ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 610 สวรรค์ไม่ทำลายผู้มีความรัก
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” เฉี่ยวเฉี่ยวน้ำตานอง โถมเข้าสู่อ้อมอกเขาด้วยความยินดีเป็นบ้าเป็นหลังราวกับนกกระจอกตัวหนึ่ง นางกอดเขาแน่น หลั่งน้ำตาโดยไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
“ที่รักตัวน้อย คิดถึงข้าหรือเปล่า” เขาหัวเราะร่วนตามความเคยชิน ขณะที่กำลังจะกอดสาวน้อยผู้นี้อย่างแรง กลับรู้สึกว่าลำคอแห้งผากเหลือล้น ไม่เพียงพูดไม่ออก แม้แต่มือของตนก็มองไม่เห็น
การตื่นตะลึงครั้งนี้รุนแรงยิ่งนัก “อ๊า! อ๊า!” เขาเต้นแร้งเต้นกา พยายามดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตาย
“หลินหลาง” สตรีภายในอ้อมอกเงยหน้าขึ้นมา ทว่ากลับกลายเป็นดวงหน้าอันงามพิลาสของชิงเสวียน คุณหนูเซียวอุ้มห่อผ้าสีแดงสดไว้ในอ้อมอก โยกไปมาเบาๆ ใบหน้าเปล่งประกายรักใคร่แห่งมารดา กล่าวระคนหัวเราะอย่างอ่อนโยนพร้อมเอ่ยว่า “เจ้าดูสิ นี่คือลูกของเรา เขากำลังหัวเราะให้เจ้าอยู่เลยนะ เจ้าคนเลวคนนี้ หน้าตาเหมือนเจ้าทุกกระเบียดนิ้ว รีบดูเร็วสิ เขากำลังหัวเราะอยู่จริงๆ นะ!”
ลูกของข้า? เขาเอื้อมมือออกไปด้วยความยินดีเป็นล้นพ้น กอดเลือดเนื้อเชื้อไขของตนแน่น ดวงหน้าน้อยๆ สีชมพูภายในผ้าห่อแดงชุ่มชื่นน่ารักน่าชัง ดวงตา จมูก ปาก ต่างเหมือนเคาะออกมาจากเขา
ลูก ข้ามีลูกแล้ว! เขาก้มหน้าด้วยความดีใจ ขณะที่กำลังจะจุมพิตใบหน้าลูกชาย จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตวาด ด้วยความชอกช้ำอย่างรวดเร็ว “หลินหลาง ระวัง!”
ลูกธนูสีนิลพร้อมเสียงลมหวีดหวิวยิงใส่หน้าอกเขาราวกับสายฟ้าแลบ ทำให้ผิวหนังเขาปริแยกภายในชั่วพริบตา พุ่งเข้าสู่หัวใจเขา
มัจจุราชจูงมือเขา เมื่อเห็นว่าจะพาตัวเขาไปแล้ว เด็กที่อยู่ในผ้าพลันลืมตาขึ้นมา อ้ามือน้อยนุ่มนิ่มปัดป่ายไปมา ดวงหน้าเล็กๆ นั้นคลี่ยิ้มราวบุปผาแรกแย้ม “พ่อจ๋า!”
ดั่งเสียงร้องแรกของนกน้อย!
ร่างกายเขาสะท้านอย่างรุนแรง ราวกับถูกไฟฟ้าช็อต น้ำตาร้อนคลอเบ้าในบัดดล “เรามีลูกชายแล้ว เรามีลูกชายแล้ว เราจะตายไม่ได้!”
“อ๊า!” เขาส่งเสียงร้องน้ำตาโลหิตไหลรินราวกับเพิ่งตื่นจากห้วงแห่งความฝัน ขยับมือไม้สะเปะสะปะราวกับเสียสติ ราวกับกำลังแลกชีวิตกับสวรรค์ ลืมตาขึ้นมาทันที
ชิงเสวียนหายไปแล้ว! ลูกหายไปแล้ว!
