ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 604 - 2 ผู้กล้าใบ้
ขณะที่เขาอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง บนพื้นก็จุดกองไฟไปหลายกองแล้ว สาวน้อยทูเจวี๋ยที่บังเกิดความคึกคักสนุกสนานหลายสิบคนสวมชุดเทศกาลที่มีสีสันสดใสมากที่สุดต่างจับมือกันแล้วโอบล้อมรอบพวกเขา เป่าขลุ่ยของชนเผ่านอกด่านอันแสนจะไพเราะ กระโดดโลดเต้นร่ายรำอย่างมีความสุข แสงเพลิงส่องใบหน้าสาวสะพรั่งและเรือนร่างอันแสนยอดเยี่ยมของพวกนาง ทำให้คนอดจมดิ่งลงไปในความร้อนแรงประดุจเปลวเพลิงของพวกนางไม่ได้
เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้อง ที่แท้สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้งดงามนางหนึ่งเดินหลุดออกมาด้วยความกล้าหาญ ใบหน้าผุดดอกท้อสีแดงสดใส บิดเอวที่คดกิ่วประดุจกิ่งหลิว ขับขานเบาๆ พร้อมร่ายรำ ค่อยๆ เข้ามาใกล้ด้านหน้าอาชาของหลินหว่านหรง
นี่ก็คือ ‘เจ้าใบ้’ ผู้มีชื่อเสียงที่ร่ำลือกัน เป็นผู้แข็งแกร่งที่ชิงท่านข่านใหญ่ผู้งดงามและฉลาดปราดเปรื่องไปได้!
ชาวทูเจวี๋ยจำนวนไม่น้อยที่รู้ที่มาของนักขี่ที่อยู่บนหลังม้า ดังนั้นจึงปรบมือเสียงกึกก้องดังระลอกคลื่น โห่ร้องยินดีดั่งเสียงอสุนีบาตออกมาทันที ฝูงชนเบียดเสียดมาหาพวกเขา สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นั้นอยู่หน้าสุด ใบหน้าแดงสดใส แกว่งไกวบิดเร่าเรือนร่างอันน่าลุ่มหลง มองทหารม้าใบ้ด้วยความเอียงอาย ทันใดนั้นนางก็ก้าวมาข้างหน้าอย่างเร็วรี่พร้อมนำใบหน้าแดงสดใสแนบกับใบหน้าม้าของเขา
ชนเผ่านอกด่านที่อยู่โดยรอบต่างตะลึงงันก่อน ต่อมาก็ระเบิดเสียงปรบมือดั่งอสุนีบาต เสียงกรีดร้องดังไปทั่วสารทิศ แม้แต่ทหารยามที่อยู่บนกำแพงเมืองก็ยังอดส่งเสียงผิวปาก หัวเราะอย่างแปลกประหลาดไม่ได้เช่นกัน ใบหน้าสาวน้อยแดงก่ำดั่งอิงเถาภายในชั่วพริบตา เหลือบมองทหารม้าใบ้ด้วยความเขินอายและมุ่งหวังคราหนึ่ง จากนั้นก็หมุนกายแล้ววิ่งจากไป
“หญิงงามมีใจ ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยขอแสดงความยินดีกับท่านด้วยนะขอรับ!” เหล่าหูกล่าวพลางหัวเราะร่วน
หลินหว่านหรงเบ้ปากด้วยความไม่เข้าใจ “หญิงงามมีใจอะไรกัน ชอบกันตอนไหน!”
หูปู้กุยหัวเราะแล้วตอบว่า “สาวงามชนเผ่านอกด่านเป็นฝ่ายโผเข้าสู่อ้อมอกเอง นี่ยังไม่ใช่ชอบอีกหรือ ถึงแม้ท่านจะเป็นผู้ที่ข่านใหญ่เลือก สตรีธรรมดาทั่วไปไม่กล้าแต่งกับท่าน แต่ตามธรรมเนียมชาวทูเจวี๋ย หากสตรีนางหนึ่งเป็นฝ่ายแนบศีรษะกับใบหน้าม้าศึกของผู้กล้า นั่นหมายความว่านางยินดีมีบุพเพราตรีเดียว ร่วมผ่านค่ำคืนอันดีงามกับผู้กล้าคนนี้ ผู้ใดก็ไม่อาจขัดขวาง แม้แต่ข่านก็ไม่ได้ แม้ท่านจะเป็นบุรุษของเจ้าผู้ปกครอง พวกนางก็จะแย่งท่านเช่นนี้ ร่วมอภิรมย์กับท่านเช่นนี้ แน่นอนว่าแค่ครั้งเดียวเท่านั้นขอรับ!”
