ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 606 - 2 ชาติหน้าจะเป็นเจ้าใบ้ของเจ้า
“เคร้ง!” เสียงอาวุธกระทบกันดังกระจ่างชัด กรีดทะลุผ่านความเงียบสงัดภายในห้องภายในชั่วพริบตา
“ผู้ใดเอะอะโวยวายอยู่ข้างนอก?!” มือเรียวยาวของอวี้เจียชะงักเล็กน้อย นางหมุนกายแล้วตวาดด้วยโทสะ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าเย็นชา สองตาล้ำลึก ทั้งสูงส่งที่มากบารมี สาวน้อยเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้ใสซื่อปลาสนาการไปภายในชั่วพริบตา ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือท่านข่านดาบทองผู้สงบเยือกเย็นและมากด้วยสติปัญญา
“ใครกล้าขวางข้า…” มีเสียงตวาดด้วยโทสะของบุรุษคนหนึ่งดังมามาแต่ไกล ตามมาด้วยเสียงอาวุธกระทบกัน “ท่านข่านใหญ่ อวี้เจีย เหตุใดพระองค์ถึงไม่พบถูสั่วจั่ว?! เจ้าเศษสวะเยวี่ยซื่อ เจ้าไสหัวออกมาให้ข้า! ถูสั่วจั่วต้องการสู้ศึกตัดสินเป็นตายกับเจ้า!”
อวี้เจียสายตาเย็นชา เสียงพูดด้วยความตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูกของนางกำนัลผู้เป็นหัวหน้าคนนั้นดังมาจากนอกประตู “ทูลท่านข่านใหญ่ ท่านอ๋องขวาส่งเสียงเอะอะโวยวายอยู่นอกวัง บอกว่าต้องพบพระองค์ให้จงได้! ตอนนี้กำลังปะทะกับทหารรักษาการณ์อยู่เพคะ!”
ท่านข่านใหญ่แค่นเสียงด้วยโทสะ ขณะกำลังจะผลักประตูออกไป จู่ๆ ก็รั้งฝีเท้า นางหมุนกายพร้อมจับมือเจ้าใบ้ กล่าวอย่างอ่อนโยนออกมาว่า “เจ้าออกไปพร้อมข้า! ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ ใครก็ทำร้ายเจ้าไม่ได้!”
ข้ากลัวมัน? คำพูดนี้ตรงข้ามแล้วกระมัง หรือว่าที่มันพิการไปทั้งร่างคือตกลงมาจากหลังม้าด้วยตัวเอง? หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ ผงกศีรษะด้วยท่าทีเสแสร้งว่ากังวล
อวี้เจียหันกลับไปมองด้วยความอาวรณ์ มือน้อยดิ่งกระดิ่งอูฐเบาๆ คราหนึ่ง ทั้งสองเดินก้าวข้ามประตูท่ามกลางเสียงกระดิ่งดังสดใส เพิ่งก้าวเข้าไปในสวนก็ได้ยินเสียงตวาดคำรามอ๊าๆ ด้วยโทสะจากข้างนอก ถูสั่วจั่วที่ขาหักอยู่กำลังเงื้อดาบโค้งบุกเข้ามาโดยไม่สนใจการขัดขวางจากทหารองครักษ์
เมื่อเห็นอวี้เจียออกมา ถูสั่วจั่วก็นิ่งอึ้ง พูดด้วยความยินดีออกมาทันที “อวี้เจีย…ท่านข่านใหญ่ พระองค์ออกมาแล้ว ในที่สุดพระองค์ก็ยอมพบแล้ว!”
อวี้เจียแววตาเย็นเยียบ สายตาไปอยู่ที่ดาบโค้งในมือมัน กล่าวอย่างเรียบเฉยออกมาว่า “อ๋องขวา เจ้าจะก่อกบฏหรือ?!”
