ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 608 - 1 เงื่อนไข
เสียงดาบดังแจ่มชัด ประกายโลหิตพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า
อาชาเพลิงวิ่งห้อตะบึง ธนูเพลิงโบยบินดั่งตั๊กแตนไปทั่วทุกแห่งหน บ้านไม้และกระโจมที่อยู่ข้างทางติดไฟภายในชั่วพริบตา แผดเผาลุกโชนตามกำลังลม ชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนหกล้มถูกเหยียบย่ำจนบาดเจ็บ เปลวเพลิงเผาเส้นผม เสื้อผ้าของพวกมัน ส่งเสียงร้องโหยหวนโอดโอย ดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย ฝูงชนที่วิ่งหนีกระจัดกระจายกลายเป็นเป้าที่มีชีวิตของทหารม้าต้าหัวที่บุกเข้ามา ห่าลูกธนูไร้ประมาณพร้อมเปลวเพลิงอันพวยพุ่งทำให้เค่อจือเอ่อร์เปลี่ยนจากสรวงสวรรค์กลายเป็นนรกภูมิภายในชั่วพริบตา
ท่ามกลางทะเลเพลิงพวยพุ่งไร้ขอบเขต ทหารม้าต้าหัวซึ่งอาบโลหิตท่วมร่างเงื้อดาบโค้งที่มีโลหิตหยาดหยดขึ้นสูง กรูเข้าสู่วังหลวงทูเจวี๋ยราวกับสายน้ำไหลบ่า
นอกพระตำหนักใหญ่มีผู้คนเบียดเสียดยัดเยียดอยู่เต็มไปหมดภายในชั่วพริบตา ชาวทูเจวี๋ย ชาวต้าหัวพร้อมดาบเปื้อนโลหิต ม้าศึกจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่กันเต็มไปหมด ระยะห่างที่อยู่ใกล้ที่สุดของทั้งสองฝ่ายก็แค่ไม่กี่จั้ง ใกล้จนได้กลิ่นเหงื่อที่อยู่บนร่างของแต่ละฝ่ายได้ ทุกแห่งมีแต่ดวงตาอันแดงก่ำและใบหน้าอันบ้าคลั่ง ชาวทูเจวี๋ยเป็นเช่นนี้ ชาวต้าหัวก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
“เหล่าเกา ในที่สุดเจ้าก็มามารดามันเสียที!!” เมื่อเห็นใบหน้าดำทะมึนของเกาฉิว หูปู้กุยน้ำตาคลอเบ้าด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน กอดแขนด้วยความตื่นเต้น กล่าวระคนหัวเราะเสียงดัง
“น่าละอาย ฆ่าอย่างสะใจอยู่ข้างนอก จนเกือบลืมทางนี้ไปแล้ว ขออภัย ขออภัย” เกาฉิวหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง กวาดตามองซ่าเอ่อร์มู่กับราชนิกุลทูเจวี๋ยที่ถูกจับตัวเหล่านั้นพร้อมผงกศีรษะด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง ทหารต้าหัวจำนวนนับไม่ถ้วนกรูเข้าไปมัดคนเหล่านั้นอย่างแน่นหนา ส่วนข่านน้อยก็ยิ่งดูแลมากเป็นพิเศษ
อวี้เจียมือกุมดาบทอง ริมฝีปากสีชาดมีโลหิตซึมเล็กน้อย อยากจะบุกเข้าไปทันทีให้มันรู้แล้วรู้รอดไป เพียงแต่คมดาบอันเย็นเยียบของชาวต้าหัวกดอยู่บนลำคอซ่าเอ่อร์มู่แน่น ขยับเพียงนิดหัวก็จะหลุดจากบ่า
หลี่อู่หลิงมองทหารม้าทูเจวี๋ยท่าทางดุร้ายที่มีอยู่เต็มไปหมด เช็ดคราบโลหิตบนใบหน้าด้วยความตื่นเต้น “ชนเผ่านอกด่านมากขนาดนี้เชียว? พี่หลิน มีให้เราฆ่าตั้งมากมาย! มารดามัน วันนี้ได้ทุนคืนแล้ว!”
