ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 608 - 2 เงื่อนไข
“เจ้ากล้า?!” อวี้เจียหางตาปริแตก ฟันโต๊ะเตี้ยที่อยู่ด้านข้างจนหักสะบั้น สองตาดั่งมีไฟลุกโชน กัดฟันกรอดพลางจ้องมองเขา ริมฝีปากสีชาดมีโลหิตไหลซึม พูดเน้นออกมาทีละคำว่า “หลินซาน เจ้านึกว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าจริงหรือ?!”
“ลองฆ่าดูก็รู้เอง!” หลินซานสะบัดแขนเสื้อ ตบบ่าหูปู้กุยที่อยู่ข้างกาย “หูปู้กุย บอกพี่น้องทั้งหลายให้เตรียมตัว พวกเราจะกลับบ้านกันแล้ว!”
กลับบ้าน? สองคำนี้ทั้งห่างไกลทั้งแปลกหน้า หูปู้กุยได้ยินแล้วก็นิ่งงันอยู่นาน ทันใดนั้นน้ำตาร้อนก็คลอเบ้า พูดพึมพำเสียงสั่นเครือออกมาว่า “ท่านแม่ทัพ ท่านพูดว่าพวกเรากลับบ้าน?!”
“ใช่แล้วล่ะ กลับบ้าน! วันนี้ช่างอากาศดีเสียจริง!” ทอดสายตามองแสงแรกอรุณที่เพิ่งปรากฏ ณ ริมขอบฟ้าอันห่างไกล สีแดงเข้มราวกับใบหน้าของเด็กทารก เขาสูดจมูกเล็กน้อย ยกเท้าเดินย่างก้าว เชิดหน้าพร้อมย่างออกไป อวี้เจียจ้องเงาหลังเขา สายตาแปรเปลี่ยนไม่หยุด
“เสด็จพี่…” ซ่าเอ่อร์มู่ถูกหูปู้กุยหิ้วอยู่ในมือ เดินตามหลินหว่านหรงจากไป เสียงตะโกนร้องเรียกอันวัยเยาว์นั้นช่างน่าอนาถยิ่งนัก ชาวทูเจวี๋ยยี่สิบกว่าคนซึ่งถูกจับตัวเป็นเชลยถูกมัดมือมัดขาและใช้เศษผ้าอุดปากเอาไว้กำลังดิ้นรนขัดขืนระหว่างที่ถูกผลักไสให้เดินไปข้างหน้า น้ำตาสองสายร่วงหล่นอย่างเงียบงัน อวี้เจียกัดฟันกรอดในบัดดล โบกดาบทอง ตวาดอย่างเร็วรี่ออกมาว่า “ผู้กล้าทั้งหลายฟังบัญชา ห้ามปล่อยชาวต้าหัวไปแม้แต่คนเดียว!”
ขวับๆ ชาวทูเจวี๋ยล้อมเข้ามา ธนูเปล่งประกายเย็นเยียบจำนวนนับไม่ถ้วนเล็งไปที่พวกเขาพร้อมกัน
“เกาทัณฑ์ทอง ลูกศรสีนิลอยู่ที่ใด?!” เสียงข่านใหญ่ดาบทองแจ่มชัดและเด็ดขาด ปราศจากความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น
สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้งดงามสองนางประคองเกาทัณฑ์สีทอง อวี้เจียถืออยู่ในมือ จากนั้นก็น้าวสายเบาๆ ภายในพระตำหนักใหญ่พลันบังเกิดเสียงดังหึ่งๆ ก้องอยู่ข้างใบหูไม่ขาดสาย สาวน้อยอีกสองนางสะพายกระบอกใส่ลูกธนูให้นางด้วยความเคารพนบนอบ มีลูกธนูสีนิลอันหนึกอึ้งจำนวนนับไม่ถ้วนอัดอยู่เต็มไปหมด! ลูกศรสีนิลนี้ทำมาจากทองคำสีนิลบริสุทธิ์ ดำสนิททั้งตัวลูกศร ล้ำค่าเหลือคณา แข็งแกร่งยิ่งกว่าทองคำ อานุภาพเกรียงไกร!