“เคร้ง” ดาบโค้งในมือถูสั่วจั่วร่วงลงพื้นในบัดดล มันไม่สนขาข้างที่หัก รับค้อมกายก้มศีรษะ เจ็บปวดจนหน้าซีด “ถูสั่วจั่วมิบังอาจ เพียงแต่ข้าขอเข้าเฝ้าท่านข่านใหญ่ด้วยความร้อนใจ ถึงได้หุนหันพลันแล่นไปชั่วขณะ! ขอท่านข่านใหญ่โปรดประทานอภัยด้วย!”
“หุนหันพลันแล่นไปชั่วขณะ?” อวี้เจียกล่าวไม่เร็วไม่ข้า “แคว้นข่านทูเจวี๋ยของเราไม่มีกฎระเบียบอย่างนั้นหรือ? ตอนที่เสด็จพ่อของข้ายังอยู่ เจ้าจะหุนหันพลันแล่นไปชั่วขณะเยี่ยงนี้หรือไม่?! บุกรุกสถานที่หวงห้ามโดยพลการ ส่งเสียงตวาดคำรามในวังหลัง เรื่องนี้เจ้าไม่ใช่แค่ต้องแก้ตัวกับข้าเท่านั้น แต่ยิ่งต้องแก้ตัวกับราษฎรทูเจวี๋ยอีกด้วย”
คำพูดนี้หนักหนายิ่งนัก อวี้เจียรับสืบทอดบัลลังก์จากท่านข่านใหญ่ก็แค่ครึ่งปีกว่า กำลังอยู่ในช่วงสร้างบารมี ถูสั่วจั่วหน้าซีดเผือด ฟันดาบโค้งเสียงดัง “ฉับ” ในบัดดล นิ้วโป้งมือซ้ายปลิวหมุนออกไป โลหิตไหลทะลัก หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็ตะลึงงัน ไม่เสียทีที่เป็นอ๋องขวาทูเจวี๋ย เจ้านี่ช่างเ**้ยมสมชื่อ!
“นี่เจ้าทำอะไร?” อวี้เจียรีบเดินเข้าไปหนึ่งก้าวพร้อมกล่าวด้วยความห่วงใย “อ๋องขวาเป็นเสาหลักของทูเจวี๋ยเรา เหตุใดถึงทำร้ายร่างกายตนเอง? มาเร็ว มาทายาทำแผลให้ท่านอ๋องขวา!”
ถูสั่วจั่วผลักทหารรักษาพระองค์ที่เข้ามาทายา ปล่อยให้นิ้วมีโลหิตไหลทะลัก ก้มกายหมอบกราบพร้อมพูดว่า “ใจที่ถูสั่วจั่วมีต่อท่านข่านใหญ่ ฟ้าดินเป็นพยาน!”
ต่อให้อ๋องขวาจะวางอำนาจมากอีกสักเพียงใด ทว่าความรู้สึกที่มีต่อเยวี่ยหยาเอ๋อร์กลับจริงแท้แน่นอน เพียงแต่มันกลับไร้ความสามารถที่จะสยบอวี้เจีย หลินหว่านหรงส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ
“อ๋องขวารีบลุกขึ้นเถิด!” อวี้เจียประคองถูสั่วจั่วขึ้นด้วยตนเอง มีทหารองครักษ์สองนายเข้ามาพยุงเขาขึ้นแล้ว
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ดีขึ้น ข้างกายถูสั่วจั่วก็มีคนผู้หนึ่งรีบออกมาข้างหน้าพร้อมหมอบกราบ พูดเสียงดังออกมาว่า “กระหม่อมทายาทเฉิงอ๋องเจ้าคังหนิงแห่งต้าหัว ถวายบังคมท่านข่านดาบทอง ขอท่านข่านใหญ่ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง งดงามยั้งยืนยง”
นี่คือภาษาต้าหัวของแท้ หลินหว่านหรงได้ยินไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว ลอบเคียดแค้นอยู่ในใจ ชิงเสวียนกับเซียนเอ๋อร์ทำไมถึงมีลูกพี่ลูกน้องแบบนี้ได้นะ ช่างน่าขายขี้หน้าจนถึงบ้านท่านยายมันแล้ว
เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเจ้าคังหนิงที่หมอบกราบ มุมปากปรากฏรอยยิ้มเย็นชาด้วยความดูแคลน “ทายาทเฉิงอ๋อง? ต้าหัวยังมีเฉิงอ๋องอยู่อีกหรือ? เหตุใดข้าถึงไม่รู้?!”