“ใช่แล้วล่ะ” หลินหว่านหรงเปล่งเสียงหัวเราะ “พวกเราไม่ขาดทุนแล้ว!”
เขาหมุนกายกลับมาอย่างแช่มช้า มองทหารชั้นยอดชาวต้าหัวที่อยู่ข้างหลังทั้งหมด ทันใดนั้นก็ชูแขนพร้อมส่งเสียงร้อง พูดเสียงดังออกมาว่า “พี่น้องทั้งหลาย พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด? ข้าจะบอกพวกเจ้า สถานที่ที่เต็มไปด้วยโลหิตและเปลวเพลิงแห่งนี้…นั่นคือวังหลวงของชาวทูเจวี๋ย! คือวังหลวงของชาวทูเจวี๋ย!!!”
“เฮ…” ประโยคที่เขาจงใจเน้นย้ำนั้นประหนึ่งดินระเบิดที่ร่วงลงพื้น ฝูงชนพลันอารมณ์พลุ่งพล่าน ช่วงเวลาที่ได้ล้างความอัปยศนี้ ชาวต้าหัวรอคอยมานานนับร้อยปี เหล่าทหารหนุ่มซึ่งมีเลือดอันร้อนระอุจำนวนนับไม่ถ้วนน้ำตาร้อนคลอเบ้า พวกเขาโห่ร้องยินดีอย่างบ้าคลั่ง กวัดแกว่งคมดาบเปื้อนโลหิตไปมา กรูเข้าหาชนเผ่านอกด่านที่อยู่ตรงข้ามอย่างดุดัน
เมื่อถูกกระตุ้นขวัญกำลังใจอย่างมหาศาลเช่นนี้ แสนยานุภาพของชาวต้าหัวจึงไม่อาจต้านทานได้ แม้จะได้เปรียบด้านกำลังคน แต่กระบวนของชาวทูเจวี๋ยก็ยังถูกพวกเขากดดันให้ถอยไปหลายจั้งอยู่ดี
“ขวับ!” ดาบโค้งของอวี้เจียออกจากฝัก มือน้อยกวัดแกว่งอย่างเย็นชา ชาวทูเจวี๋ยพลันกรูเข้าหาจากทั่วทุกสารทิศอีกครั้ง
“เคร้ง!” อาวุธจำนวนนับไม่ถ้วนปะทะกัน ทั้งสองฝ่ายต่างเบียดเสียดแนบชิด เหล่าทหารต้าหัวแต่ละคนต่างมีใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาสาดประกายดุร้ายและตื่นเต้น ยอมตายแต่ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว
ระหว่างที่ประจันหน้ากันอยู่นั้น แม้ยังไม่ได้สู้แลกชีวิต แต่บรรยากาศกลับกดดันจนแทบขาดอากาศหายใจ นอกจากเสียงหอบแฮ่กๆ แล้วก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา อวี้เจียดวงตาสาดประกายวูบ กวัดแกว่งดาบทองอีกครา ชาวทูเจวี๋ยส่งเสียงคำรามต่ำๆ กระบวนทัพพยายามเบียดกลับไปอย่างสุดกำลัง กดดันให้อีกฝ่ายมีพื้นที่แคบลงทีละก้าวทีละก้าว
“ใครก็ห้ามถอย!” หลินหว่านหรงสายตาเย็นเยียบ กลืนน้ำลายอย่างแรง ดาบใหญ่ชี้ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
“ฆ่า!” ทหารต้าหัวส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมกัน สองตาแดงก่ำ ระเบิดพลังอันมหาศาลออกมาภายในชั่วพริบตา ใช้ดาบใหญ่วาววับนั้นยันชาวทูเจวี๋ย เบียดพวกมันกลับไปอีกครา
ไม่เห็นโลหิต ทว่ากลับน่าอกสั่นขวัญหายยิ่งกว่าการฆ่าฟันบนสนามรบเสียอีก นี่คือการประลองกำลังด้านความอึดและความมุ่งมั่นของสองชนชาติ! ใบหน้าของชาวต้าหัวทุกคนต่างปรากฏความตื่นเต้นและความโศกเศร้าฮึกเหิมอันยากจะบรรยายได้ เบื้องบนถึงหลินซาน เบื้องล่างจรดทหารชั้นผู้น้อย ไม่มีผู้ใดที่ไม่ใช่เช่นนี้ ราวกับว่าพวกเขาไม่มีทางพ่ายแพ้