อวี้เจียสายตาเย็นเยียบ นำลูกศรขึ้นสาย มืองามยกขึ้นเล็กน้อย ธนูสีดำทะมึนเล็งไปที่เงาหลังซึ่งกำลังขยับโยกย้ายเล็กน้อยนั้น
หลินหว่านหรงคล้ายสัมผัสอะไรได้ ร่างกายหยุดชะงักเล็กน้อย ถึงกระนั้นกลับไม่ได้หันหน้ากลับมา “ข่านใหญ่ แม้จะไม่เห็นด้วยกับมุมมองบางอย่างของเจ้า แต่ในใจข้าเจ้าคือคู่ต่อสู้ที่ควรค่าแก่การนับถือมากที่สุด! แม้เจ้าจะไม่ได้งดงามเท่าสาวใช้ที่บ้านข้า ทว่าการยิงธนูของเจ้านั้นดีมาก วันนี้หากข้าตายด้วยเงื้อมมือเจ้า นั่นก็ถือว่าไม่ผิดแล้ว!”
ดวงตาอันแสนจะงดงามของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผุดไอน้ำบางๆ มืองามที่กุมคันศรสั่นระริกเล็กน้อย “เจ้าใบ้ สิ่งที่เจ้าเคยพูด ประโยคใดจริง ประโยคใดเท็จ ข้าไม่อาจแยกแยะได้ชัดเจน อวี้เจียขอถามประโยคหนึ่ง แม้แต่ตัวเจ้าเองก็เข้าในทุกสิ่งอย่างกระจ่างแจ้งด้วยหรือไม่?!”
เจ้าใบ้หันหลังโบกมือให้นางเล็กน้อย พูดเสียงดังออกมาว่า “หากแยกแยะจริงเท็จได้ชัดเจนขนาดนั้น เช่นนั้นก็ไม่ใช่ชีวิตมนุษย์ แต่เป็นการแสดงละครแล้ว…พี่เกา พวกเราไป!”
“ไป!” เกาฉิวคำรามก้องคราหนึ่ง ดาบใหญ่ในมือฟันออกไปอย่างสุดแรง ระหว่างที่บังเกิดเสียง เคร้ง” ดังลั่น ชนเผ่านอกด่านที่ขวางอยุ่เบื้องหน้าถอยหลังพร้อมกันหลายก้าว ทหารทุกคนต่างตามอยู่ข้างหลังเขา ค่อย ๆ คืบคลานออกจากประตูวังหลวง
ชนเผ่านอกด่านเดินช้าเร็วตามพวกเขา ล้อมเบียดชาวต้าหัวอยู่กึ่งกลาง ถึงกระนั้นกลับไม่กล้ากระทำอะไรผลีผลาม ข่านน้อยกับเหล่าราชนิกุลจำนวนมากอยู่ในมือพวกเขา อีกทั้งข่านใหญ่ก็ยังไม่ได้ทรงออกคำสั่ง แล้วผู้ใดจะกล้าลงมือโดยพลการ?
เหล่าเกาหน้าตาดุร้าย สาวเท้ายาวๆ ไปข้างหน้า ฟันลงไปดาบแล้วดาบเล่า รวดเร็วและรุนแรง ชนเผ่านอกด่านไม่กล้าปะทะซึ่งๆ หน้า ดังนั้นจึงทำได้แค่ถอยหลังไปทีละก้าวเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าเดินมาถึงประตูวังหลวงและกำลังก้าวข้ามธรณีประตูก็ได้ยินเสียงหวีดหวิวรุนแรงกรีดผ่านข้างใบหู ทำให้เส้นผมบางๆ หลายเส้นขยับปลิวขึ้น สายลมรุนแรงดังหึ่งๆ ผ่านพ้นไป ทำให้เจ็บใบหูราวกับใบมีด
เสียงดัง ‘ฉึก’ กระจ่างชัด โลหะและก้อนหินปะทะกัน สะเก็ดไฟกระจ่างวูบขึ้นมาทันที ลูกเกาทัณฑ์สีดำปลอดนั้นถากผ่านใบหน้าเขาอย่างแนบชิด จมลงไปในผนังศิลาอันหนาทึบของวังหลวงจนมิดดอก เสียงก้องหึ่งๆ ดังวนเวียนอยู่ข้างใบหู
หูปู้กุยอ้าปากกว้างด้วยความตกใจ คันศรกล้าแกร่งลูกเกาทัณฑ์คมกริบเยี่ยงนี้ บวกกับฝีมือการยิงธนูอันล้ำเลิศพิสดารของอวี้เจีย ใต้หล้านี้ยังจะมีผู้ใดต้านทานได้อีก!