การตบหน้าครั้งนี้ช่างดังดีเสียจริง เจ้าคังหนิงหน้าแดงดั่งตับหมู หมอบกราบกรานพูดพึมพำ ไม่รู้ว่าเป็นภาษาอะไร หลินหว่านหรงรู้สึกสาแก่ใจ อยากจะกอดเยวี่ยหยาเอ๋อร์แล้วหอมสักสองฟอดให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
“อ๋องขวาขอพบข้ามีเรื่องอันใด?!” อวี้เจียไม่สนใจเจ้าคังหนิง หันไปหาถูสั่วจั่ว ขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถาม
อ๋องขวามองคนเผ่าเยวี่ยซื่อที่อยู่ข้างหลังนาง กัดฟันกรอดแล้วตอบว่า “ถูสั่วจั่วมีคำขอเพียงหนึ่งเดียว ขอท่านข่านใหญ่โปรดทรงอนุญาต”
เมื่อเห็นสายตาเคียดแค้นของถูสั่วจั่วก็รู้ว่ามันไม่ได้มีเจตนาดี อวี้เจียดึงเจ้าใบ้ไปข้างหลัง พูดเบาๆ ว่า “ไม่ต้องกลัว เจ้ายืนข้างหลังข้า มีข้าอยู่ เขาไม่กล้าทำอะไรเจ้า”
ฟังนางพูดไม่เข้าใจ แต่กลับรู้ว่านางหมายความว่าอะไร เจ้าใบ้จิตใจร้าวรอน จับมือเยวี่ยหยาเอ๋อร์พลางก้มหน้าเล็กน้อย เมื่อเห็นดวงตาอันเปล่งประกายของเขา อวี้เจียพลันนิ่งงันไปทั้งร่าง “ข้าเคยพบเจ้า ข้าต้องเคยพบเจ้าแน่!” นางอื้นโดยไม่รู้ตัว พูดพึมพำกับตัวเอง คล้ายกำลังค้นหาอะไรบางอย่างอย่างสุดกำลัง
ความห่วงใยที่ท่านข่านใหญ่มีต่อคนเผ่าเยวี่ยซื่อปรากฏให้เห็นอยู่เนืองๆ ถูสั่วจั่วแทบจะคลั่ง มันใช้มือที่โลหิตไหลรินชี้เจ้าใบ้พร้อมพูดเสียงดังทันที “ทูลท่านข่านใหญ่ ถูสั่วจั่วต้องการสู้ตัดสินชี้เป็นชี้ตายกับเจ้าคนเผ่าเยวี่ยซื่อคนนี้ต่อหน้าดินแดนที่ได้ชัยชนะทั้งหมดอีกครั้ง! เจ้าใบ้ เจ้ากล้าหรือไม่กล้ารับ?!”
