ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 607 - 1 ทลายเมือง
นอกเมืองเค่อจือเอ่อร์
ราตรีทั้งมืดมนทั้งเงียบสงัด ปราศจากแสงไฟ ปราศจากเสียงฝีเท้าม้า ณ ขอบฟ้าอันห่างไกลคล้ายมีเมฆดำลอยล่องแผ่ขยายเข้ามาอย่างเงียบงัน
คบเพลิงซึ่งกำลังลุกไหม้โชติช่วงชัชวาลอยู่บนกำแพงเมืองขยับวูบไหวไปมาไม่หยุดท่ามกลางสายลมบนทุ่งหญ้ายามค่ำคืนอันแสนจะเย็นเฉียบ จากนั้นก็ค่อยๆ ดับวูบ เหลืออยู่แค่สองหรือสามส่วนเท่านั้น แสงไฟหรุบหรู่ส่องกำแพงเมือง เมื่อยืนอยู่บนกำแพงเมืองก็มองเห็นได้ไม่เห็นร้อยจั้งเท่านั้น
เมื่อเหล่าผู้กล้าเข้าวังไปแล้ว บรรยากาศคึกคักภายในเมืองเค่อจือเอ่อร์ก็ลดทอนลงไปมาก แม้ยังคงร้องรำทำเพลงไม่ขาดสาย ทว่าแม่นางทั้งหลายกลับค่อยๆ สลายตัวไป ถนนใหญ่ซึ่งแต่เดิมเบียดเสียดยัดเยียดก็ค่อยๆ โล่ง กลับเป็นทหารยามรักษาเมืองที่ฉวยโอกาสช่วงงานเทศกาลสนุกสนานรื่นเริงซึ่งมีแค่ปีละครั้ง มือหนึ่งถือขาแพะที่ย่างจนสุก มือหนึ่งหิ้วสุรานมม้า ร้องเล่นเต้นระบำด้วยความคึกคักสนุกสนาน ช่วงงานเทศกาลแข่งขันชิงแพะซึ่งเฉลิมฉลองไปทั่วแผ่นดินนี้ทุกคนต่างหัวเราะสนุกสนาน ไม่มีผู้ใดตำหนิว่าพวกมันละเลยและชะล่าใจ
จุดดำขนาดเล็กจุดหนึ่งมีลักษณะคล้ายตะปูปักอยู่บนกำแพง แน่นิ่งไม่ไหวติง เมื่อทอดสายตามองไกลๆ ก็คล้ายตุ๊กแกที่เกาะกำแพงอยู่ตัวหนึ่ง ภายใต้แสงไฟอันหรุบหรู่ ไม่มีผู้ใดเห็นการดำรงอยู่ของมัน
ห่างจากยอดศีรษะไม่ถึงหนึ่งจั้งก็คือเชิงเทิน (สิ่งก่อสร้างทางยุทธศาสตร์ เช่นบนกำแพงเมืองหรือปราสาทที่ประกอบด้วยกำแพงบัง ที่เป็นกำแพงเตี้ยที่บากออกเป็นช่องๆ เป็นระยะๆ เพื่อใช้ในการยิงธนูหรือเครื่องยิงอื่นๆ ออกจากกำแพง ส่วนที่บากหรือตัดออกไปเรียกว่าช่องกำแพง ส่วนที่เป็นกำแพงเรียกว่า ใบสอ) ของกำแพงเมืองซึ่งเสียบคบเพลิงเอียงออกมา ใกล้จะดับแหล่มิดับแหล่ กลิ่นหอมของสุรานมม้าลายมาตามลมพร้อมกับเสียงเพลงของชาวทูเจวี๋ย ทั่วทั้งเค่อจือเอ่อร์ตกอยู่ในห้วงแห่งความสุข