“ความแม่นยำช่างแย่เสียจริง!” หลินหว่านหรงส่ายศีรษะอย่างจนใจ หัวเราะพลางเช็ดแก้มที่แสบร้อนนั้น จากนั้นก็สาวเท้ายาวๆ ก้าวออกจากประตูวัง
การย่างก้าวออกไปครานี้ ความรู้สึกที่ถูกเปลวเพลิงแผดเผาก็ปะทะหน้าเข้ามา แสงเพลิงรอบด้านยังไม่มอดดับ เสียงเพียะๆ ดังไม่ขาดสาย เมื่อทอดสายตามองสองข้างทาง เมื่อคืนยังสนุกสนานครึกครื้นอยู่เลย มาบัดนี้กลับกลายเป็นเถ้าถ่าน ซากปรักหักพังเต็มไปหมด ครึ่งเมืองเค่อจือเอ่อร์ถูกเพลิงใหญ่กลืนกิน
ทหารม้าทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนล้อมอยู่สองฟากฝั่งถนน ล้อมพวกเขาเอาไว้ ไอสังหารเดือดพล่าน ทว่ากลับปราศจากลูกธนูยิงออกมาแม้แต่ดอกเดียว เห็นชัดว่ายังไม่ได้รับบัญชาจากอวี้เจีย
ชาวต้าหัวค่อยๆ ดันไปที่ประตูเมือง ชาวทูเจวี๋ยถอยหลังอย่างเป็นระเบียบ คล้ายจงใจทิ้งทางเดินให้พวกเขาเป็นพิเศษ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน หรือว่าอวี้เจียจะปล่อยพวกเราไปทั้งอย่างนี้?” สวี่เจิ้นถือดาบด้วยสองมือ เหลียวซ้ายแลขวา กล่าวด้วยความระแวดระวัง
ชาวทูเจวี๋ยล้อมแต่ไม่โจมตี ไม่ลงดาบ ทั่วทั้งเค่อจือเอ่อร์ต่างเงียบสงัดไร้ซึ่งสรรพสำเนียง แต่ท่ามกลางความเงียบสงัดนี้กลับแฝงกลิ่นคาวเลือดจางๆ ความกดดันอันไร้รูปร่างกดทับจิตใจอย่างหนักอึ้ง ไม่ใช่แค่สวี่เจิ้นและหลี่อู่หลิง แม้แต่ผู้ที่คร่ำหวอดในสนามรบมานานเช่นหูปู้กุยกับเกาฉิวนี้ หน้าผากก็ยังมีเหงื่อซึมออกมาเป็นชั้นๆ
“ดูสิ นั่นคือเกี้ยวของเยวี่ยหยาเอ๋อร์!” หลี่อู่หลิงชี้พร้อมร้องออกมา
ท่ามกลางการคุ้มกันจากชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วน ม่านกระโจมสีเหลืองทองหลังหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนที่ตามอยู่ข้างหลังพวกเขาไม่เร็วไม่ช้า ผ้าม่านโปร่งพลิ้วไหวเบาๆ เงียบงันไร้ซึ่งสรรพสำเนียง มองไม่เห็นเงาของอวี้เจีย แต่กลับรู้สึกถึงลมหายใจอันสงบเยือกเย็นของนางได้ ข่านใหญ่ทูเจวี๋ยเงียบจนน่ากลัว ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางต้องการจะทำอะไร
ประตูเมืองปรักหักพังใกล้แค่ตรงหน้า ซากศพชนเผ่านอกด่านนอนเกลื่อนกลาด ระเกะระกะ ทหารต้าหัวที่ร่วงหล่นลงจากม้าหยุดหายใจไปตั้งแต่แรกแล้ว เปลวเพลิง คราบโลหิต ซากแขนขา ร่องรอยของศึกใหญ่เมื่อคืนปรากฏให้เห็นอยู่ในสายตาอย่างต่อเนื่อง
เขาเดินอยู่หน้าสุดเพียงลำพัง ทอดสายตามองใบหน้าอันอ่อนเยาว์ซึ่งเคยอยู่ร่วมกันมานานตรงหน้าทีละใบหน้า ทหารต้าหัวจำนวนมากแม้ตายแล้วก็ยังเบิกตาโพลง นอนตายตาไม่หลับ
ที่นี่ไม่ใช่ต้าหัว! วิญญาณผู้กล้าจำนวนนับไม่ถ้วนนอนหลับชั่วกาลนานอยู่บนดินแดนต่างบ้านต่างเมือง ไม่อาจหวนคืนสู่มาตุภูมิไปตลอดกาล
เขาเงียบงันไม่เอื้อนเอ่ยวาจา น้ำตานองทั้งสองแก้ม
“โจรน้อย ขอโทษด้วย…” มือน้อยอุ่นร้อนและเปียกชื้นข้างหนึ่งจับมือเขาแน่น รับรู้ความทุกข์และความโศกของเขาได้ราวกับมีการเต้นของหัวใจพร้อมเพรียงกัน นางเซียนหนิงยืนข้างกายเขาอย่างเงียบๆ ตบข้อมือเขาเบาๆ ความรักใคร่อย่างล้นเหลือภายในดวงตาประหนึ่งกำลังเอาใจใส่เด็กน้อยที่ไร้หนทางผู้หนึ่ง ผ้าโปร่งปิดบังใบหน้า มองไม่เห็นรูปโฉมอันงามพิลาสของนาง ถึงกระนั้นกลับไม่ได้ทำลายความงดงามของนางแม้แต่น้อย
