ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 606 - 1 ชาติหน้าจะเป็นเจ้าใบ้ของเจ้า
อวี้เจียสวมหมวกผ้าสักหลาดสีเหลืองทองบนศีรษะ พู่ระย้าหลายเส้นห้อยอยู่ข้างใบหูอันงดงามของนาง เจิดจรัสสะดุดตา นางสวมชุดกระโปรงยาวตามแบบฉบับชนเผ่านอกด่านสีทอง บนชุดปักหัวหมาป่าสีทองซึ่งมีขนาดแตกต่างกัน สีหน้าท่าทางเหมือนจริงอยู่เต็มไปหมด บ้างก็มองด้วยโทสะ บ้างก็ส่งเสียงขู่คำราม ความน่าเกรงขามล้นเหลือ บารมีแผ่ซ่าน บนสาบเสื้อกลับเพิ่มรังดุมสีเหลืองส้มแถวหนึ่ง ไล่จากหน้าอกอันอวบอิ่มตรงไปยังใต้ท้องน้อยด้านขวา เมื่ออยู่ท่ามกลางหัวหมาป่าที่มีอยู่เต็มไปหมดนั้นกลับเพิ่มความอ่อนโยนของสตรีขึ้น ทั้งสูงส่งทั้งงามสง่า
นางค่อยๆ ยืนขึ้น เสื้อตัวนอกลายหมาป่าสีทองซึ่งแสดงสถานะห่อหุ้มเรือนร่างอันงามล้ำเลิศของนางอยู่ในนั้นอย่างแน่นหนา ชายกระโปรงยาวลากพื้น ภายใต้แสงไฟสลัว ส่องสะท้อนเงาอันแสนจะงดงามร่างหนึ่ง
อวี้เจียใช้มือหนึ่งปัดกระดิ่งอูฐ หมุนกายมาพร้อมมองเขาเบาๆ ท่ามกลางสีชมพูที่มีอยู่ทั่วห้อง ใบหน้ากระจ่างใสของนางประหนึ่งงาช้างหยกขาวที่มีสีแดงระเรื่อ มุมปากสีสันสดใสเปล่งประกายแวววาวราวกับจะหยาดหยดออกมาเป็นน้ำได้
นางถามอะไรน่ะ? เจ้าใบ้เหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง ผ้าโปร่งภายในห้องพลิ้วไสว กระดิ่งอูฐส่งเสียงดัง กลิ่นหอมจางๆ ลอยอบอวล ราวกับอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ทั้งอ่อนโยนทั้งวาบหวาม ภายในห้องแห่งนี้ นอกจากอวี้เจียกับเขาก็ปราศจากบุคคลที่สามแล้ว
“เจ้าไม่ได้ยินข้าพูดจริงหรือ?!” เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังข้างใบหูเขา ลมหายใจหอมกรุ่นแฝงไอร้อนตกกระทบใบหน้าเขาเล็กน้อย ทำให้เขาตกใจสะดุ้งโหยง
เมื่อหันกลับไปมอง ดวงหน้าอันงามพิลาสของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ซึ่งซับสีแดงระเรื่ออยู่ห่างจากเขาแค่คืบ กลิ่นหอมจางๆ ของสุรานมแพะลอยเข้ามา อวี้เจียคล้ายจะเมามายอยู่บ้าง ริมฝีปากสีแดงของนางขมุบขมิบเล็กน้อย นัยน์ตาทั้งสองข้างเปล่งประกายวาววับดั่งดาวประกายพรึก กำลังจ้องมองเขาเขม็ง คล้ายกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง ทั้งคล้ายกำลังหาอะไรบางอย่าง
เมื่อเห็นรูปโฉมซึ่งทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้านั้น ใจของเจ้าใบ้ก็เต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง รีบถอยหลังไปหลายก้าว ก้มหน้าพลางใช้สองมือโบกสะเปะสะปะไปมา
“เจ้า มองข้า!!” เสียงเย็นเยียบคมกริบคล้ายล่องลอยมาจากขอบฟ้า แฝงอำนาจและบารมีที่ไม่อาจต้านทานได้ นิ้วมือขาวกระจ่างใสนุ่มนิ่มสองนิ้วเชยคางเขาเบาๆ ยกใบหน้าเขาขึ้นมาอย่างแช่มช้า
อวี้เจียใช้สายตากระเซ้า ดวงตาประดุจสายฟ้า ใช้ท่าทีของเจ้าผู้ปกครอง สองนิ้วรองใต้คางเขาเบาๆ จ้องมองเขาเขม็ง ดวงตาอันลุ่มลึกนั้นคล้ายยิงเข้าสู่ใจคน
แม่เอ๊ย นี่มันเรื่องอะไรกันนี่ นังหนูคนนี้พอเป็นเจ้าแล้ว เราก็กลายเป็นเมียน้อยให้นางเลือกอย่างนั้นหรือ เจ้าใบ้ร่ำร้องอย่างเป็นทุกข์ภายในใจไม่หยุดหัวเราะร้องไห้ไม่ออก
ทั้งสองคนจ้องหน้า ใบหน้าอยู่แค่คืบ ได้ยินเสียงลมหายใจกระชั้นถี่ของอีกฝ่ายได้รางๆ ภายในดวงตาอวี้เจียปรากฏไอน้ำบางๆ ชั้นหนึ่ง “เจ้าไม่รู้จักข้าจริงหรือ? แต่ข้ามีลางสังหรณ์บางอย่างว่าข้าต้องรู้จักเจ้า!”