ข่านใหญ่ดาบทองเงยหน้าเล็กน้อย มองประเมินเจ้าใบ้ สายตาค่อยๆ เย็นชา กุมดาบโค้งแน่น หลังมือขาวกระจ่างใสมีเส้นเอ็นขนาดเล็ก ปูดโปนให้เห็นรางๆ หลายเส้น เจ้าใบ้จ้องนางอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ สีหน้าถมึงทึงราวกับความมืดบนขอบฟ้า
ท่ามกลางความเงียบงันอันน่ากลัวนี้ จิตใจของทุกคนเฉกเช่นสายพิณที่ขึงจนตึงแน่น ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสายพิณนี้จะขาดสะบั้นเมื่อใด และขาดสะบั้นแล้วจะเป็นเช่นไร
“เสด็จพี่ไม่ต้องสนใจข้า ฆ่าพวกมัน!” ข่านน้อยทูเจวี๋ยซึ่งตกอยู่ในเงื้อมมือชาวต้าหัวพลันกัดฟันกรอดพร้อมตวาดด้วยเสียงอันสั่นเทาและเยาว์วัย เสียงเด็กอันกระจ่างใสดังไปทุกซอกมุมของวังหลวงภายในชั่วพริบตา
เหล่าเกาตบศีรษะข่านน้อยคราหนึ่งพร้อมพูดอย่างมีน้ำโห “ถ้าพูดอีกข้าจะตัดลิ้นเจ้าออกมา!”
การจับตัวข่านทูเจวี๋ยเป็นเรื่องดีๆ ที่ไม่เคยคิดมาก่อน ถึงอย่างนั้นกลับมาอยู่ในเงื้อมมือข้าได้?! เหล่าเกาจ้องมองฝ่ามือตนเองด้วยท่าทีอึ้งๆ หลังจากผ่านไปเนิ่นนานจู่ๆ ก็หัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง หูปู้กุยย่อมเข้าใจความหมายของเขา หัวเราะฮิฮะพร้อมพูดว่า “ให้เจ้านี่ได้โอกาสไปก่อน!”
“ซ่าเอ่อร์มู่…” อวี้เจียร้องด้วยความโศกเศร้า สองตาเบิกโพลง ขบกรามแน่น แทบจะบีบดาบทองในมือจนแหลกละเอียด
หลินหว่านหรงส่ายศีรษะเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วพูดว่า “พี่เกา อย่าใช้กำลังหยาบคายเกินไป พวกเราต้าหัวเป็นผู้มีจารีตประเพณี เมื่อใช้คุณธรรมสยบไม่ได้ถึงจะค่อยลงมือ”
“ใช่ ใช่ คราวหน้าต้องแก้ใหม่!” เหล่าเกาหัวเราะร่าพลางผงกศีรษะ
“ไม่ต้องให้เจ้าทำตัวเป็นมุสิกร่ำไห้ให้วิฬาร์ เสแสร้งทำเป็นมีคุณธรรม!” ซ่าเอ่อร์มู่ตะโกนด้วยความเดือดดาล แม้ภาษาจะแข็งกระด้าง แต่กลับเป็นภาษาต้าหัวที่ถูกต้อง หลินหว่านหรงมองเขาด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็มองอวี้เจียอีกครา ข่านใหญ่มีสีหน้าเย็นชา ดวงตาสาดประกายเคียดแค้นอย่างล้ำลึก
หลินหว่านหรงส่ายศีรษะด้วยความรู้สึกขบขัน “ซ่าเอ่อร์มู่ วิฬาร์ร่ำไห้ให้มุสิกถึงจะเสแสร้งทำเป็นมีคุณธรรม มุสิกร่ำไห้ให้วิฬาร์นั่นคือคุณธรรมที่แท้จริง ตอนที่พี่สาวสอนภาษาต้าหัวให้เจ้า เจ้าต้องไม่ได้ตั้งใจเรียนแน่”
ข่านน้อยเบิกตาโพลงมองเขา “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นมุกสุกหรือว่าวิฬาร์ เจ้ารังแกเสด็จพี่ของข้า ซ่าเอ่อร์มู่ไม่มีทางละเว้นเจ้าแน่!”