ใครจะไปรู้ว่าเจ้านี่มันกำลังเห่าหอนอะไรอยู่ เจ้าใบ้เบะปากอย่างดูแคลน เมื่อกวาดตามองกลับเห็นเจ้าคังหนิงซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นกำลังแอบมองประเมินเขาอยู่
“หึ” เขาถลึงตาใส่ทันที มองอ๋องหนิงด้วยสายตามีโทสะ เจ้าคังหนิงตกใจจนสั่นสะท้าน รีบหมอบอยู่บนพื้นไม่กล้าขยับอีกต่อไป จัดการกับคนพรรค์นี้ การหลบเลี่ยงก็มีแต่จะยิ่งสร้างความสงสัยให้มัน ไม่สู้ให้ตัวมันหดหัวกลับไปอย่างว่าง่ายจะดีกว่า
“สู้ตัดสินเป็นตาย?!” อวี้เจียถอนหายใจเล็กน้อย “ถูสั่วจั่ว ตอนนี้เจ้ายังมีคุณสมบัติพูดเรื่องนี้อยู่อีกหรือ?!”
ในการแข่งขันชิงแพะ ถูสั่วจั่วถูกเจ้าใบ้ของเยวี่ยซื่อทำให้ร่วงลงจากม้าทุกคนต่างเห็นกับตา หากบอกว่าสู้ตัดสินชี้เป็นชี้ตาย อ๋องขวาในตอนนั้นก็น่าจะตายไปแล้ว! ไหนเลยจะปล่อยให้มันมาขอสู้อีกครั้งในตอนนี้ได้อีก?
“เจ้าใบ้ พวกเราไปกันเถอะ!” ท่านข่านใหญ่ส่ายหน้าเล็กน้อย พาเจ้าใบ้เดินมุ่งหน้าไป
“อวี้เจีย…” ถูสั่วจั่วร้อนใจแล้ว กระเด้งขาเดียวขึ้นมา รีบขวางอยู่เบื้องหน้านาง “——ท่านข่านใหญ่ ขอพระองค์โปรดทรงประทานโอกาสให้ข้าอีกครั้งหนึ่ง พวกเราเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นพระองค์ ถูสั่วจั่วก็สาบานแล้วว่าจะต้องสู่ขอพระองค์มาเป็นภรรยาให้จงได้ หลายปีนี้ขึ้นเหนือล่องใต้เพื่อออกรบ ทำลายเถี่ยเล่อ สยบทุ่งหญ้า ถูสั่วจั่วไม่เคยขอรับรางวัลจากท่านข่านมาก่อน ใจข้ามีเพียงความหวังเดียวเท่านั้น นั่นคือขอท่านข่านโปรดทรงประทานอวี้เจียผู้งดงามและชาญฉลาดมากที่สุดบนทุ่งหญ้าให้เป็นภรรยาของถูสั่วจั่ว อวี้เจีย ท่านข่านใหญ่ ถูสั่วจั่วยินดีตายเพื่อพระองค์ ขอพระองค์โปรดทรงประทานโอกาสให้ข้าอีกครั้ง!”
ถูสั่วจั่วอารมณ์พลุ่งพล่านจนใบหน้าแดงก่ำ ลูกตาที่ถลนออกมาเต็มไปด้วยเส้นเลือด น่ากลัวมากเป็นพิเศษ
เยวี่ยหยาเอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ แล้วตอบว่า “ถูสั่วจั่ว ข้าซาบซึ้งต่อความรู้สึกที่เจ้ามีต่อข้ามาก เพียงแต่ข้าให้โอกาสเจ้าไปแล้ว! ขณะที่แขวนดาบทอง ข้ามอบโอกาสให้บุรุษแห่งทุ่งหญ้าทุกคน เป็นเจ้าที่สูญเสียมันไปเอง! กติกาการแข่งขันชิงแพะที่บรรพชนของพวกเราตั้งไว้เพื่ออะไร? หากข้าทำเพื่อเรื่องส่วนตัวเพราะเจ้าเป็นอ๋องขวา เช่นนั้นผู้ที่พ่ายแพ้ทุกคนก็มาขอโอกาสครั้งที่สองกับข้าได้ นี่ถือเป็นการลบหลู่ผู้กล้า! โอกาสมีให้ทุกคนแค่ครั้งเดียว เจ้าเป็นเช่นนี้ ผู้กล้าใบ้ก็เป็นเช่นนี้”
คำพูดอันแผ่วเบาและอ่อนโยนของอวี้เจียประหนึ่งดาบที่ทิ่มแทงใจอ๋องขวา พูดไปพูดมา ก็ต้องโทษที่ตัวเองที่คว้าโอกาสไม่ได้ และยิ่งต้องโทษเจ้าคนถ่อยต่ำช้าเยวี่ยซื่อคนนั้น มันมองข้ามท่านข่านใหญ่ จ้องมองคนเผ่าเยวี่ยซื่อเขม็ง สองตาแดงก่ำ ตวาดออกมาว่า “เจ้าใบ้ ข้าไม่มีทางละเว้นเจ้า พวกเราไปเจอที่งานเลี้ยง!”