เจ้าใบ้ร้องอ๊าๆ เสียงดัง ส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เจ้าปฏิเสธก็ไร้ประโยชน์” สีหน้าแน่วแน่บนใบหน้าท่านข่านดาบทองผู้งดงามกระจ่างวูบ “ฝีมืออันต่ำช้าที่เจ้าใช้เอาชนะถูสั่วจั่ว พฤติกรรมต่ำชั้นด้วยการป้ายผงยาที่ม้าศึก ข้าเหมือนเคยรู้จักมาก่อน แน่นอนว่ายังมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่านั้นอีกอย่างหนึ่ง…”
เจ้าใบ้มองนางด้วยความงุนงงสงสัย เยวี่ยหยาเอ๋อร์แววตาล้ำลึก กล่าวเสียงแผ่วเบาเลื่อนลอยออกมาว่า “…เมื่อเจ้าปรากฏตัวอยู่หน้าข้า จู่ๆ ข้าก็รู้สึกใจสลาย ไม่อาจควบคุมความรู้สึกที่อยากเข้าใกล้เจ้าได้ ข้าคิดว่าข้าต้องเคยพบเจ้าแน่นอน! ลางสังหรณ์สำคัญต่อข้ามาก หากใช้งานผิดพลาด ข้าก็ไม่มีทางเสียใจภายหลัง! ข้าพูดเรื่องพวกนี้เจ้าฟังเข้าใจหรือไม่?!”
ฟังออกก็แปลกแล้ว ด้วยระดับภาษาทูเจวี๋ยของหลินหว่านหรงทำได้แค่มองนางอ้าปากเท่านั้น
สายตาของเจ้าใบ้ทั้งลังเลทั้งอับจนหนทาง สายตานั้นไม่อาจเสแสร้งออกมาได้ อวี้เจียมองเขาอย่างเหม่อลอย ทันใดนั้นก็จับมือเขาแน่นอย่างเงียบงัน ขนตายาวกระเพื่อมไหว น้ำตาไหลรินลงมาอย่างแช่มช้า “เมื่อกลับมาจากชายแดน ข้าเหมือนลืมเรื่องราวไปหลายอย่างอย่างน่าประหลาด! สำหรับข้า การลืมเลือนนี้อาจเป็นสิ่งที่ข้าตามหามาทั้งชีวิตก็ได้ เป็นใครที่ทำให้ข้าลืม? เหตุใดมันถึงต้องทำเช่นนี้กับข้า…ข้าแค้นมัน ข้าจะไม่ละเว้นมันแน่!”
ท่านข่านใหญ่ดาบทองกำมือทั้งสองแน่นในบัดดล ฟันงามกัดปากจนปริแตก ดวงตาสาดประกายเคียดแค้นชิงชังเหนือประมาณ ประหนึ่งดวงไฟอันร้อนแรงที่ต้องการจะแผดเผาทุกสิ่ง
ถึงอย่างไรหลินหว่านหรงก็ฟังไม่เข้าใจอยู่แล้ว เขาเหลียวซ้ายแลขวา สายตาเต็มไปด้วยความไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไหนเลยจะรู้ว่าอวี้เจียแค้นเขาจนถึงขีดสุดแล้ว
หากเป็นคนที่ทำสิ่งใดก็ไม่ได้ยิน สิ่งใดก็อาจพูดออกมาได้เช่นเจ้าใบ้ นั่นกลับปลอดเรื่องราวน่ารำคาญใจไปตั้งมากมาย อวี้เจียถอนหายใจแผ่วเบา เช็ดน้ำตา จับมือเขาพร้อมเอ่ยออกมาเบาๆ ว่า “เจ้าชอบสถานที่แห่งนี้หรือไม่? นี่คือห้องของอวี้เจีย!”