“ข้าไม่ได้รังแก…” ข้าคิดจะแก้ตัว เพียงแต่เมื่อมองอวี้เจียเสียงกลับเบาลงไปโดยไม่รู้ตัว คล้ายมีความมั่นใจไม่เพียงพอ!
ข่านใหญ่ถอนหายใจยาว ใบหน้าเปล่งประกายสีทองบางๆ นางเชิดหน้า สายตาคมกริบ จ้องมองใบหน้าเขาอย่างลึกซึ้ง “ชาวต้าหัว มาคุยเงื่อนไขกันดีกว่า ขอเพียงเจ้าปล่อยตัวซ่าเอ่อร์มู่กับคนในเผ่าข้า อวี้เจียขอใช้เกียรติของข่านใหญ่ดาบทองแห่งแคว้นข่านทูเจวี๋ยรับรองกับเจ้า เรื่องที่ลอบโจมตีราชธานีข้าจะไม่เอาความ เจ้ากับผู้กล้าของเจ้าจะออกไปจากทุ่งหญ้า หวนคืนสู่มาตุภูมิของพวกเจ้าอย่างมีเกียรติด้วยความอยู่รอดปลอดภัย!”
หวนคืนสู่อย่างมีเกียรติคำนี้สมควรแน่นอน ทัพอันโดดเดี่ยวของพวกเขาเดินทางรอนแรมวกวนไปมาหลายเดือน ล่วงลึกนับพันลี้ ข้ามผ่านปราการธรรมชาติเฮ่อหลานซาน เผาปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ โจมตีต๋าหลานจาอย่างพิสดาร ข้ามผ่านทะเลแห่งความตายและถ้ำน้ำแข็งเทียนซาน บุกโจมตีราชธานีของชนเผ่านอกด่าน จุดไฟสงครามแผดเผาทั่วเค่อจือเอ่อร์ ถือว่าสร้างความสะเทือนขวัญแก่ศัตรู ไร้ผู้ต่อกรอย่างแท้จริง ต่อให้พาตัวซ่าเอ่อร์มู่ไปไม่ได้ ขอเพียงมีชีวิตรอดกลับไป พวกเขาก็จะเป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริง
หลินหว่านหรงส่ายศีรษะเล็กน้อย กล่าวเรียบๆ ออกมาว่า “ข่านใหญ่ เสนอเงื่อนไขแบบนี้ออกมา เจ้าไม่รู้สึกว่ากำลังลบหลู่สติปัญญาของข้าอยู่หรือ?!”
อวี้เจียสีหน้าเย็นชา “มือพวกเจ้าแปดเปื้อนโลหิตคนในเผ่าข้า เจ้าปล่อยตัวซ่าเอ่อร์มู่ ข้าไม่ถือสาหาความ หรือว่านี่ยังไม่พออีก?!”