มารดามัน เป็นเจ้าเป๋บวกขันทีก็ยังกล้ามาดุต่อหน้าข้าขนาดนี้? ดูท่ายังอัดมันโหดไม่พอ! อ๋องขวาถูกองครักษ์สองนายประคองจากไปแล้ว หลินหว่านหรงถ่มน้ำลายอย่างดุดัน คิดด้วยความรู้สึกเดือดดาล
“เจ้าใบ้ เจ้าจะร้องไห้เพื่อสตรีที่ชอบหรือไม่?” ท่านข่านใหญ่พลันจับมือเขาพร้อมเอ่ยถามเสียงแผ่วเบาและอ่อนโยน
ฟังไม่รู้เรื่อง! เจ้าใบ้ร้องอ๊าๆ ออกมาหลายครั้งทันที เหมือนเสียงห่านร้อง!
ห้องโถงใหญ่ที่ใช้จัดงานเลี้ยงอยู่ห่างจากวังหลังของอวี้เจียไม่ถึงหนึ่งลี้ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ คนยังไม่ทันเข้าพระตำหนัก เสียงเอะอะโวยวาย กลิ่นสุราอาหารก็ลอยเข้ามาแล้ว
งานเลี้ยงของชาวทูเจวี๋ยอะไรที่ว่าแม้ห่างไกลจากคำว่าพิถีพิถัน ทว่ากลับพร้อมพรั่งยิ่งนัก บนโต๊ะมีเนื้อวัวต้มสูงชิ้นโตวางสุมเต็มไปหมด บนคานย่างจำนวนสามสิบกว่าคานแขวนแพะย่างทั้งตัวที่เปล่งประกายมันวาว บนตัวแพะย่างทุกต่างเสียบดาบโค้งทูเจวี๋ยสองเล่มเพื่อบริการให้คนเถือแบ่ง น้ำมันหยดลงบนกองไฟไม่หยุด ส่งเสียงดังเพียะๆ เบาๆ สุรานมม้าหกสาดกระจายไปทั่ว กลิ่นฉุนรุนแรงลอยเข้าจมูก ถึงกระนั้นกลับกระตุ้นพยาธิในท้องคน
แม้เป็นงานเลี้ยงที่ท่านข่านใหญ่จัดขึ้น แต่กลับไม่อาจเปลี่ยนแปลงความเคยชินของชนเผ่านอกด่านได้ เมื่อเห็นแพะตัวไหนที่ย่างจนสุกก็จะไม่สนใจสิ่งใด ใช้มือที่เปื้อนน้ำมันคว้าจับ ชนเผ่านอกด่านที่มีอยู่ทั่วพระตำหนัก แต่ละคนต่างใบหน้ามันวาว มือมันวาว มีเพียงไม่กี่คนที่กินอย่างมีมารยาท ใช้ดาบหั่นเป็นชิ้นเล็กแล้วค่อยเคี้ยว เมื่อมองให้ดีกลับเป็นพวกของเหล่าหู
ผู้กล้าที่ปิดหน้าในพระตำหนักใหญ่มีจำนวนไม่มากแล้ว พวกของเหล่าหูคือเยวี่ยซื่อที่ได้รับชัยชนะ ท่าข่านดาบทองยังไม่มา ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเปิดหน้ากากของพวกเขา
“ถวายบังคมท่านข่านใหญ่!” เมื่อเห็นอวี้เจียเข้ามาแล้ว ชนเผ่านอกด่านที่อยู่ภายในพระตำหนักจึงรีบวางขาแพะน่องแพะลง มือที่เปียกและมันแตะที่อก แสดงการคารวะด้วยความเคารพนบนอบ
เยวี่ยหยาเอ๋อร์หัวเราะพร้อมผงกศีรษะ “ผู้กล้าทุกท่านสนุกต่อไปเถอะ!”