ความสามารถในการต่อสู้รายบุคคลของชาวทูเจวี๋ยนั้นโดดเด่นก็จริงอยู่ แต่สิ่งโดดเด่นพร้อมกับความสามารถในการต่อสู้ก็คือความหย่อนยานในกฎระเบียบของพวกมัน ความไม่มีวินัยของชนเผ่าเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนปรากฏบนตัวพวกมันอย่างชัดเจน ราชธานีทูเจวี๋ยอยู่ในส่วนลึกของทุ่งหญ้าอาลาซ่าน อยู่ติดกับปราการทางธรรมชาติอาเอ่อร์ไท่ ถือเป็นแนวหลังที่มั่นงคงมากที่สุดของแค้วนข่านทูเจวี๋ย นับตั้งแต่ก่อตั้งบ้านเมือง ทูเจวี๋ยออกรบขึ้นเหนือล่องใต้ รวบรวมทุ่งหญ้าให้เป็นปึกแผ่น การรบน้อยใหญ่ไม่ต่ำกว่าพันครั้ง มีแค่เค่อจือเอ่อร์ซึ่งไม่เคยถูกรุกรานมาก่อน สิ่งนี้จึงทำให้พวกมันค่อยๆ ชาชิน
“พรึบ” แสงไฟดับวูบ คล้ายมีสายลมพัดผ่านทำให้คบเพลิงดับไป ตุ๊กแกที่หมอบอยู่กับกำแพงเคลื่อนที่ปีนป่ายอย่างรวดเร็ว กระโดดข้ามผ่านเชิงเทิน เร้นกายอยู่ในความมืด
“มารดามัน ทำไมถึงดับอีกแล้ว!?” ทหารรักษาการณ์ชนเผ่านอกด่านคนหนึ่งสะอึกจากการดื่มสุราพลางเดินส่งเสียงด่าทอเข้ามา ยังไม่ทันจุดที่จุดไฟก็ได้ยินเสียงคอหักดังกร๊อบ ร่างกายกำยำล่ำสันของมันค่อยๆ ล้มพับลงไป
เกาฉิวสู้ลมหายใจลึก วางศพของชนเผ่านอกด่านซ่อนอยู่ในมุมมืด ขณะเดียวกันก็มีตุ๊กแกอีกหลายตัวร่อนลงอย่างเงียบงันข้างกายเขา ห่างออกไปสามจั้ง ทหารยามทูเจวี๋ยสี่ห้าคนมือถือขาแพะ กำลังชี้มาที่ถนนใหญ่ หัวเราะเสียงดัง โดยปราศจากความกริ่งเกรง ไม่รู้ว่าไปถูกใจสตรีทูเจวี๋ยคนใด ข้างกายพวกมันก็คือทางขึ้นกำแพงเมือง
เหล่าเกาหัวเราะฮิคราหนึ่ง ดาบโค้งซึ่งเปล่งประกายวูบวาบในมือตวัดกรีดลงอย่างหนักหน่วงคราหนึ่ง พี่น้องหลายคนที่อยู่ด้านหลังต่างเข้าใจ บุกโจมตีออกไปพร้อมกัน พุ่งปราดเร็วรี่ราวกับแมวดาว
เกาฉิวฝีมือดีมากที่สุด ระยะทางหลายจั้งเพียงชั่วพริบตาก็บรรลุถึงแล้ว การเคลื่อนไหวรวดเร็วดั่งสายฟ้า บีบคอชนเผ่านอกด่านสองคนทั้งซ้ายและขวาอย่างโหดเ**้ยม ด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด ชาวทูเจวี๋ยสองคนที่อยู่ข้างกายนั้นกำลังจะส่งเสียงร้อง ทว่ากลับรู้สึกเสียงแหบแห้งหายไป ไม่ว่าจะตะโกนเช่นไรก็ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา เมื่อก้มหน้าลงไป ดาบโลหะเย็นเฉียบกำลังพาดอยู่ที่ลำคอ โลหิตสดๆ ไหลทะลักออกมาจากหลอดลม
ทหารต้าหัวสองนายนำร่างของหลายคนนั้นพิงกับผนังของกำแพงเมือง ทำหัวสั่นหัวคลอน แสดงอาการของคนเมา ทหารรักษาการณ์ที่อีกเชิงเทินหนึ่งมองมาทางนี้หลายครา จากนั้นก็หัวเราะส่งเสียงด่าทอออกมาทันที