เจ้าใบ้มองนาง ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมหัวเราะออกมายาวๆ ความดูแคลนบนใบหน้าคล้ายเข็มทิ่มแทงจิตใจ เยวี่ยหยาเอ๋อร์
“เจ้าหัวเราะอะไร?!” ข่านใหญ่ดาบทองตวาดด้วยโทสะ อยากจะเข้าไปบีบคอเขาให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เสียงตวาดเจื้อยแจ้วกระจ่างใสนั้น แม้แต่ฝุ่นบนคานของพระตำหนักใหญ่ก็ยังต้องสั่นสะเทือนจนร่วงลงมา
หลินหว่านหรงเลิกคิ้ว กล่าวด้วยความเดือดดาล “ข้าหัวเราะที่เจ้าฉาดแต่แกล้งทำเป็นเลอะเลือน! หากเอ่ยถึงมือแปดเปื้อนโลหิต ข่านใหญ่ เจ้าลองไปถามเสด็จพ่อของเจ้า ลองถามคนในเผ่าเจ้า พวกเขาเคยทำอะไรกับสหายร่วมอุทรของข้าบ้าง? ต่อให้ข้าฆ่าชาวทูเจวี๋ยไปอีกสิบเท่า มันจะไปเทียบกับมือสังหารเช่นพวกเขาได้อย่างไร?!”
“ห้ามมาตั้งคำถามกับเสด็จพ่อของข้า!!!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์กัดฟันกรอด เบิกตากว้าง จ้องมองเขาเขม็ง ตะโกนอย่างเดือดดาล
หลินหว่านหรงหน้าตาถมึงทึง พูดเสียงดังออกมาว่า “เขาคือเสด็จพ่อเจ้า ไม่ใช่เสด็จพ่อข้า!! ข้าตั้งคำถามต่อคนที่สองมือแปดเปื้อนโลหิต มีอะไรที่ไม่ได้กัน?!”
การถกเถียงอย่างดุเดือดนี้เหมือนรู้สึกคุ้นเคยอยู่รางๆ ตอนที่นางเป็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์เชลยผู้งดงามไร้เดียงสาคนนั้นก็เกิดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน เพียงแต่กาลเวลาผันผ่าน สิ่งของแม้ดังเดิม ทว่าคนกลับมิใช่! ยามนี้เวลานี้ นางยังจดจำอดีตอันไกลโพ้นเหล่านั้นได้อีกหรือ?! เจ้าใบ้ตีหน้าขรึม ยิ้มขื่นอยู่ในใจ
เหล่าหูกับเกาฉิวต่างมองหน้ากัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก สองคนนี้เห็นชัดว่ากลายเป็นคนที่อยู่กันคนละโลกกันแล้ว ทว่าเหตุใดถึงทะเลาะกันอีก? ท่าทางและสายตา กระทั่งว่าน้ำเสียงก็ไม่เปลี่ยนแปลง!
“เจ้ากล้าลบหลู่เสด็จพ่อของข้า?!” ซ่าเอ่อร์มู่ที่อยู่ทางนั้นเต้นผางแล้ว บุกเข้ามาต้องการแลกชีวิตกับเขา เหล่าเกาหัวเราะฮิฮะพลางขวางข่านน้อยเอาไว้ คนอายุน้อยทว่าความคิดพิเรนทร์มีมาก เขาอ้าปากแล้วกัดมือเหล่าเกา หูปู้กุยตาไวมือไว เขาไปบีบคอซ่าเอ่อร์มู่อย่างแรง ปล่อยให้ร่างกายอันเยาว์ของเขาลอยอยู่กลางอากาศพลางเตะขาไปมา
“หยุดนะ!” เมื่อเห็นซ่าเอ่อร์มู่ได้รับความทรมาน ด้วยโทสะและความร้อนใจ อวี้เจียกวัดแกว่งดาบทอง สองตาเปียกชื้นเล็กน้อย
หูปู้กุยหัวเราะฮิฮะ เกาหัวด้วยความกระดากใจ จากนั้นจึงปล่อยข่านน้อยลง
ข่านใหญ่ดาบทองหอบหายใจกระชั้นถี่หลายครั้ง ใบหน้าผุดความโศกเศร้าบางๆ นางมองหลินหว่านหรงอย่างเงียบงัน ทันใดนั้นก็เดินเข้ามาอย่างแช่มช้า ฝีเท้านางแผ่วเบามาก ราวกับขนนกซึ่งลอยล่องอยู่กลางอากาศ ให้ความรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง
เมื่ออยู่ห่างจากเขาแค่สองจั้งอวี้เจียก็รั้งฝีเท้า มองเขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ใช้ข้า แลกกับน้องชายข้า! พวกเจ้าปล่อยเขา พาข้าไป!!”