นี่ก็คือต้นแบบของวันไนท์สแตนด์ ช่างห้าวหาญชาญชัยเสียเหลือเกิน! แม่ทัพหลินได้ยินแล้วก็ตาโตอ้าปากค้าง รีบพูดขึ้นมาว่า “พี่หู พวกเราเดินเร็วสักหน่อยเถอะ มีบทเรียนก่อนหน้านี้ เชื้อเพลิงของข้าไม่อาจรั่วไหล!”
เมื่อมีสาวน้อยคนก่อนเป็นผู้นำ เหล่าสาวงามหลังจากนั้นจึงทำเลียนแบบบ้าง ต่างคนต่างกรูหาเจ้าใบ้ แม่ทัพหลินรีบดึงบังเ**ยน ขยับเบียดไปข้างหน้าท่างกลางฝูงชน เหล่าหูสนุกสนานจนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
ถนนใหญ่อึกทึกคึกคัก กลิ่นสุราและเสียงแห่งความยินดีมีอยู่ทั่วทุกหัวระแหง บรรดาชนเผ่านอกด่านดื่มจนใบหน้าใบหูแดง แม้แต่ฝีเท้าในการเริงระบำก็เริ่มสับสน เมื่อทอดสายตามองไปข้างหน้าไกลๆ พระราชวังอันแสนจะหรูหราสง่างามหลังหนึ่งปรากฏมุมหนึ่งให้เห็นอยู่รำไร ชายคาเรียงราย กระเบื้องทองและแก้ว ห่างประตูเมืองไม่ถึงสองลี้ เจิดจ้าเปล่งประกายเมื่อเทียบกับสิ่งปลูกสร้างที่อยู่โดยรอบ
ตรงนั้นก็เป็นพระราชวังของชาวทูเจวี๋ยแล้ว หลินหว่านหรงกับเหล่าหูสบตากัน กำมือทั้งสองข้างแน่นด้วยความตื่นเต้น
“หลีกไป หลีกไป!” ทันใดนั้นก็มีเสียงกระด้างห้าวหลายเสียงดังแว่วออกมาจากฝูงชนซึ่งกำลังโห่ร้องยินดีด้วยความตื่นเต้นข้างหน้าเยวี่ยซื่อ ผู้คนถูกทหารทูเจวี๋ยที่สวมชุดเกราะกลุ่มหนึ่งใช้กำลังแหวกเป็นเส้นทางอันคับแคบสายหนึ่ง คุ้มกันสาวน้อยทูเจวี๋ซึ่ยงสวมอาภรณ์สีสันสดใส หน้าตางดงามน่ารักสองนางซึ่งกำลังเดินเยื้องย่างเข้ามา เมื่อดูจากทิศทางกลับกำลังมุ่งมาทางนี้
เรื่องอะไรกัน? หลินหว่านหรงตกใจ รีบส่งสายตาให้หูปู้กุย ทุกคนต่างกุมดาบโค้งที่อยู่ตรงเอวแน่น
ทหารทูเจวี๋ยออกแรงแวหกฝูงชนอย่างสุดกำลัง สาวน้อยสองนางนั้นเดินมาถึงข้างหมู่คน จากนั้นก็เยด้วยเสียงเจื้อยแจ้วออกมาว่า “พวกเจ้าคือดินแดนเยวี่ยซื่อใช่หรือไม่!”
“ใช่แล้ว” หูปู้กุยตอบอย่างภาคภูมิ
ใบหน้าสาวน้อยผุดรอยยิ้มหวาน เอ่ยด้วยความเคารพนบนอบ “ถ้าอย่างนั้นท่านใดคือผู้กล้าใบ้ผู้มีชื่อเสียงสั่นสะเทือนไปทั่วทุ่งหญ้า!”
ผู้กล้าใบ้ สมญานามนี้กลับโด่งดังนัก เหล่าหูฝืนกลั้นหัวเราะ รีบผลักแม่ทัพหลินที่ตาโตอ้าปากค้างอยู่ข้างกายออกมา “ท่านนี้! ท่านนี้คือผู้กล้าใบ้ผู้มีชื่อเสียงสั่นสะเทือนไปทั่วทุ่งหญ้า!”