เจ้าใบ้เบิกตาโพลงมองนาง เยวี่ยหยาเอ๋อร์หัวเราะ จูงมือเขาแล้วเดินไปเดินมาภายในห้องอันกว้างขวาง “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ยิน แต่ไม่เป็นไรนะ อวี้เจียก็คือหูของเจ้า! พออยู่กับเจ้า ข้าพูดอะไรก็ได้ ข้าชอบแบบนี้ เจ้าดูสินี่คือกวานเหยา (หนึ่งในเครื่องเคลือบประเภทเหยาซึ่งผลิตโดยของทางการ โดยมีตั้งแต่สมัยปลายราชวงศ์ซ่ง) ชั้นดี ตอนข้าอายุสิบหกแอบเสด็จพ่อออกไปที่เมืองซิงชิ่งแล้วใช้สุรานมม้าที่ข้าบ่มเองแลกมา นี่คือใบชา นี่คือเครื่องประทินโฉม นี่คือตำรารวบรวมโคลงกลอนของต้าหัว นี่คือชุดที่ข้าทำเอง นี่คือ…”
นางมองขวดแก้วที่ว่างเปล่าขวดนั้นก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง สายตาเหม่อลอยพร่าเลือน “นี่เรียกว่า เป็นสิ่งที่ชาวต้าหัวคิดค้นขึ้นมาใหม่ ข้าชอบมากที่สุด…น่าแปลก ทำไมถึงว่างเปล่าได้นะ?!”
หลินหว่านหรงจิตใจกระจ่างใสดั่งกระจก สิ่งนี้ตอนข้ามผ่านทะเลแห่งความตาย นางเทน้ำหอมทิ้งแล้วแอบเก็บน้ำที่แบ่งให้เก็บ จากนั้นแอบนำน้ำที่มีค่าเป็นล้นพ้นนั้นมอบให้อัวเหล่ากง
“อ๊า อ๊า!” เจ้าใบ้นำจมูกเข้าไปใกล้ขวดแก้ว สูดดมลึกๆ ไปหลายครั้งพร้อมผงกศีรษะไม่หยุด
“เจ้าก็ชอบหรือ?” เยวี่ยหยาเอ๋อร์กล่าวด้วยความยินดี “ไม่เป็นไร ข้างกายข้ายังมีอีก! คนที่ทำน้ำหอมชาวต้าหัวผู้นั้นเป็นพ่อค้าหน้าเลือด ราคาของน้ำหอมหนึ่งขวดซื้อวัวได้สามสิบตัว ทั้งยังไม่อาจซื้อได้บ่อยครั้ง ข้าจ่ายเงินไปสามเท่าถึงจะซื้อมาได้สองขวด!”
โชคดีที่หลินหว่านหรงฟังนางพูดไม่ออก ไม่เช่นนั้นก็คงกระเด้งเป็นเจ้าเข้าแน่นอน คุณหนู เจ้าซื้อของจากตลาดมืด ราคานั่นก็ต้องเอามาลงที่หัวข้าด้วยหรือ?!
“ยังมีเจ้านี่ ผ้าม่านโปร่งสีชมพู เป็นผ้าไหมเจียงหนานชั้นดี สตรีต้าหัวตอนออกเรือนต่างเลือกสีนี้ ข้าชอบมากเช่นกัน——เจ้าใบ้ งามหรือไม่?!” นางใช้ผ้าโปร่งสีชมพูอันพลิ้วไสวปกปิดใบหน้าเบาๆ เผยเพียงดวงตากระจ่างใสอยู่ภายนอกเท่านั้น ในความเอียงอายแฝงความยินดี สีหน้านั้นเหมือนการพบครั้งแรกที่เมืองซิงชิ่ง
ชีวิตหนอชีวิต! มองดูดวงหน้าอันงามเฉิดฉันยวนเย้าดุจบุปผานี้ เจ้าใบ้ก็ถอนหายใจอย่างอับจนถ้อยคำ
เยวี่ยหยาเอ๋อร์จับมือเขา เดินย่ำเท้าเบาๆ ภายในห้องนอนตนเอง เสียงหัวเราะดังไม่หยุด หลินหว่านหรงใจเต้นโครมคราม เขารู้ว่าที่อวี้เจียสนิทสนมเขาเช่นนี้ ไม่ใช่แค่เพราะเขาเป็นผู้กล้าใบ้ที่เอาชนะการแข่งขันชิงแพะ สิ่งที่มากไปกว่านั้นก็คือใจนางรู้สึกสนิทสนมกับเขาโดยไม่รู้ตัว ราวกับความเคยชินที่บ่มเพาะมานานหลายปี ต่อให้นางลืมเขาจนหมดสิ้น แต่ความเคยชินที่ฝังรากลึกนั้น พอบอกให้เปลี่ยนไหนเลยจะเปลี่ยนได้?