เมื่อเห็นแม่ทัพหลินเข้ามาในพระตำหนักตามหลังอวี้เจีย พวกของหูปู้กุยก็ยินดีเป็นล้นพ้น รีบกรูเข้ามา
ชนเผ่านอกด่านภายในพระตำหนักแบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน ฝ่ายหนึ่งอยู่บรรดาเชื้อพระวงศ์ที่อยู่ใกล้บัลลังก์ภายในท้องพระโรง มีราวยี่สิบสามสิบคนได้ ยิ่งเข้าใกล้บัลลังก์มากเท่าใด สถานะก็ยิ่งสูงส่งมากเท่านั้น ถูสั่วจั่วที่ขาพิการนั่งเป็นประธาน ดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ จ้องมองเยวี่ยซื่ออย่างเย็นชา ส่วนอีกฝ่ายกลับเป็นเหล่าผู้กล้าที่เอาชนะการแข่งขันชิงแพะได้สามรอบ มีราวร้อยกว่าคน พวกมันนั่งอยู่กลางพระตำหนักใหญ่ ส่วนใหญ่ปลดหน้ากากลงแล้ว กำลังกล่าวทักทายสหายอย่างคึกคัก
“เสด็จพี่ ท่านมาแล้ว!” ข่านน้อยซ่าเอ่อร์มู่วิ่งลงมาจากบัลลังก์ราวกับโผบิน กุมมืออวี้เจียแน่น เขามองเจ้าใบ้ที่อยู่หลัง อวี้เจียพร้อมถามด้วยความประหลาดใจ “ผู้กล้า เจ้ามาพร้อมกับท่านข่านใหญ่หรือ?!”
“เขาย่อมมาพร้อมกับข้า” ใบหน้าเยวี่ยหยาเอ๋อร์แดงระเรื่อเล็กน้อย
“ข้ารู้แล้ว” ซ่าเอ่อร์มู่ผงกศีรษะ ควักดาบทองออกมาจากอก “เสด็จพี่ มอบให้ท่าน!”
อวี้เจียอืมเล็กน้อย รับดาบทองมากุมอยู่ในมือ มองเจ้าใบ้หลายครั้ง จากนั้นก็ก้มหน้าลงไป “ซ่าเอ่อร์มู่ เหล่าผู้กล้าในท้องพระโรงนี้เจ้าจำได้หมดแล้วหรือไม่?”
“นั่นมันแน่นอน” ข่านน้อยผงกศีรษะอย่างเป็นการเป็นงาน ชี้ไปที่แต่ละดินแดนที่อยู่กึ่งกลาง “ทุกคนต่างเป็นผู้กล้าที่เอาชนะสามครั้งขึ้นไป ข้าปลดหน้ากากด้วยตนเอง ข้ายังดื่มสุรากับเขาทุกคนอีกด้วย ชื่อข้าก็เรียกถูก ใช่หรือไม่ ผู้กล้าทั้งหลาย?!”
“พวกเราจะจดจำพระมหากรุณาธิคุณของท่านข่านน้อยไปตลอดกาล!” ดินแดนหลายสิบดินแดนตะโกนพร้อมกัน หน้ากากที่ถูกท่านข่านน้อยปลดออกถือเป็นเกียรติยศ สิ่งนี้เป็นทุนรอนเพียงพอให้พวกมันภาคภูมิใจได้!