“เสด็จพี่…” ข่านน้อยส่งเสียงร่ำไห้ด้วยความตกใจ
ดวงตากลมโตอันงดงามของอวี้เจียเบิกกว้าง กล่าวด้วยโทสะออกมา “ซ่าเอ่อร์มู่ เจ้าคือบุตรชายของข่านผีเจีย เป็นพญาอินทรีที่เหินอยู่เหนือทุ่งหญ้า หลั่งโลหิตได้ แต่ห้ามหลั่งน้ำตา! ข้าไม่เคยสอนเจ้าหรือ?!”
หูปู้กุยส่ายศีรษะเล็กน้อย อวี้เจียผู้หญิงคนนี้ ฉลาดหลักแหลมกอปรด้วยสติปัญญาไม่ว่า ทั้งยังยิ่งมีคุณธรรมมีน้ำใจมีความรับผิดชอบอีก เพียงแต่น่าเสียดาย เหตุใดนางถึงชนเผ่านอกด่านได้? คราวนี้ดีเลย เหมือนพวกเขากลายเป็นคนชั่วช้าที่กระทำแต่เรื่องเลวทรามไปเสียอย่างนั้น!
เหล่าเกาถอนหายใจ แอบพูดกดเสียงต่ำออกมาว่า “น้องหลิน เจ้ามีสติปัญญาและแผนการ คิดหาหนทางให้เยวี่ยหยาเอ๋อร์อุ่นเตียงให้เจ้าจะดีกว่า! นางไม่ใช่คนเลว พวกเราก็ไม่ใช่คนเลวนะ! สตรีเช่นนี้หากพลาดไปแล้วก็ออกจะน่าเสียดายเหลือเกิน!!”
หลินหว่านหรงอับจนคำพูด สองทัพเผชิญหน้า โลหิตนองเป็นท้องธาร ความแค้นยิ่งใหญ่ดั่งห้วงมหาสมุทร แถมสถานะของอวี้เจียก็ยังเป็นเจ้าผู้ปกครองทุ่งหญ้าอีก ต่อให้ข้าอยากให้นางไปอุ่นเตียง เสี่ยงชีวิตเสี่ยงอันตรายยังไม่ต้องพูดถึง ชาวทูเจวี๋ยจะรับปากไหม?!
“ทำไม ไม่กล้าตอบหรือ?! พวกเจ้าชาวต้าหัวต่างขวัญอ่อนเยี่ยงนี้กันหรือ?!” ข่านใหญ่จ้องมองเขา มุมปากผุดรอยยิ้มประชดประชันเย็นชา
เหมือนโชคชะตากำลังเล่นตลก เริ่มจากที่ใด เมื่อเดินวนไปรอบหนึ่งก็กลับมายังที่เดิม หากอวี้เจียเป็นเชลยของตนอีกครั้งจริง เช่นนั้นวงล้อแห่งโชคชะตาจะชี้ไปทิศทางใดนะ? “ไม่ใช่ไม่กล้าตอบ แต่กลัวว่าพอตอบแล้วจะทำให้เจ้าผิดหวัง” เขาส่ายศีรษะหัวเราะพร้อมถอนหายใจเล็กน้อย “ข่านใหญ่ เรื่องราวบนโลกแปรผัน เจ้าในตอนนี้หาใช่คนที่ข้าต้องการ!”