“พี่สาว เป็นอะไรไป เหตุใดถึงต้องกล่าวขอโทษ” โจรน้อยตกใจทันที รีบเงยหน้าขึ้นมา ทว่ากลับมองเห็นความเหนื่อยล้ารางๆ ที่ผุดอยู่ภายในดวงตาของนางเซียน เปล่งประกายสุกสกาวท่ามกลางแสงอรุโณทัยที่ค่อยๆ โผล่พ้นขึ้นมา
ด้วยคนอย่างนางเซียนหนิง ฝึกฝนบำเพ็ญเพียรด้วยความลำบากมาทั้งชีวิต วรยุทธ์ล้ำเลิศ แล้วจะถูกสภาพอากาศทำให้เหน็ดเหนื่อยได้อย่างไร? หยาดเหงื่อและน้ำตานี้ กลับเผยความผิดปกติบางอย่างออกมา
หลินหว่านหรงตื่นตระหนก ดึงผ้าคลุมหน้าของนางออก กลับเห็นใบหน้าอันงามกระจ่างใสประดุจหยกของนางซีดเผือดอย่างน่าอนาถ การตื่นตระหนกครั้งนี้มิใช่ธรรมดา โจรน้อยตกใจจนกอดนางแน่น “พี่สาวเทพเซียน นี่ท่านเป็นอะไรไป? ไม่สบายตรงไหน ท่านอย่าแกล้งให้ข้าตกใจนะ!”
หนิงอวี่ซีทัดลูบไล้เส้นผมที่ยุ่งเหยิงของเขาเบาๆ ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ “ข้ารู้ว่าจิตใจเจ้ายากจะทนรับ ศึกเมื่อคืนข้าพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ชีวิตมากมายเช่นนี้ กลับยังไม่อาจหวนคืนกลับมาได้! ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ แม้จะใช้กระบี่สังหารศัตรูได้ แต่เรื่องศึกสงคราม กลับมิใช่ดูแลได้เพียงคนเดียว! เจ้าก็อย่าโทษตัวเองเลย!”
แม้นางเซียนหนิงจะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่ต่อให้มีวรยุทธร้ายกาจอีกสักเพียงใดก็ไม่อาจสู้กองทัพอันยิ่งใหญ่ได้ ท่ามกลางกองทัพจำนวนมหาศาล ความสามารถที่คนเพียงคนเดียวจะทำได้นั้นสุดท้ายแล้วก็มีอย่างจำกัด
เมื่อเห็นสายตาโทษตัวเองของนางเซียน หลินหว่านหรงก็เจ็บปวดใจ รีบจับมือนางแล้วพูดว่า “พี่สาว นี่จะโทษท่านได้อย่างไร ทหารยากจะเลี่ยงล้มตายบนสนามรบ การทำศึกก็เป็นเช่นนี้ รีบบอกข้ามา ท่านไม่สบายตรงไหน”
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” หนิงอวี่ซีตอบเบาๆ “หลายวันก่อนรีบใช้วิชากับอวี้เจีย เมื่อคืนยังฟันทำลายประตูเมืองอีก สิ้นเปลืองพลังไปบ้าง ดังนั้นจึงเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง พักสักวันหนึ่งก็หายแล้ว”
แม้นางจะพูดให้ดูไม่หนักหนา แต่หลินหว่านหรงก็เข้าใจทันที ลบล้างความทรงจำ ออกแรงทำลายประตูเมือง มีเรื่องใดบ้างที่ไม่น่าตื่นตะลึง? ไหนเลยจะแค่สิ้นเปลืองพลังงานไปบ้างแล้วจะจัดการได้เรียบร้อยอย่างเช่นนางเซียนว่าได้ แล้วบังเอิญว่าทั้งสองเรื่องก็เกิดไล่เลี่ยกันอีก บวกกับการทำศึกใหญ่ต่อเนื่องทั้งคืน ต่อให้นางเซียนจะมีวรยุทธสูงส่งอีกสักเพียงใดก็ทนไม่ไหวอยู่ดี
“พี่สาว ตอนนี้ห้ามท่านขยับแล้วนะ!” หลินหว่านหรงแค่นเสียงคราหนึ่ง พูดด้วยหน้าตาเคร่งขรึม เสียงดังขวับคราหนึ่ง พร้อมอุ้มนางขึ้นไปทางขวาง จากนั้นก็วางลงบนหลังม้า นางเซียนใบหน้าใบหูแดง ร้องด้วยความตกใจเสียงต่ำๆ “เจ้าทำอะไร รีบปล่อยข้าเร็ว คนอื่นเขาเห็นหมดแล้ว!”