เดินไปถึงกึ่งกลางห้องโดยไม่รู้ตัว ทั้งสองคนหยุดพร้อมกัน อวี้เจียนั่งลงอย่างแช่มช้า ลูบผ้าห่มอันอ่อนนุ่มข้างกายพร้อมเอ่ยออกมาเบาๆ “เคยเห็นสิ่งนี้หรือไม่? นี่เรียกว่าเตียงงาช้าง เสด็จพ่อประทานให้ข้า เดินมีต้องรอให้ข้าใช้ เดิมทีจะรอให้ข้าใช้ในงานอภิเษก เพียงแต่พระองค์ก็ทรงรอไม่ถึงวันนั้น!”
อวี้เจียก้มหน้าอย่างเงียบงัน น้ำตาคลอหน่วย จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีคนตบบ่าเบาๆ ดังนั้นจึงเงยหน้ามอง เจ้าใบ้มองนางด้วยสายตาเต็มไปด้วยความเห็นใจ
เยวี่ยหยาเอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย ไม่รีรอให้เขาลังเล ดึงเขาให้นั่งลงข้างกายตนเอง “เจ้ารู้หรือไม่ ความหวังอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเสด็จพ่อก็คือต้องสยบต้าหัว! เพื่อสิ่งนี้ท่านกับชาวต้าหัวจึงสู้รบกันมาทั้งชีวิต แม้จะสิ้นไปแล้วก็ต้องปิดบังชาวต้าหัว! ข้าติดตามข้างกายเสด็จพ่อมาตั้งแต่เล็ก สนใจวัฒนธรรมต้าหัวอย่างยิ่ง มีหลายสิ่งแค่คิดก็เข้าใจ แม้แต่เสด็จพ่อก็ยังชมว่าข้าฉลาด ดังนั้นถึงทรงมอบภาระอันหนักอึ้งนี้ให้ข้า” เจ้าใบ้ฟังนางพูดไม่รู้เรื่อง เพียงแต่อวี้เจียดันชอบวิธีการระบายความเครียดเช่นนี้ นางมองเจ้าใบ้ที่กำลังงุนงงพร้อมเอ่ยเสียงเบา “อันที่จริงพวกเราทูเจวี๋ยหาได้แข็งแกร่งดั่งที่คิด โดยเฉพาะหลังจากเสด็จพ่อสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ปาเต๋อหลู่ครอบครองกำลัง จ้องตำแหน่งข่านตาเป็นมัน ส่วนถูสั่วจั่วกลับเอาแต่คิดจะแต่งงานกับข้า ต้องการชิงอำนาจอย่างเงียบๆ มีเพียงราชครูลู่ตงจ้านที่มีสายตายาวไกลอยู่บ้าง ถึงกระนั้นกลับลำบากเพราะปราศจากอำนาจที่แท้จริง ส่วนซ่าเอ่อร์มู่ก็อายุน้อยขนาดนั้น สิบปีหลังจากนี้ข้ายังต้องมอบทุ่งหญ้าที่ครบถ้วนสมบูรณ์มอบให้เขาอีก”
นางซบบ่าหลินหว่านหรงอย่างเงียบงัน กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าใบ้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าอวี้เจียอิจฉาเจ้ามากแค่ไหน เพราะเจ้าไม่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ไม่เหมือนข้าที่มีความหงุดหงิดรำคาญใจนับไม่ถ้วน! เจ้าเป็นผู้กล้าใบ้ผู้ไร้ทุกข์ไร้กังวลไปตลอดกาลได้!”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์กอดแขนเขาแน่น ซบศีรษะลงบนบ่าเขา เรือนร่างอันอ่อนนุ่มนิ่มสั่นเทาเล็กน้อย การอิงแอบนี้เกิดจากความคุ้นชินที่ยังหลงเหลือเล็กน้อยภายในจิตใจ ถึงกระนั้นกลับแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติไม่ขัดเขิน ยามนี้ตอนนี้ ต่างจากวันวานที่หลินหว่านหรงหาโอกาสจงใจเอารัดเอาเปรียบนางโดยสิ้นเชิง
แม้จะมีกำแพงทางภาษา ทว่ากลับยังสัมผัสความเปราะบางภายในใจนางได้ เจ้าใบ้พ่นลมหายใจยาว เงียบงันไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
อวี้เจียได้ยินเขาถอนหายใจก็รีบเงยหน้าพร้อมเอ่ยถามเบาๆ “เจ้าไม่ต้องกลัว วันที่มีข้าอยู่ ไม่มีผู้ใดที่ทำร้ายเจ้าได้! ต่อให้เจ้าเป็นคนหูหนวก เป็นเจ้าใบ้แล้วจะทำไม ผู้ใดกล้าหัวเราะเยาะเจ้า ข้าจะตัดลิ้นมันผู้นั้น ข้าต้องปกป้องเจ้า ให้เจ้าเป็นผู้ที่มีความสุขมากที่สุดบนทุ่งหญ้า ขอเทพแห่งทุ่งหญ้าเป็นพยาน อวี้เจียขอสาบานด้วยชีวิต!!”