ข้างใบหูได้ยินเสียงสายน้ำไหลดังจ๊อกๆ แสงไฟหรุบหรู่ขยับวูบวาบอยู่ตรงหน้าแผดเผาเขาอยู่ แม้จะอยู่ใกล้เพียงนี้ แต่ร่างกายเขากลับเย็นเฉียบไปหมด ปราศจากเรี่ยวแรงทั่วทั้งสรรพางค์กาย ลำคอแห้งผากจนแทบจะปริแตก มีเพียงความเจ็บปวดรุนแรงที่แทบจะแทงลึกจนถึงกระดูกซึ่งส่งผ่านมาจากหน้าอกเท่านั้นที่ชัดเจนและจริงแท้ถึงเพียงนี้
เขาหอบหายใจอย่างอ่อนระโหยโรยแรง ท่ามกลางสติอันรางเลือน เขานึกถึงศึกครั้งสุดท้ายในวันนั้นขึ้นมาได้ การเข่นฆ่าสังหารไม่รู้จักจบสิ้น โลหิตสดๆ นองเต็มไปหมด ลูกธนูสีนิลปลิดชีวิต หิมะขนาดเท่าขนห่านลอยล่องเต็มท้องฟ้า ทุกสิ่งทุกอย่างต่างผุดอยู่เบื้องหน้า
เสียงจักจั่นร้องเบาๆ ข้างใบหู ข้างกายมีกลิ่นหอมจางๆ ลอยเข้ามา บุปผาน้อยไร้นามแซมอยู่ท่ามกลางพงหญ้าเต็มไปหมด กำลังประชันความงดงาม เบ่งบานสะพรั่ง ณ สถานที่ไม่ไกลนักจุดกองไฟสีสันสดใสอยู่กองหนึ่ง แดงเฉิดฉันงดงาม ประกายไฟส่งเสียงเพียะๆ ไม่หยุด
เขาพ่นลมหายใจออกมายาวๆ คิดจะขยับตัวเล็กน้อย ทว่ากลับรู้สึกเหมือนร่างกายปริแตกไปทั้งร่าง ไม่มีส่วนใดที่ไม่เจ็บปวด นอกจากนิ้วมือที่ขยับได้ แม้แต่จะเอนคอก็ยังเป็นเรื่องฝันเฟื่อง
คราวนี้ถือว่าจบเห่โดยสิ้นเชิง ใจเขาอยากจะร้องไห้ แต่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าน่าขำอยู่บ้าง เอาชีวิตรอดกลับมาจากเงื้อมมืออวี้เจียได้ แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่ไม่ให้ดีใจกันอีกเล่า?
ใต้ร่างปูหญ้าเขียวหนาเตอะ บนร่างคลุมด้วยอาภรณ์หอมกรุ่น เขานอนอยู่ในพงบุปผาป่าอย่างสงบนิ่ง กลิ่นหอมจรุงไปทั่วพื้นที่ ธารน้ำใสสะอาดไหลผ่านข้างกายเขา ข้างใบหูมีเสียงตีผิวน้ำเบาๆ แว่วเข้ามา
สตรีซึ่งสวมชุดของชนเผ่านอกด่านที่ทำขึ้นมาอย่างหยาบๆ นางหนึ่งเกล้าผมขึ้นไปอย่างลวกๆ พับชายแขนเสื้อเล็กน้อย เท้าน้อยเปลือยเปล่าที่ขาวกระจ่างใสยืนอยู่ในลำธารใส มือถืออาภรณ์สองชิ้นกำลังตีเบาๆ สะเก็ดน้ำที่แตกกระเซ็นตกกระทบใบหน้าและเรือนผมยาวของนาง กระจ่างใสแวววาวท่ามกลางแสงจากกองไฟอันหรุบหรู่
ปราศจากชุดสีขาวที่นางชื่นชอบมากที่สุด แต่เรือนร่างอันอรชรอวบอิ่มนั้นกลับยังดูคุ้นตาเยี่ยงนี้ กระทั่งยังเพิ่มความรู้สึกใกล้ชิดเพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่งอีกด้วย นางกำลังซักชุดอยู่ ราวกับเป็นสตรีที่แสนจะธรรมดาที่สุดคนหนึ่ง อ่อนโยนจิตใจดี สีหน้าตั้งอกตั้งใจก็งดงามถึงเพียงนี้
หลินหว่านหรงลำคอแห้งผาก ใช้เรี่ยวแรงที่มีอยู่ทั้งหมดเปล่งเสียงร้องเรียกออกมาเบาๆ “พี่สาวเทพเซียน…”