“ใครอยากดูก็ดูไป!” เขากัดฟันกรอดพร้อมแค่นเสียงด้วยความหงุดหงิดโมโห พลิกตัวขึ้นม้า จุมพิตใบหน้านางคราหนึ่งพร้อมจับมือนาง ม้าสองตัวเดินเคียงคู่ เขาหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ท่านจงหลับตา ข้าไม่เรียกท่านก็ห้ามตื่น”
เจ้าคนบ้าอำนาจคนนี้นี่ นางเซียนหัวเราะพรวดออกมา เมื่อเห็นสายตานับไม่ถ้วนจากรอบด้านพุ่งเข้าหา นางก็รู้สึกเขินอายอยู่บ้าง รีบดึงผ้าคลุมหน้าให้แน่นพร้อมกล่าวตำหนิออกมาเบาๆ “โจรน้อย นี่เจ้ากำลังจะทำลายการบำเพ็ญเพียรของข้า”
“เช่นนั้นพี่สาวท่านมาทำลายการบำเพ็ญเพียรของข้าด้วยก็แล้วกัน ข้าไม่ถือสา!” โจรน้อยกล่าวพลางหัวเราะร่า
“เจ้ามีการบำเพ็ญเพียรอะไรให้ทำลายกัน” นางเซียนมองตำหนิเขาคราหนึ่ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่เช่นกัน ทันใดนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ “จิตใจข้าไม่มั่นคง ทำลายกฎเกณฑ์และหลักการไปมากมาย ทั้งยังเล่นลูกไม้จัดการกับอวี้เจียอีกด้วย จะได้รับการลงทัณฑ์ก็สมควรแล้ว”
หลินหว่านหรงปวดใจ หนังตาเต้นตุบๆ อยู่ตลอดเวลา เขารีบกอดนางเซียนแน่นพร้อมกล่าวอย่างมีโทสะ “พูดเหลวไหล ทุกอย่างนั่นเกิดจากข้าที่ทำชั่วช้า สวรรค์จะลงทัณฑ์ก็ลงทัณฑ์ข้า ไม่เกี่ยวกับท่าน!”
“ลงทัณฑ์เจ้า? หรือว่านั่นยังไม่เท่ากับลงทัณฑ์ข้าอีกหรือ?!” นางเซียนกล่าวเสียงแผ่วเบาเลื่อนลอย
บนเกี้ยวสีเหลืองทอง ผ้าโปร่งขยับวูบไหวเบาๆ ข่านดาบทองผู้งดงามจ้องใบหน้านางเซียนเขม็ง สายตาคมกริบ ลูกศรสีนิลสั่นไหวเล็กน้อย
กำลังจะข้ามผ่านประตูเมืองไปแล้ว แต่ชนเผ่านอกด่านกลับยังเป็นเช่นเดิม ไม่เพิ่มการขัดขวางแม้แต่น้อย ขณะหลินหว่านหรงกำลังประหลาดใจอยู่นั้น หนิงอวี่ซีก็เงยหน้า “โจรน้อย มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ลืมบอกเจ้าไป หนทางข้างหน้าเกรงว่าคงไปไม่ได้แล้ว!”