“กลไกอยู่ทางนั้น!” คนทั้งหลายต่างคุกเข่าลงไปพร้อมพ่นลมหายใจออกมายาวๆ พี่น้องที่รับผิดชอบการสำรวจคนหนึ่งชี้ไปที่วงล้อขนาดยักษ์บนผนังพร้อมพูดกดเสียงต่ำ กลไกนั้นอยู่ห่างออกไปห้าถึงหกจั้ง ถูกบังด้วยเชิงเทินทรงกลม รอบด้านมีกำแพงป้องกัน มีทหารรักษาการณ์ชาวทูเจวี๋ยหลายสิบคนเฝ้าอยู่ เมื่อดูจากรูปร่าง เห็นชัดว่าเป็นยอดฝีมือของชนเผ่านอกด่าน ประตูเมืองอันหนักอึ้งของเค่อจือเอ่อร์ใช้กลไกนี้เพื่อดึงเชือกให้ขยับ
เมื่อลองนับจำนวนคน ทหารที่เฝ้ากลไกมีทั้งหมดสิบคน ส่วนข้างกายตนมีพี่น้องยอดฝีมืออยู่หกเจ็ดคน เกาฉิวเงยหน้ามองท้องฟ้าเล็กน้อย ขณะกำลังจะโบกมือให้บุกเข้าไป ทันใดนั้นก็ได้ยินชาวทูเจวี๋ยส่งเสียงร้องดังลั่นด้วยความตกใจ “รีบดูเร็ว นั่นมันอะไรน่ะ?!”
ทิศทางที่ชาวทูเจวี๋ยผู้นั้นชี้ไปคือนอกเมือง เป็นเมฆสีดำทะมึนขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่ง
รุกคืบเข้าใกล้เค่อจือเอ่อร์อย่างเงียบงัน เมื่อดูจากระยะทางก็ห่างออกไปแค่ไม่กี่ลี้ พื้นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย ถึงกระนั้นกลับจมหายไปกับเสียงครื้นเครงสนุกสนานภายในเมือง
“เป็นทหารม้า!” หัวหน้าชนเผ่านอกด่านซึ่งมีสายตาดีเลิศและมีประสบการณ์ในการรบมากมายทอดสายตามองไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจทันที
มันพูดยังไม่ทันจบ บนถนนใหญ่ของเค่อจือเอ่อร์ก็มีเสียงร้องตะโกนด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัวหลายเสียง “เร็ว รีบหนีเร็ว ม้าตื่นแล้ว!”
ม้าทูเจวี๋ยซึ่งมีเปลวเพลิงทั่วร่างสองสามตัวร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด กระโดดอย่างเร็วรี่ไม่หยุด วิ่งห้อตะบึงไปตามถนนใหญ่ ชนเผ่านอกด่านหลายคนยังไม่ทันรู้ตัวก็ถูกม้าเหล่านั้นเหยียบย่ำอยู่ใต้เท้า เปลวเพลิงติดเสื้อผ้าและเส้นผมภายในชั่วพริบตา เสียงร้องโหยหวนดังระงม
ชาวทูเจวี๋ยที่อยู่ข้างถนนได้สติกลับมา ร้องด้วยความตกใจพร้อมหมุนกายวิ่งหนี แม้พวกมันจะเป็นผู้ฝึกม้าที่ดีที่สุดบนทุ่งหญ้า แต่เมื่อเผชิญหน้ากับม้าคลั่งที่มีไฟลุกท่วมร่างเช่นนี้ ผู้ใดจะกล้าอยู่รับเป็นแนวหน้า?