สายตายึดมั่นของอวี้เจียกระจ่างใสดั่งแก้วผลึก เจ้าใบ้มองอย่างเหม่อลอย ไม่รู้เพราะอะไร จมูกพลันร้าวระบม เบ้าตาแดงขึ้นมา
เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขาอย่างตะลึงงัน พูดด้วยภาษามือด้วยความตื่นเต้นยินดีทันที “เจ้าใบ้ เจ้า เจ้าฟังข้าพูดเข้าใจ?!”
ก็แค่ประโยคนี้เท่านั้นล่ะ! เจ้าใบ้ผงกศีรษะเบาๆ
“เจ้าใบ้ เจ้าช่างร้ายกาจเสียจริง!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขา ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลรินดั่งสายฝน “เสด็จพ่อสิ้นไปแล้ว ข้าเลี้ยงเสี่ยวซ่าเอ่อร์มู่ตัวคนเดียว ลำบากมากเลย! ผู้อื่นต่างมีหูมีปาก แต่พวกมันไม่เคยรู้ว่าข้ากำลังพูดอะไรอยู่ บนโลกนี้ผู้ที่ฟังข้าพูดเข้าใจเพียงหนึ่งเดียวก็มีแต่เจ้าแล้ว!”
อวี้เจียที่กำลังหลั่งน้ำตางดงามใสและบริสุทธิ์ถึงเพียงนี้ ในห้วงเวลาที่ปราศจากการสวมหน้ากาก นางหาใช่เจ้าดินแดนที่งามล้ำเลิศกอปรด้วยสติปัญญาและแผนการที่ปกครองทุ่งหญ้าคนนั้นอีกต่อไป แต่เป็นสาวน้อยทูเจวี๋ยที่มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ที่รู้จักยิ้มและหัวเราะคนหนึ่งเท่านั้น
ประโยคนี้ฟังไม่ออกอีกแล้ว! เจ้าใบ้ยิ้มขื่น
เยวี่ยหยาเอ๋อร์ใบหน้าประดับด้วยหยาดน้ำตา มองเจ้าใบ้หลายครั้ง ทันใดนั้นก็ยืนขึ้นพร้อมกดเขาให้นั่งลงบนเตียงงาช้าง พูดออกมาเบาๆ ว่า “เจ้านั่งตรงนี้ นั่งให้ดี!”
นี่จะทำอะไรน่ะ? ผ้าห่มใต้ร่างอ่อนนุ่ม ทว่าเจ้าใบ้กลับนั่งอยู่ไม่เป็นสุข อวี้เจียมองเขา พูดด้วยความหนักแน่นและยึดมั่นออกมาว่า “ข้าต้องตามหาสิ่งที่เป็นของข้ากลับมาทั้งหมด ไม่ว่าใครก็ไม่มีคุณสมบัติมาทำให้ข้าลืม! เจ้าใบ้ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ข้าก็อยากจะเห็นเจ้า!”
นิ้วมือเรียวยาวห้านิ้วกางออกเล็กน้อย เพียงชั่วพริบตาก็เคลื่อนมาดึงหน้ากากที่อยู่บนศีรษะเจ้าใบ้
จำเป็นด้วยหรือ การลืมเลือนเดิมทีก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว!! หลินหว่านหรงความรู้สึกหลากหลายระคนอยู่ในใจ สองมือกำจนส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ กลับรู้สึกไม่อาจหักใจลงมือ