“เพราะอะไร?!” โจรน้อยถามด้วยความตกใจ
นางเซียนหนิงถอนหายใจเล็กน้อย “เจ้าลองออกไปดูแล้วก็จะรู้” เขารีบควบม้าข้ามประตูเมือง กวาดสายตาเล็กน้อย จากนั้นก็สูดลมหายใจหนาวเหน็บเข้าไปทันที
ชนเผ่านอกด่าน เต็มไปหมดชนเผ่านอกด่าน!
ทหารม้าเกราะหนักทูเจวี๋ยที่ทิ้งไว้เฝ้าเมือง ทหารม้ากองกำลังรักษาเมืองเค่อจือเอ่อร์ ยังมีชายฉกรรจ์ทูเจวี๋ยผู้ดุร้ายจำนวนนับไม่ถ้วน มีไม่ต่ำกว่าสามหมื่นคน บวกกับชนเผ่านอกด่านที่ตามหลังอวี้เจียอีก เค่อจือเอ่อร์มีชนเผ่านอกด่านจำนวนสี่ถึงห้าหมื่นคนที่กำลังรอคอยโอบล้อมพวกเขาอยู่ หัวม้าดำทะมึนเป็นแถบนั้นราวกับยุงที่รวมตัวกันอย่างแน่นขนัด กำลังส่ายไปมาเล็กน้อย ดาบโค้งที่อยู่ในมือชนเผ่านอกด่านเปล่งประกายวิบวับ ลูกธนูนับพันนับหมื่นดอกเล็งมาที่พวกเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน
หลินหว่านหรงเข้าใจทันที ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายเช่นนี้ การที่นางเซียนปรากฏตัวอยู่ข้างกายตน นั่นคือต้องการร่วมเป็นร่วมตายกับข้านั่นเอง
เขาตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่สนใจว่าจะมีคนจำนวนมากำลังมองดูอยู่ ประชิดศีรษะเข้าไปใกล้ จากนั้นก็บรรจงจูบลงบนใบหน้าของนางเซียนเบาๆ คราหนึ่งโดยมีผ้าโปร่งขวางกั้น
“เจ้าทำอะไรน่ะ!” หนิงอวี่ซีร้องออกมาเบาๆ ใบหน้าดั่งแต่งแต้มชาด
มิน่าอวี้เจียถึงไม่ร้อนใจ เดิมทีนางก็ต้องการไล่พวกเขาออกนอกเมืองอยู่แล้ว ที่นี่ดีกว่าวังหลวงอันคับแคบมากนัก ชาวทูเจวี๋ยใช้ข้อได้เปรียบด้านทหารม้าของพวกมันได้อย่างเต็มที่ คนห้าหมื่นคนบุกเข้ามาพร้อมกัน พลานุภาพนั้นลั่นฟ้าสะเทือนดิน เพียงพอที่จะบดขยี้ทหารม้าต้าหัวผู้อ่อนแอให้เป็นขนมเปี๊ยะบางๆ แผ่นหนึ่ง
เขากระโดดลงจากหลังม้า หัวเราะร่วนพร้อมพูดว่า “คนมากจังเลยนะ?! คราวนี้จะได้ฆ่าอย่างสนุกสนาน! ปริมาณมากขนาดนี้ วันนี้ต่อให้ข้าตายไป ไม่ใช่แค่ต้าหัวที่จะจดจำข้า แม้แต่ประวัติศาสตร์ทูเจวี๋ยก็ต้องบันทึกข้าไว้อย่างยิ่งใหญ่เช่นกัน”
หูปู้กุยหัวเราะ “ข้ากลับไม่เข้าใจ หรือว่าอวี้เจียจะเทหมดหน้าตัก?! แม้แต่ชีวิตของข่านน้อยนางก็ไม่ต้องการแล้ว?!”
“ข้าไม่รู้” หลินหว่านหรงส่ายศีรษะเล็กน้อย “แม่หนูคนนี้เ**้ยมหาญกว่าที่ข้าคิดไว้เป็นร้อยเท่า ฝีมือของนาง แต่ละครั้งต่างสร้างความประหลาดใจให้พวกเรา! บางทีนี่อาจเป็นศึกครั้งสุดท้ายของพวกเราแล้วก็ได้”
ศึกครั้งสุดท้าย?! พวกของเกาฉิวจ้องมองแสงอรุโณทัยที่เพิ่งโผล่พ้นขึ้นมา แสงที่เปล่งประกายเจิดจ้าไปทั่วกลบความมืดมนอันหนาทึบจนหมดสิ้น