“อ๊า…อ๊า…” เจ้าใบ้ชี้มือชี้ไม้ทำท่าทาง แสดงสถานะของตน
สาวน้อยผงกศีรษะ ยอบกายเล็กน้อยพร้อมเอ่ยว่า “ผู้กล้าผู้สูงส่ง ท่านรับปากท่านข่านใหญ่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังหลวง ตอนนี้งานเลี้ยงเริ่มแล้ว เหตุใดท่านถึงยังไปไม่ถึงงานอีกเล่า!”
พวกนางพูดอะไร เจ้าใบ้ฟังไม่ออกสักคำเดียว รู้สึกร้อนใจมาก เหงื่อเย็นไหลพรั่งพรู สาวน้อยสองคนนั้นเหมือนรู้ว่าเขาฟังไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงใช้ภาษามือถามอีกรอบหนึ่ง เมื่อดูจากท่าทางอันเป็นระเบียบเรียบร้อยนั้น คล้ายมีคนอบรมมาโดยเฉพาะ เหล่าหูหลบอยู่ด้านข้างพลางแอบส่งสายตาบอกใบ้มาให้
งานเลี้ยงเริ่มแล้ว! หลินหว่านหรงตกใจอย่างยิ่ง เขาเงยหน้ามอง จริงดังคาด ดินแดนชนเผ่านอกด่านที่อยู่ข้างหน้าพวกนั้นกำลังเดินเข้าไปในวัง เหลือแค่ปลายแถวอยู่ข้างนอก ส่วนชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่โดยรอบกลับล้อมเยวี่ยซื่ออยู่กึ่งกลาง ไม่อาจเดินหน้าไปได้
“พวกเราคือบ่าวผู้ติดตามของท่านข่านใหญ่ ท่านข่านดาบทองผู้สูงส่งส่งพวกเรามารับท่าน” เมื่อเห็นคนใบ้เหลียวซ้ายแลขวาด้วยความร้อนใจ ทำอะไรไม่ถูก สาวน้อยทูเจวี๋ยสองคนจึงรีบปลอบโยนด้วยเสียงอ่อนโยน “ท่านข่านตรัสว่าท่านคือผู้กล้า จะต้องมีคนจำนวนมากสนใจท่าน ทั้งยังคิดฉวยโอกาสนี้ครอบครองร่างกายท่านอีกด้วย เพียงแต่ท่านเป็นผู้กล้า ไม่อาจถูกล่อลวงเด็ดขาด หากผู้ใดกล้ารังแกท่าน ท่านจงแจ้งท่านข่าน ท่านข่านใหญ่ต้องทรงไม่ละเว้นพวกมันแน่นอน!”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์ส่งคนมารับข้า แถมยังเตือนข้าว่าต้องทนการล่อลวงให้ได้อีก นี่มันเรื่องอะไรกันนี่! เขาส่ายหน้าอย่างหมดแรง หัวเราะร้องไห้ไม่ออก
สาวน้อยชี้ไปยังฝูงชนที่โอบล้อมอยู่ จากนั้นก็พูดเสียงดัง “บอกมา พวกมันรังแกท่านใช่หรือไม่! ไม่ต้องกลัว ท่านข่านใหญ่จะทรงตัดสินให้ท่านเอง!”