“ดีมาก ซ่าเอ่อร์มู่!” อวี้เจียตบบ่าข่านน้อยด้วยความยินดี ชี้ไปด้านล่างบัลลังก์พร้อมเอ่ยว่า “ยังมีเหล่าเชื้อพระวงศ์และพระญาติเหล่านี้อีก พวกเขายิ่งเป็นเสาหลักสำคัญของทูเจวี๋ยเรา เจ้าควรไปดื่มสุรากับพวกเขาเพื่อขอคำชี้แนะจากพวกเขาด้วย!”
ข่านน้อยตอบอย่างภาคภูมิ “เสด็จพี่ พระญาติเหล่านี้ข้าก็ดื่มด้วยแล้ว!”
“ข่านน้อยทรงมีพระทัยกว้างขวาง! ท่านข่านใหญ่ทรงสั่งสอนอย่างดี!” ใต้บัลลังก์ ราชนิกุลทั้งหมดต้องค้อมกายแสดงการคารวะ แม้แต่ถูสั่วจั่วก็ยังลุกส่ายโอนเอนขึ้นมาด้วย นอกจากลู่ตงจ้านกับปาเต๋อหลู่ ยอดคนของทูเจวี๋ยทั้งหมดต่างรวมตัวกันที่นี่แล้ว
เยวี่ยหยาเอ๋อร์เบ้าตาแดงเล็กน้อย กล่าวด้วยความภูมิใจออกมา “ซ่าเอ่อร์มู่ เจ้าช่างยอดเยี่ยม พี่ภูมิใจแทนเจ้า”
หูปู้กุยตื่นตะลึงอยู่บ้าง เจ้าเด็กนี่ดื่มทางนั้นทีทางนี้ที หรือว่ามันจะเป็นเซียนสุรา? หลินหว่านหรงกลับมีจิตใจกระจ่างแจ้ง ผู้ที่มีความสามารถมากหาใช่ข่านน้อย แต่เป็นอวี้เจียที่ใช้ฝีมืออันล้ำเลิศของนาง ผสมยาแก้เมาเล็กน้อย แต่ก็ยังยากเย็นนักกว่าจะดื่มได้ราวกับน้ำ นางกำลังบ่มเพราะบารมีให้ซ่าเอ่อร์มู่ทุกด้าน ความลำบากพากเพียรปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
ท่านข่านใหญ่ประคองมือข่านน้อย สองพี่น้องนั่งลงบนบัลลังก์ทูเจวี๋ยซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจสูงสุดนั้นอย่างแช่มช้า พระตำหนักใหญ่เงียบสงัดโดยพลัน
“ทูลท่านข่านใหญ่ ยังมีดินแดนสุดท้ายกำลังรอคอสองพระหัตถ์อันสูงส่งของพระองค์เพื่อเปิดหน้ากากให้อยู่!” เสียงของนักบวชทูเจวี๋ยลอยมาอย่างแช่มช้า ภายในพระตำหนักครึกครื้นขึ้นมาทันที ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าดินแดนสุดท้ายคือผู้ใด นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นมากที่สุดในการแข่งขันชิงแพะแล้ว
พลุเจิดจ้าหลายดอกส่องสว่างท้องฟ้านอกเมืองเค่อจือเอ่อร์ หูปู้กุยชะเง้อมอง รู้สึกยินดียิ่งนัก รีบส่งสายตาให้ทุกคน เผ่าเยวี่ยซื่อสิบกว่าคนยืนขึ้นโดยไม่ให้รู้ตัว เข้าใกล้คานที่แขวนแพะนั้น มือกุมดาบโค้งที่เปื้อนคราบน้ำมันเต็มไปหมดนั้นแน่น ชาวทูเจวี๋ยเห็นพวกเขามีท่าทีดุดันห้าวหาญ กลับยังนึกว่าพวกเขาจะเรียงแถวเพื่อรับคำอวยพรจากท่านข่านใหญ่ เสียงแห่งความยินดีจึงยิ่งครึกครื้นมากยิ่งขึ้น
อวี้เจียค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างแช่มช้า ออกแรงกุมดาบทองในมือแน่น ขณะกำลังจะเอื้อนเอ่ยวาจา กลับเห็นอ๋องขวาทูเจวี๋ยพยายามออกแรงยืนขึ้นอย่างเต็มที่พร้อมพูดเสียงดัง “ช้าก่อน!” ถูสั่วจั่วหมุนกาย ใช้มือเดียวทาบอก เผชิญหน้าอวี้เจียพร้อมกล่าวด้วยความเคารพ “ทูลท่านข่านใหญ่ ในนามเทพแห่งทุ่งหญ้า ถูสั่วจั่วต้องการสู้ตัดสินกับผู้กล้าใบ้ ไม่ตายไม่เลิกรา!”