เสียงดังหึ่งๆ ราวกับเสียงยุง แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังได้ยินไม่ชัด สตรีที่กำลังซักผ้ากลับเหมือนถูกจี้สกัดจุด ร่างกายหยุดชะงัก ชุดที่ถืออยู่ในมือร่วงลงน้ำ นางหมุนกายกลับมาด้วยร่างกายที่สั่นระริก สิ่งที่ต้อนรับนางก็คือดวงตาอันเปล่งประกายดั่งดาวประกายพรึกของโจรน้อยคู่นั้น
ริมฝีปากสีแดงสดขยับขมุบขมิบเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ย่ำน้ำเข้ามาหาราวกับเสียสติ สองเท้าที่ขาวดั่งหยกเหยียบย่ำน้ำเสียงดังซ่าๆ พุ่งมาที่ริมตลิ่งราวกันกระแสน้ำอันไหลเชี่ยว
“โจรน้อย!” เมื่อวิ่งมาถึงจุดที่ห่างจากเขาไม่ไกล หนิงอวี่ซีพลันรั้งฝีเท้า เหม่อมองเขาอย่างเลื่อนลอย คิดจะยื่นมือน้อยออกมา ทว่ากลับเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเองอีก นางนิ่งเหม่อลอยอยู่นาน จากนั้นก็รีบปีดปากทันที ทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ น้ำตาดั่งสายฝน
ถอดอาภรณ์สีขาวออกไป สวมชุดกระโปรงผ้าปักปิ่นธรรมดา เกล้ามวยผมสีดำขลับขึ้นไปอย่างลวกๆ หลุดลุ่ยยุ่งเหยิงอยู่ข้างใบหู ดวงตาดั่งวารี คิ้วงามชี้เล็กน้อย สองเท้าที่เปลือยเปล่ากระจ่างใสดุจหยก ท่ามกลางอาการเหนื่อยล้าและเกียจคร้านกลับมิอาจปกปิดความงามยวนเย้าได้ นางเซียนที่เป็นเช่นนี้ยังไม่เคยเห็นมาก่อน หลินหว่านหรงมองอย่างเหม่อลอย ผ่านไปนานถึงเอื้อนเอ่ยออกมาว่า “พี่สาวเทพเซียน นางเซียน ท่านกลับมาเป็นปุถุชนได้ด้วยหรือ?!”
หนิงอวี่ซีเดินไปข้างกายเขาอย่างแช่มช้า จับมือที่สั่นระริกของเขา หลั่งน้ำออกมาด้วยความอ่อนโยน “เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้า ข้าไม่เคยเป็นนางเซียน ตอนนี้ข้าอยากเป็นแค่สตรีผู้หนึ่ง เป็นสตรีที่แท้จริง ซักผ้าทำอาหาร ให้กำเนิดบุตรธิดาแก่เจ้า สร้างทายาทสืบสกุลต่อไป”
หลินหว่านหรงกะพริบตาปริบๆ ดวงตาเปล่งประกาย “พี่สาว ท่านต้องอดทนสักหน่อยถึงจะไหว ตอนที่ซักผ้าทำกับข้าวจะขอให้พี่สาวทำหน้าที่นางเซียนควบด้วยได้หรือไม่ ท่านก็รู้ว่าว่าข้าชอบดูท่านเหาะอยู่บนฟ้า จากนั้นข้าก็ไล่ตามอยู่บนพื้น ตอนที่ล้มลงพื้นแบบนั้นถึงจะทำให้ตื่นเต้นและเร้าใจ”
“เจ้าคนชั่วร้ายนี่!” นางเซียนหนิงใบหน้าใบหูแดง ใคร่หยิกเอวเขาอย่างแรงคราหนึ่ง เมื่อยื่นมือออกไปการเคลื่อนไหวกลับอ่อนโยนเหลือล้น หัวเราะทั้งน้ำตา
การมีชีวิตช่างดีเสียจริง แหย่พี่สาวนางเซียนได้ด้วย เขาฉีกยิ้ม ถึงกระนั้นกลับกระทบกระเทือนถึงบาดแผล ไออย่างรุนแรงออกมา ช่วงที่รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็รู้สึกเพียงว่าอวัยวะภายในเคลื่อนตัว โลหิตไหลพร่างพรูออกมาจากปาก