เจ้าใบ้รีบโบกมือร้องอ๊าๆ ใจรู้สึกหมดแรง ข่านใหญ่จะเป็นผู้ตัดสินให้ข้า นี่มันโลกไหนกัน ผู้หญิงยังแข็งแกร่งกว่าผู้ชายเสียอีก! เมื่อเห็นว่าผู้กล้าใบ้คล้ายไม่ได้ถูกรังแก สาวน้อยทูเจวี๋ยทั้งสองถึงผงกศีรษะด้วยความพอใจ หนึ่งในนั้นปรบมือเบาๆ จากนั้นก็ได้ยินเสียงกระดิ่งลมดังกรุ๊งกริ๊งไพเราะเสนาะหูแว่วเข้ามา
ณ สถานที่อันห่างไกล ทันใดนั้นก็มีเสลี่ยงซึ่งห้อยผ้าม่านโปร่งสีชมพูสูงเคลื่อนที่เข้ามา เสลี่ยงนั้นใช้ผู้กล้าทูเจวี๋ยแปดคนหาม ล้อมด้วยผ้าโปร่งสีชมพู กำลังแกว่งไกวขึ้นลงกลางสายลมราวกับเมฆาที่ลอยล่องและบางเบา
เมื่อมองลอดผ่านผ้าโปร่งอันบางเบาและดูอบอุ่นนั้นจะเห็นเบาะรองนั่งสีแดงดันอ่อนนุ่มและผ้าห่มแพรสีเหลืองทองได้รางๆ อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมสะอาดจางๆ ซึ่งเหมือนมีเหมือนไม่มีอีกด้วย ทุกแห่งที่เสลี่ยงนั้นผ่านไปถึงก็จะแหวกออกเป็นช่องทางขนาดเล็กสายหนึ่งโดยอัตโนมัติ ชนเผ่านอกด่านทุกคนต่างก้มหน้าให้ความเคารพ มือแตะอกแสดงการคารวะ เคารพนบนอบอย่างล้นเหลือ
นี่คืออะไร! เมื่อเห็นเสลี่ยงสูงอันงดงามที่ชาวทูเจวี๋ยแปดคนนั้นเดินหามตรงเข้ามาทางนี้ หลินหว่านหรงก็อดประหลาดใจไม่ได้
เมื่อวางเสลี่ยงนั้นลงเรียบร้อย สาวน้อยทูเจวี๋ยทั้งสองต่างค้อมกายพร้อมกัน จากนั้นจึงพูดออกมาเบาๆ ว่า “ด้วยพระบัญชาของท่านข่านใหญ่ ขอเชิญผู้กล้าใบ้ขึ้นเสลี่ยง!”
ขึ้นเสลี่ยง! คราวนี้ไม่ต้องให้เหล่าหูลอบส่งสายตา แค่มองการคเลื่อนไหวของสาวน้อยก็เข้าใจแล้วว่าพวกนางกำลังพูดอะไรอยู่ เสลี่ยงนี้กลับเอามารับข้า? เป็นไปไม่ได้น่า ม่านสีชมพูขนาดนี้ให้ผู้ชายนั่งที่ไหนกัน หากแพร่ออกไปยังจะไม่เป็นเรื่องน่าขำตายแล้วหรือ
“เชิญผู้กล้าขึ้นเสลี่ยง!” ไม่รอให้เขาลังเล สาวน้อยทั้งสองเร่งรัดพร้อมกันอีกครา หนึ่งในนั้นยังแหวกผ้าม่านสีชมพูอันเบาบางขึ้น พร้อมค้อมเอว รอคอยให้เขาขึ้นนั่งด้วยความเคารพ บุรุษและสตรีที่อยู่โดยรอบใช้สายตาอิจฉาอย่างล้นเหลือบมองเขา
เกาทัณฑ์พาดอยู่บนสาย ไม่อาจไม่ยิง เจ้าใบ้กัดฟันกรอด ส่งสายตาให้เหล่าหู จากนั้นก็เดินขึ้นเสลี่ยงอย่างแช่มช้า
เพิ่งก้าวเข้าไปสาวน้อยผู้นั้นก็ปล่อยม่านสีชมพูลงมา ชายฉกรรจ์ทูเจวี๋ยแปดคนออกแรงพร้อมกัน ยกเขาพร้อมกับเสลี่ยง ค่อยๆ เดินเยื้องย่างไปยังพระราชวังทูเจวี๋ย หูปู้กุยรีบนำทุคนตามไป
เมื่อนั่งลงบนเบาะนั่งอันอ่อนนุ่มนั้น กลิ่นหอมจางๆ ก็ปะทะจมูกเข้ามา ผ้าห่มซึ่งทำจากผ้าไหมเรียบลื่นและอ่อนนุ่มเหมือนผิวของอวี้เจีย
แหงนหน้ามองกระโจมผ้าม่านสีชมพูที่พลิ้วไสวเบาๆ เขาเหลียวซ้ายแลขวา คิดแล้วคิดอีก จู่ๆ ก็ร้องไอ้โหยวออกมาคราหนึ่ง สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างเร็วรี่ “แย่แล้ว หรือว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์จะร่วมห้องกับข้า!”