหลาย ตามข้าไป!”
“ฮู้ว…” บรรดาผู้กล้าที่อยู่ข้างหลังเขาเปล่งเสียงคำรามหมาป่าดังสะเทือนถึงชั้นฟ้า เดินเลียบประตูเมืองซึ่งค่อยๆ เปิดอย่างแช่มช้า ควบม้าเข้าไปอย่างพร้อมเพรียง ดาบโค้งในมือกรีดเป็นแสงสีเงินเปล่งประกายพร้อมกัน ราวกับสายฟ้าแลบที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน เย็นเยียบไร้ผู้ใดเปรียบ ทหารยามทูเจวี๋ยเห็นแล้วก็ใจสั่นสะท้านไม่หยุด ไม่เสียทีที่เป็นผู้กล้าที่ร้ายกาจมากที่สุดบนทุ่งหญ้า ท่วงท่านั้นเมื่อเทียบกับดินแดนของอ๋องขวาก็ยังเหนือล้ำกว่าหรือแม้แต่ไม่อาจเทียบได้
เมื่อเข้าประตูเมืองก็ได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีปะทะเข้ามา ครั้นเงยหน้ามอง บนถนนอันกว้างใหญ่เบื้องหน้านั้นแน่นขนัด ไปหมด ทุกแห่งมีแต่คบเพลิงที่ชูขึ้นสูง ทุกแห่งมีแต่ฝูงชนเบียดเสียดยัดเยียด เหล่าผู้กล้าที่เข้าเมืองก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ถอดหน้ากากก็ถูกห้อมล้อม ชาวทูเจวี๋ยถือสุรานมม้า จุดกองไฟบนถนน ร้องรำทำเพลงอยู่รอบตัวพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นชาวทูเจวี๋ยที่รู้จักหรือไม่รู้จักกันต่างเข้าร่วมทั้งหมด เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขและเสียงร้องรำทำเพลงดังอยู่ทุกแห่งหน
ทหารทูเจวี๋ยที่เฝ้าอยู่บนกำแพงเมืองก็หมุนกายมาด้วยความคึกคักสนุกสนานเช่นกัน ร้องเพลงตามฝูงชน ท่าทางอันแสนจะผ่อนคลายนั้นไหนเลยจะเหมือนทหารที่ปักหลักเฝ้าเมืองหลวง ว่าไปแล้วชนเผ่านอกด่านเดิมทีก็ไม่ใช่พวกมีระเบียบวินัยอยู่แล้ว ความดุร้ายป่าเถื่อน กำลังรบอันกล้าแกร่งถึงจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวของพวกมันต่างหาก
สองข้างถนนผู้คนต่างเบียดล้อมเข้ามา แย่งกันมุงดู ร้องรำทำเพลง คึกคักราวกับฉลองปีใหม่
เป็นครั้งแรกที่เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ ความตกใจย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง หลินหว่านหรงส่งสายตาให้หูปู้กุย จากนั้นก็ทำปากบุ้ยใบ้ไปทางกำแพงเมืองด้านหลัง เหล่าหูโบกมืออย่างรู้ใจ พี่น้องราวสามสิบคนที่อยู่ข้างหลังเขาพาเกาฉิวแบ่งกระจายเป็นกลุ่มย่อยกลืนหายไปท่ามกลางฝูงชน เหลือเพียงสิบกว่าคนที่เดินตามต่อไป
โครงสร้างของพระราชวังชนเผ่านอกด่านยังเรียบง่ายตรงไปตรงมามากกว่าที่คิดไว้เสียอีก หินใต้เท้าก่อเรียงกันเป็นถนนยาว เดินเรียงแถวด้วยม้าขนาดใหญ่ได้หกตัว นี่เป็นถนนที่ดูเป็นผู้เป็นคนมากที่สุดเพียงแห่งเดียวในเค่อจือเอ่อร์