นางเซียนส่ายหน้าอย่างอ่อนโยน ยกแขนเสื้อขึ้นแล้วเช็ดคราบเลือดสีแดงสดนั้นเบาๆ จากนั้นก็จับมือเขาแน่นพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนออกมา “เจ็บหรือ”
“ไม่ ไม่เจ็บ” โจรน้อยหอบหายใจ
“แต่ข้าเจ็บมาก!” นางเซียนนำใบหน้าแนบชิดหน้าอกเขา น้ำตาไหลริน
“ไม่เป็นไรๆ อีกไม่นานก็หายแล้ว” หลินหว่านหรงกุมมือเย็นเฉียบของนางแน่น หอบหายใจหยาบๆ หนักๆ ออกมา
หนิงอวี่ซีส่งเสียงอืมเบาๆ พร้อมเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องดีขึ้น นั่นเพราะเจ้ายังติดค้างของข้าอย่างหนึ่ง”
“รุ้แล้ว!” โจรน้อยกล่าวพลางหัวเราะร่วน “พี่สาว สักเสี้ยวเวลาก็ไม่ลืมเลือน”
หนิงอวี่ซีลูบไล้เส้นผมเขาอย่างแช่มช้าพลางส่ายหน้าเบาๆ “สักเสี้ยวเวลาก็ไม่ลืมเลือน? เจ้าหลอกข้าอีกแล้ว! วันนั้นตอนขวางอยู่ข้างหน้าข้า เจ้าจำได้หรือไม่? เพราะเหตุใดถึงต้องทิ้งความทุกข์อันยิ่งใหญ่ที่สุดให้ข้าด้วย! เหตุใดเจ้าถึงต้องทำกับข้าเช่นนี้ เจ้าคนใจอำมหิต ข้าแค้นเจ้า ข้าจะแค้นเจ้าทุกภพทุกชาติ!”
นางฟุบอยู่บนหน้าอกโจรน้อย ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ไหล่สะท้านอย่างรุนแรง สะอึกสะอื้นจนแทบขาดอากาศหายใจ ความรู้สึกจิตใจแตกสลายในช่วงหลายวันนี้ ในที่สุดก็ได้ระบายออกมาราวกับภูเขาถล่มทลาย
ร้องไปเถอะๆ บนโลกนี้ยังมีเรื่องที่สาแก่ใจมากกว่าการร้องไห้อีกหรือ? ท่ามกลางความเงียบงัน เขาอดสะอื้นไม่ได้เช่นกัน
ปล่อยให้น้ำตาไหลพราก ทั้งสองกอดกันอย่างสงบนิ่ง นอนหงายอยู่บนดงบุปผาอันแสนจะงดงามแห่งนี้ ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด จิตใจของพวกเขาก็ทอดยาวไกลเพียงนั้น ชีวิตคนเราจะมีสักกี่ครั้งที่มีช่วงเวลาอันสวยงามเยี่ยงนี้?
“พี่สาว เหตุใดข้าถึงไม่ตาย?!” เขาเอ่ยปากถามแผ่วเบา
นางเซียนหนิงน้ำตาพร่างพรู พูดเสียงดังออกมาว่า “ห้ามเจ้าพูดเหลวไหล! โจรน้อยของข้าไม่มีวันตายตลอดกาล!”
ไม่มีวันตายตลอดกาล? เห็นข้าเป็นมนุษย์อมตะหรือ เขาหัวเราะเงียบๆ เอ่ยด้วยเสียงอันอ่อนโยน “อืม ข้ากับพี่สาวเทพเซียนอยู่ด้วยกันตลอดกาล พวกเราไม่มีวันตายตลอดกาล เพียงแต่ ข้าสงสัยมากจริงๆ ฝีมือการยิงธนูของอวี้เจียร้ายกาจมากขนาดนั้นก็ยังยิงข้าไม่ตายอีกหรือ ถ้าอย่างนั้นวันหลังข้าร้ายกาจแล้ว”
หนิงอวี่ซีมองเขาด้วยความหงุดหงิดโมโห เมื่อเห็นสายตามุ่งหวังของเขาใจก็อ่อนลงทันที
“ลองดูสิ่งนี้” นางเซียนนำเกราะอ่อนที่ทำมาจากผ้าไหมออกมาตัวหนึ่ง จากนั้นจึงส่งไปเบื้องหน้าเขาอย่างแช่มช้า ชุดเกราะอ่อนผ้าไหมตัวนี้ชุ่มโชกด้วยโลหิตตั้งแต่แรก บริเวณกึ่งกลางตำแหน่งหัวใจขาดเป็นรูขนาดใหญ่ ผ้าไหมที่ห่อหุ้มเหลือเพียงชั้นบางๆ ถูกฉีกกระชากจนแปรสภาพ หลุดลุ่ยออกมาเป็นเส้นๆ แสนยานุภาพของธนูดอกนั้นของอวี้เจียมีมากมายเหลือเกิน แม้ผ้าไหมจะใช้พลังดีดสะท้อนสลายพลังไปจำนวนหนึ่งแล้วก็ตาม ถึงกระนั้นก็ยังจมลึกลงไปที่หน้าอกเขาตามลูกธนูสีนิล คราบเลือดแห้งกรังที่อยู่บนนั้นใช้เป็นหลักฐานได้