“เจ้า…” อวี้เจียหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห ดวงตาผุดไอน้ำบางๆ จากนั้นก็เปล่งประกายคมกริบในบัดดล กำดาบทองในมือแน่น พร้อมจะออกจากฝักได้ทุกเมื่อ
เจ้าใบ้คล้ายไม่เห็นสายตาของนาง กล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉยว่า “ข้าพูดไม่ถูกหรือ?! ตอนนี้เจ้าเป็นข่านดาบทอง ยิ่งใหญ่บารมีแผ่ไพศาล แต่นายแห่งทุ่งหญ้าในอนาคตกลับไม่ใช่เจ้า แล้วเหตุใดข้าต้องละทิ้งอนาคตเพื่อปัจจุบันด้วยเล่า?! เพราะว่าเจ้าหน้าตาสะสวยอย่างนั้นหรือ? ขออภัยที่ข้าพูดตามตรง สาวใช้ที่บ้านข้าแต่ละคนต่างงามกว่าเจ้าเป็นร้อยเท่า แถมยังให้ข้าลูบคลำได้ตามใจชอบอีกด้วย เจ้าทำได้หรือเปล่า?!”
“ต่ำช้า!” ข่านใหญ่กัดฟันกรอด อกสะท้อนขึ้นลงเร็วรี่ สายตาเย็นชาดุจสายฟ้าแลบ ถลึงตามองเขาอย่างดุดัน “เช่นนั้นเจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่?! ยื่นเงื่อนไขของเจ้าออกมา!”
เจ้าใบ้พ่นลมหายใจออกมายาวๆ ส่ายศีรษะแล้วตอบว่า “เงื่อนไข? ย่อมต้องพูดกันแน่นอน เพียงแต่เวลาที่ข่านใหญ่เลือกในวันนี้ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่”
เมื่อได้ยินเหมือนเขายินดีที่จะยื่นเงื่อนไข ดวงตาอวี้เจียปรากฏแววแห่งความหวัง น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “วันนี้ไม่ดี?เช่นนั้นพรุ่งนี้?!”
“พรุ่งนี้ก็ไม่ใช่วันมงคล!”
“เช่นนั้นเจ้าเลือกเมื่อใด?!”
หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “รอให้ข้ากลับถึงเฮ่อหลานซานก็น่าจะพอใช้ได้แล้ว ถึงเวลาสองแคว้นเราสร้างปะรำแห่งหนึ่งระหว่างอู่หยวนกับปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ วางขวางข้ามผ่านเขตแดนของสองดินแดน จากนั้นก็ตั้งโต๊ะสักหลายสิบตัว ทุกคนดื่มชา กินผลไม้ นั่งลงแล้วค่อยๆ คุยกัน ไม่ขอปิดบังเจ้า ข่านใหญ่ ข้ารอคอยการมาถึงของช่วงเวลานั้นมาก!”
ข่านใหญ่ดาบทองรู้ตัวว่าติดกับเข้าแล้ว ดังนั้นจึงเดือดดาลขึ้นมาทันที ดวงหน้างดงามแดงก่ำ “เจ้าใบ้ เจ้ากล้าเล่นตลกกับข้า?!” “นี่ไม่ใช่การเล่นตลก แต่เป็นความจริงที่เจ้าต้องเผชิญ!” เจ้าใบ้หมุนกายกลับไปโดยปราศจากความกริ่งเกรง กล่าวระคนยิ้มให้ซ่าเอ่อร์มู่ “ข่านน้อย ขอต้อนรับการไปเป็นแขกที่ต้าหัวของเรา ขอเพียงแจ้งชื่อหลินซานของข้าก็จะไม่มีผู้ใดรังแกเจ้าเด็ดขาด ข้าขอรับรองด้วยชื่อเสียงและเกียรติยศของข้า!”