“บุก!” ฉวยโอกาสช่วงที่ชนเผ่านอกด่านทุกคนกำลังนิ่งอึ้ง เกาฉิวโบกมือทันที ชายฉกรรจ์เจ็ดคนพุ่งออกไปราวกับเกาทัณฑ์ ชนเผ่านอกด่านที่เฝ้ากลไกได้ยินเสียงฝีเท้าดังเบาๆ ข้างหลัง เพิ่งหันร่างกลับมาก็เห็นประกายแสงวูบวาบ ดาบใหญ่อันเย็นเยียบฟันลงมาที่ศีรษะ
ประกายโลหิตสาดกระจายไปทั่วพร้อมเสียงร้องโหยหวน ชาวทูเจวี๋ยเมื่อได้ยินเสียงก็หันมามอง เห็นเงาดำปิดบังใบหน้าหลายร่างกำลังบุกเข่นฆ่ามาที่กลไกราวกับหมาป่าบุกเข้าฝูงแพะ ดาบโค้งโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่ง คลื่นโลหิตพวยพุ่งถึงท้องฟ้า
“ฆ่า!” คล้ายขานรับเกาฉิวจากสถานที่อันห่างไกล เมฆดำที่กำลังลอยล่องอยู่ใต้เมืองอย่างแช่มช้านั้นพลันสาดซัดเข้ามาราวกับพายุทรายในทะเลทราย ม้าศึกจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งสีดำ สีขาว สีเหลือง รวมตัวกันราวกับสายน้ำไหลบ่า ใช้ความเร็วประดุจลมสลาตันมุ่งโจมตีมาที่เค่อจือเอ่อร์
ดาบศึกเปล่งประกายวูบวาบ ท่ามกลางเสียงเข่นฆ่าดังกึกก้อง มองเห็นสวี่เจิ้น หลี่อู่หลิง และใบหน้าอ่อนเยาว์ที่เต็มไปด้วยความเดือดดาลจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างชัดเจน
“พี่น้องทั้งหลาย เปิดประตูเมือง!!” เหล่าเกาใช้ดาบฟันศัตรูกล้าแกร่งข้างกาย โลหิตสาดใส่ใบหน้า เขาจับเพลาของวงล้อขนาดมหึมานั้น พี่น้องจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ด้านหลังส่งเสียงฮึบดังลั่นออกมาพร้อมกัน ประตูเมืองเค่อจือเอ่อร์อันหนักอึ้งส่งเสียงดังแอ๊ด เผยซอกขนาดเล็กให้เห็น
นอกเมือง ในเมือง บนเมือง สามแห่งบุกโจมตีพร้อมกัน ครานี้ชาวทูเจวี๋ยถึงเหมือนเพิ่งตื่นจากห้วงแห่งความฝัน หัวหน้าชนเผ่านอกด่านที่ตกใจลนลานตะโกนเสียงดังลั่น “ศัตรูบุกโจมตี! ฆ่าพวกมันให้ตาย!!”
ทหารทูเจวี๋ยจำนวนหลายพันคนกรูมาที่กำแพงเมืองอย่างบ้าคลั่ง ลูกธนูระดมยิงใส่ชาวต้าหัวซึ่งวิ่งมาที่ใต้เมืองอย่างราวกับสายฝน ท่ามกลางเสียงดังฟิ้วๆ ระคนด้วยเสียงดังทึบๆ ทหารต้าหัวพลิกกลิ้งตกลงจากม้า
ห่าลูกธนูอันแน่นขนัดของชนเผ่านอกด่านถูกเชิงเทินที่ล้อมวงล้อสกัดเอาไว้เกินครึ่ง ผู้กล้าเจ็ดคนที่ควบคุมวงล้อบนกำแพงเมืองเบิกตาโพลง ระหว่างที่ร้องตวาดเสียงดังก็ออกแรงผลักกลไกอย่างสุดกำลัง ประตูศิลาอันหนักอึ้งขยับอย่างแช่มช้าเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด
ชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนกรูเข้าหาเชิงเทินราวกับเสียสติ ต้องการสังหารทั้งเจ็ดคนให้สิ้นซาก ขณะเดียวกัน ชนเผ่านอกด่านที่อยู่ใต้กำแพงเมืองก็กวัดแกว่งดาบโค้ง คิดจะฟันเชือกยักษ์ซึ่งกำลังขยับดึงอย่างแช่มช้าให้ขาด
“ฆ่า!” ทหารต้าหัวยี่สิบกว่าคนซึ่งติดตามเยวี่ยซื่อปะปนอยู่ในเมืองกำลังเข้าไปสู้กับพวกมัน ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างดุเดือด
ชนเผ่านอกด่านที่มารายล้อมเชิงเทินมีมากขึ้นเรื่อยๆ เหล่านายทหารต่างมีโลหิตท่วมร่าง การขยับวงล้อนั้นยากเย็นมากขึ้น ประตูเมืองเปิดเป็นซอกขนาดเล็กเท่ากับครึ่งบ่า จากนั้นก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย เมื่อเห็นว่าสวี่เจิ้นกับหลี่อู่หลิงกำลังจะบุกเข่นฆ่ามาถึงใต้เมืองก็มีพี่น้องหลายสิบคนต้องธนูจนร่วงลงจากม้า เหล่าเการ้อนใจจนเบ้าตาใกล้จะปริแตก ขณะกำลังจะสละชีวิตบุกออกไป จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้อนใจของสตรีนางหนึ่งแว่วเข้ามา “หลบไป!”
เงาสีขาวสายหนึ่งข้ามผ่านทุกคนไปราวกับดาวตก พุ่งไปที่ประตูเมือง ธนูอันบ้าคลั่งของชนเผ่านอกด่านราวกับฝูงตั๊กแตนที่บินว่อน พุ่งเข้าหาพร้อมเสียงลมหวีดหวิว สตรีผู้นั้นไม่หยุดท่าร่าง ประกายกระบี่ในมือโบกสะบัดกวัดแกว่งเร็วรี่ราวกับสายอสุนีบาต พุ่งกระแทกไปที่กำแพงเมือง
“ตูม!” กำแพงเมืองคล้ายเริ่มสั่นคลอน ประตูเมืองอันหนักอึ้งประแตกเป็นชิ้นๆ เศษหินปลิวว่อน ฝุ่นลอยคละคลุ้ง ประตูเมืองบานซ้ายส่ายโอนเอน จากนั้นก็ล้มลงพื้นเสียงดังครืน
ระหว่างที่บุกโจมตีอย่างรุนแรงนั้น สตรีชุดขาวผู้ปิดบังโฉมหน้าท่าร่างชะงักงันในบัดดล ปากแค่นเสียงเจ็บปวดเล็กน้อยจนสัมผัสไม่ได้ออกมาคราหนึ่ง จากนั้นก็ดีดตัวออกไปราวกับสายฟ้า ขณะที่ร่อนลงพื้นซวนเซไปหลายก้าวถึงจะยืนได้มั่นคง หน้าอกขยับหอบสะท้อนขึ้นลงอย่างเร็วรี่
ประตูเมืองเค่อจือเอ่อร์หนักอึ้งเพียงใด เคยมีผู้ใดใช้กำลังเพียงคนเดียวโจมตีจนแตกได้? การโจมตีครั้งนี้ดั่งศิลาถล่มสวรรค์ สั่นสะเทือนอยู่ในใจของทุกคน
แม้ประตูเมืองจะล้มไปแค่บานเดียว ทว่าหนทางเชื่อมเข้าสู่เค่อจือเอ่อร์กลับปลอดโปร่งแล้ว
“พี่น้องทั้งหลาย บุกพร้อมข้า บุกเข่นฆ่าเข้าเค่อจือเอ่อร์ จับเป็นข่านทูเจวี๋ย!!” สวี่เจิ้น หลี่อู่หลิงจะปล่อยโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนี้ได้อย่างไร พวกเขาสองคนหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น ฝ่าห่าลูกธนูนับไม่ถ้วน ร้องคำรามพร้อมกันพลางดึงบังเ**ยนม้า ม้าเหล่านั้นแทบจะเหินทะยาน ข้ามผ่านเศษหินที่กองไปทั่ว มุ่งสู่ราชธานีทูเจวี๋ย!