หลินหว่านหรงนิ่งงันอยู่นาน จากนั้นกะระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นทันที ขอบคุณท่านพ่อตาฮ่องเต้ที่ให้เกราะอ่อนชั้นดีกับข้าเช่นนี้ ข้ากลับบ้านไปแล้วต้องจุดธูปสักการะท่านสักหน่อยแล้ว
เกราะไหมตัวนี้ฮ่องเต้ทรงสั่งให้เกาฉิวนำมาส่งให้เขาด้วยตนเองตอนที่อยู่เมืองหลวงวันนั้น ฟังเกาฉิวกล่าวชมเชยเสียเลิศเลอ โม้เจ้าของสิ่งนี้จนเหมือนเป็นเทพเซียน เขาไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย สวมอยู่บนตัวก็ไม่เคยสนใจมาก่อน ตอนที่หลี่อู่หลิงได้รับบาดเจ็บ ข้ายังมอบเกราะอ่อนนี้ให้เสี่ยวหลี่จื่ออีกด้วย เพียงแต่ครั้งนี้เข้าร่วมการแข่งขันชิงแพะ เพื่อความปลอดภัย พวกของหูปู้กุยจึงบังคับให้เขาสวมอีก คิดไม่ถึงว่าช่วงเวลาสำคัญกลับเป็นมันที่ช่วยชีวิตเอาไว้
ยังเป็นนายผู้เฒ่าที่มีสายตายาวไกล! เขาซาบซึ้งน้ำหูน้ำตาไหล อยากจะตะเกียกตะกายขึ้นมาตอนนี้แล้วโค้งคำนับท่านพ่อตาให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
นางเซียนถอนหายใจ พร้อมเอ่ยออกมาเบาๆ “โจรน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราหนีรอดจากเงื้อมมืออวี้เจียได้อย่างไร”
“รู้” เขาผงกศีรษะเล็กน้อย ถอนหายใจอย่างเงียบงัน “ในสายตานางข้าเป็นคนที่ตายไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย! นางไม่มีทางลงมือกับข้าที่ตายไปแล้ว”
คำพูดประโยคนี้ผสมไปด้วยความรู้สึกหลากหลายสารพันจริงๆ ทำให้คนทอดถอนใจไม่หยุด
“อวี้เจียผู้นี้ แม้จะเป็นสตรีทูเจวี๋ย แต่กลับเป็นไข่มุกแห่งทุ่งหญ้า สติปัญญาและแผนการ กำลังรบ ฝีมือ ไม่มีสิ่งใดที่ไม่อยู่ในขั้นสุดยอด ถือเป็นยอดคนบนโลกนี้ก็ว่าได้ เพียงแต่น่าเสียดายที่นางเป็นสตรี ชีวิตกำหนดไส้แล้วว่าต้องด้อยลงมาขั้นหนึ่ง และนี่ก็คือโชคชะตาของพวกเรา”
นางเซียนหนิงมองเขาอย่างเลื่อนลอยเงียบงัน คล้ายมีถ้อยคำมากมายที่ต้องการพูดกับเขา
หลินหว่านหรงเงียบงันอยู่นาน จากนั้นก็พ่นลมหายใจออกมายาวๆ โดยพลัน เอ่ยเบาๆ ว่า “พี่สาวนางเซียน มีคำถามหนึ่ง ที่จริงแล้วข้าอยากถามท่านมาตลอด เห็นชัดว่าท่านลบความทรงจำของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ไปแล้ว แล้วทำไมนางถึงยังจำข้าได้อีก?!”
หนิงอวี่ซียิ้มขื่น “การลืมเลือนไหนเลยจะง่ายดายเยี่ยงนั้น? โจรน้อย เจ้าดู นี่คืออะไร?!”