สองข้างทางเลียนแบบต้าหัว เต็มไปด้วยร้านรวง เพียงแต่มาตรฐานสิ่งปลูกสร้างของชาวทูเจวี๋ยนั้นแย่ยิ่งนัก พวกมันปราศจากแนวคิดก่ออิฐสร้างกำแพงมุงกระเบื้องแม้แต่น้อย หลายห้องใช้แผ่นไม้ผุพังต่อกัน เอียงกระเท่เร่ ต่อให้เป็นพื้นที่หน้าร้าน พ่อค้าส่วนใหญ่กลับตั้งกระโจมอยู่สองข้างทางโดยตรง ทั้งอาศัยเป็นบ้านและใช้ทำการค้าได้ด้วย สะดวกยิ่งนัก ทั้งเค่อจือเอ่อร์ไม่เห็นกำแพงอิฐ ทั่วทั้งเมืองมีแต่บ้านไม้ที่สร้างขึ้นมาหยาบๆ และกระโจมสีขาวเท่านั้น คนและม้าอยู่ปะปนกัน สับสนอลหม่าน เทียบไม่ได้แม้แต่ตลาดในเขตบ้านนอกของต้าหัวแห่งหนึ่งเสียด้วยซ้ำ
หูปู้กุยเดินอยู่ข้างกายหลินหว่านหรง ทำปากบุ้ยใบ้ กล่าวอย่างดูแคลนออกมาว่า “สภาพผุพังเช่นนี้ก็กล้าเรียกว่าเมืองหลวงด้วย ยังสู้อำเภอบ้านนอกที่จี้หนิงของเราก็ยังไม่ได้! ชนเผ่านอกด่านออกจะขี้โม้มากเกินไปแล้วล่ะมั้ง!”
หลินหว่านหรงหัวเราะพลางส่ายหน้า “เทียบแบบนี้ไม่ได้! แรกสุดนั้นชาวทูเจวี๋ยเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน ต่อมาจึงพัฒนาเป็นอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม จนช่วงหลายปีนี้ถึงเริ่มสร้างที่พักถาวรเลียนแบบต้าหัว ระหว่างนี้ผ่านความเพียรพยายามอย่างยากลำบากมาหลายยุคหลายสมัย แต่หากต้องการให้พวกมันมีมาตรฐานของสิ่งปลูกสร้างและการตั้งรกรากเช่นต้าหัวนั้นภายในชั่วข้ามคืนก็ออกจะร้องขอสูงเกินไปสักหน่อย สภาพในตอนนี้ก็ไม่ธรรมดามากแล้ว!”
“ดินแดนเยวี่ยซื่อ!” เสียงร้องด้วยความตกใจลอยมาจากถนน ไม่รู้ว่าเป็นชาวทูเจวี๋ยคนใดที่จดจำธงใหญ่ที่หูปู้กุยวางพาดบ่าอยู่ในมือได้
เสียงร้องตะโกนนี้ไม่ธรรมดา ถนนใหญ่พลันเดือดพล่าน ชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนต่างกรูกันเข้ามา ล้อมหลินหว่านหรงและทหารม้าสิบกว่าคนที่อยู่ข้างหลังไว้กึ่งกลาง แย่งชมความสง่างามของพวกเขา รอบด้านมีแต่เสียงตะโกนเรียกด้วยภาษาชนเผ่านอกด่านดังอื้ออึง เหล่าสาวน้อยพยายามโบกกำปั้นน้อยอย่างสุดแรง ดวงหน้าแดงก่ำ เสียงกระจ่างใสที่ผสมปนเปอยู่ในนั้นฟังแล้วก็ช่างรื่นหูยิ่งนัก
“พี่หู พวกนางตะโกนว่าอะไร!” หลินหว่านหรงแอบถามกดเสียงต่ำ
“พวกนางพูดว่าเจ้าใบ้ ข้าอยากแต่งงานกับเจ้า!” เหล่าหูหัวเราะฮิฮะพลางแปลกลับมา
แม่ทัพหลินได้ยินแล้วก็ขนลุก รีบหดคอลงไป ยังไม่ได้เห็นหน้าข้าก็อยากจะแต่งกับข้าแล้ว ผู้หญิงทูเจวี๋ยยังห้าวหาญกว่าผู้ชายเสียอีกนะ