“เจ้า…” อวี้เจียโกรธจนหน้าซีด มือที่กุ่มดาบทองสั่นไม่หยุด
ภายในพระตำหนักใหญ่บังเกิดความวุ่นวาย แม้จะบอกว่าคำขอของถูสั่วจั่วออกจะเกินเลยไปบ้าง แต่การได้เห็นผู้กล้าใบ้แสดงฝีมือ สิ่งนี้แทบจะเป็นความหวังของทุกคน
“ท่านแม่ทัพ ทำอย่างไรดี?!” หูปู้กุยรีบพูดกดเสียงต่ำ
“เตรียมตัวลงมือ!” หลินหว่านหรงแค่นสี่คำออกมาด้วยใบหน้าปราศจากความรู้สึก ถือดาบทื่อในมือ สาวเท้ายาวๆ ก้าวไปข้างหน้า
นี่ผู้กล้าใบ้เป็นอะไรไป ทุกคนต่างนิ่งอึ้ง มองเขาด้วยความตกใจ ไม่รู้ว่าเขาต้องการทำอะไร
เจ้าใบ้เดินมาข้างหน้าทีละก้าวทีละก้าว เดินไปข้างกายถูสั่วจั่วอย่างแช่มช้า จ้องมองมันด้วยสายตาเย็นชา
“เจ้าจะทำอะไร?!” อ๋องขวาทูเจวี๋ยกระเด้งขาเดียวขึ้นมา ตื่นตระหนกจนรีบถอยหลังไปสองก้าว ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาก็รู้สึกว่ามีหมัดหนักๆ กระแทกหน้าผากตัวเองหมัดหนึ่ง “ทำมารดาเจ้าน่ะสิ!”
ความเคลื่อนไหวนี้เพียงชั่วประกายไฟ ทุกคนยังไม่ทันรู้สึกตัว ร่างกายถูสั่วจั่วก็ล้มครืนลงกับพื้นแล้ว เจ้าคังหนิงที่อยู่ข้างมันตกใจจนกลิ้งตะเกียกตะกายมุดลงขั้นบันไดไป วิธีการอันป่าเถื่อนเช่นนี้มันคุ้นเคยจนไม่อาจจะคุ้นเคยได้อีก ชี้นิ้วรัวด้วยความตกใจ พูดจาติดอ่าง “เจ้า เจ้าคือ…”
“เจ้าใบ้…” อวี้เจียเบิกตาโพลง หน้าอกสะท้อนขึ้นลงเร็วรี่ มองเขาอย่างเหม่อลอย
ในดวงตาผู้กล้าผุดประกายน้ำบางๆ พูดด้วยเสียงอ่อนโยนออกมาว่า “ขอโทษด้วย น้องสาว ชาติหน้าจะเป็นเจ้าใบ้ของเจ้า!!”