นางควักหนังแพะที่หลุดร่อนแห้งกรังออกมาจากอกหลายแผ่น จากนั้นก็ส่งไปเบื้องหน้าเขาอย่างแช่มช้า
ใต้แสงไฟอันหรุบหรู่ บนหนังแพะเขียนตัวอักษรขนาดเล็กจนแน่นขนัด คล้ายเขียนโดยใช้ของเหลวจากหญ้าสมุนไพรบางอย่าง หวัดสะเปะสะปะทว่างดงาม เขาเบิกตาโพลง ทว่ากลับอ่านไม่ออกสักคำเดียว ดังนั้นจึงพูดอย่างอับจนปัญญาออกมาว่า “พี่สาว เหตุใดท่านถึงเขียนด้วยภาษาทูเจวี๋ย ข้าอ่านไม่ออกนะ”
“โจรน้อยหน้าโง่ นี่ข้าเขียนที่ไหนกัน?” นางเซียนส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ “นี่เป็นสิ่งที่เยวี่ยหยาเอ๋อร์เชลยศึกผู้งดงามของเจ้าแอบจดบันทึกไว้ก่อนที่ข้าจะใช้วิชากับนาง”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์เขียน? นางเขียนอะไร?
“บนหนังแพะแต่ละผืนต่างเขียนสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเจ้า ทุ่งหญ้า ทะเลทราย ภูเขาหิมะ คำพูดที่เจ้าเคยพูดกับนาง เรื่องที่เคยทำกับนาง ประสบการณ์ในการร่วมเป็นร่วมตายทุกอย่าง นางบันทึกไว้หมด รวมเป็นหนังแพะสี่ผืน” นางเซียน ส่ายหน้าเบาๆ “ความฉลาดของสตรีผู้นี้ถือว่าหาได้ยากบนโลกนี้แล้วจริงๆ”
“นางเขียนเรื่องพวกนี้ทำไมกัน?!” หลินหว่านหรงเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ
“เพราะนางรู้ว่าเจ้าจะทำอะไรกับนาง!” หนิงอวี่ซีถอนหายใจยาวคราหนึ่ง “หนังแพะสี่แผ่น แบ่งไปซ่อนตามเส้นผม หน้าอก ฝักดาบ ส้นรองเท้า ทุกประโยคในหนังแพะนี้ต่างมีชื่อของคนผู้นั้น ขอเพียงนางหาพบแม้แต่แผ่นเดียว เห็นเพียงแวบเดียว นางก็ไม่มีวันลืมเลือนคนใจไม้ไส้ระกำคนนั้นอีกตลอดกาล!”
หลินหว่านหรงกำหมัดแน่น ขบฟันกรอด ไม่เปล่งวาจา
“โจรน้อย ตอนที่ข้าใช้วิชากับอวี้เจีย มักจะ มักจะยั้งเอาไว้เล็กน้อย ข้าไม่อาจลงมือ” นางเซียนส่ายหน้า หลั่งน้ำตาอย่างเงียบงัน “สตรีเช่นพวกเรา เมื่อมายังโลกนี้แล้วจะได้พบผู้ที่ทุ่มเทจิตใจและความรักให้ได้เป็นเรื่องยากเย็นมากเพียงใด! บุพเพสันนิวาสที่ร้อยปีกว่าจะได้มา แล้วจะลบล้างอย่างง่ายดายไปทั้งอย่างนี้ได้อย่างไรกัน? ดังนั้นข้าจึงอยากให้โอกาสนางสักและให้โอกาสเจ้าสักครั้ง หากนางจำเจ้าได้ เช่นนั้นก็ถือว่าสวรรค์ไม่ทำลายผู้มีความรัก!”
โจรน้อยเงียบงันไม่เอ่ยวาจา ใบหน้าขาวซีดไปหมด
“ข้าดีใจมากที่ข้าทำเช่นนี้” นางเซียนหนิงเอื้อนเอ่ยเบาๆ “สวรรค์ยุติธรรม ข้าทิ้งความหวังให้อวี้เจีย สวรรค์ถึงคืนเจ้ามาให้ข้า!”
เขาส่ายหน้าอย่างหมดแรง น้ำตากระจ่างใส “พี่สาว ข้าเหนื่อยมาก ข้าอยากกลับบ้าน!”