ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 611 ทหารหนีทัพ
อากาศร้อนระอุ คลื่นความร้อนปะทะใบหน้า เหมือนได้กลิ่นไหม้ของตะวันตกดิน ผืนทรายนอกด่านลอยฟุ้งอยู่เต็มท้องฟ้า เป็นสีแดงก่ำไปทั้งแถบ ได้ยินเสียงเพียะๆ เบาๆ คล้ายกำลังเผาอะไรบางอย่าง
ประตูเมืองเมืองซิงชิ่งกึ่งเปิดกึ่งปิด มีคนเดินเข้าออกอยู่ตลอดเวลา เพิ่มความหนาวเย็นให้เมืองชายแดนแห่งนี้หลายส่วน ทหารต้าหัวที่เฝ้าประตูเมืองสวมชุดเกราะ แต่ละคนล้วนเหงื่อท่วมตัว ถึงกระนั้นกลับไม่มีผู้ใดกล้าถอดชุดเกราะออกไป
“แม้หนึ่งจอกร่ำไม่หมด ทว่าความคิดถึงมากเพียงไหน จิตวิญญาณแห่งกวนซานหลับฝันอย่างยาวนาน ทว่าข่าวคราวกลับไม่มี
มุ่งหวังยามเมามาย ได้รักใคร่ยามหลับฝัน จอนผมล้วนขาวโพลน ทำได้เพียงคำนึงหา
กระตุ้นห้วงแห่งรัก ฝืนสะกดความคิดถึง สุริยันจันทราเคลื่อนคล้อย
ยามใดจะควบอาชาหวนคืน ยืนพิงรั้วคอยต้อนรับแย้มยิ้มพราย ชมข้าสวมอาภรณ์แดง เป็นนิรันดร์เคียงคู่ฟ้า!”
เงาร่างอันอรชรอ้อนแอ้นน่าลุ่มหลงร่างหนึ่งยืนอยู่บนกำแพงเมือง ทอดสายตามองดวงตะวันสีแดงสดที่อยู่ไกลๆ ปากพร่ำรำพันกับตนเอง แสงอาทิตย์ตกดินตกกระทบใบหน้านาง น้ำตาสองสายกระจ่างใสดั่งแก้วผลึก
“ท่านน้าสวี!”
มีเสียงเรียกขานมาจากทางด้านหลัง สตรีนางนั้นรีบเช็ดหางตาพร้อมหมุนกายกลับมา กล่าวเบาๆ ว่า “อู่หลิง เจ้ามาได้อย่างไร?!”
“ท่านน้าสวี ท่านว่าพี่หลินเขาจะกลับมาหรือไม่ขอรับ?!” เสี่ยวหลี่จื่อกล่าวสะอื้น “นี่มันก็หนึ่งเดือนกว่าแล้ว…”
นับตั้งแต่กลับมาจากทุ่งหญ้าคราวนี้ หลี่อู่หลิงตากแดดจนผิวคล้ำไปไม่น้อย อีกทั้งยังสูงขึ้นมาก ปราศจากหนุ่มน้อยที่ใบหน้าเยาว์วัยไร้เดียงสาคนนั้นอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นนายทหารอย่างแท้จริงผู้หนึ่งแล้ว
สวีจื่อฉิงหน้าขาวซีด “ไม่มีทาง เขาต้องกลับมาแน่นอน”
หลี่อู่หลิงก้มหน้าด้วยความหม่นหมอง “ท่านน้า ท่านไม่ได้เห็นธนูดอกนั้นของข่านใหญ่ทูเจวี๋ย สามดอกต่อเนื่อง พลานุภาพมหาศาล ต่อให้เทพเซียนก็ไม่อาจต้านทานได้”
เทพเซียนก็ไม่อาจต้านทานได้? คุณหนูสวีน้ำตารื้น ส่ายหน้าด้วยความหนักแน่น “เทพเซียนไหนเลยจะไล่ตามเขาทัน? เขาเป็นคนที่เลวที่สุดบนโลกนี้ สวรรค์ไม่กล้ารับเขาไปหรอก”
เสี่ยวหลี่จื่อผงกศีรษะ มองไปเบื้องหน้าอย่างเต็มไปด้วยความหวัง นอกด่านพายุทะเลทรายโถมกระหน่ำ หมนุวนเป็นวง กลบดวงอาทิตย์อัสดงสีแดงสดดวงนั้นไปครึ่งหนึ่ง
“อู่หลิง เจ้ามาหาข้ามีธุระอันใดหรือ?!” คุณหนูสวีเงียบงันอยู่นาน จากนั้นจึงเอ่ยปากถาม
หลี่อู่หลิงรีบผงกศีรษะ “ท่านน้า ชาวทูเจวี๋ยกำลังรอคำตอบจากพวกเราอยุ่นะขอรับ! นับตั้งแต่จับตัวพวกข่านน้อยกับอ๋องขวาชนเผ่านอกด่านมา พวกมันก็ส่งทูตมาสืบข่าวคราวจากพวกเราวันเว้นวัน เมื่อครู่พี่จั่วชิวซึ่งตั้งค่ายอยู่ที่เฮ่อหลานซานก็ให้ม้าเร็วมาส่งข่าว วันนี้ลู่ตงจ้านส่งสารมาอีกแล้ว บอกว่าต้องการเจรจากับพวกเราขอรับ”
หูปู้กุยเดินทางข้ามผ่านทุ่งหญ้า แม้ชาวทูเจวี๋ยจะมีไพร่พลนับพันนับหมื่น แต่กลับปราศจากผู้ขัดขวาง ราชธานีถูกทำลาย ข่านน้อยกับอ๋องขวาถูกจับเป็นเชลย นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่แคว้นข่านทูเจวี๋ยอันกล้าแกร่งมาก่อน บวกกับพวกมันบุกโจมตีเฮ่อหลานซานอย่างรุนแรงก็ไม่ประสบความสำเร็จจนต้องถอยกลับไปครั้งแล้วครั้งเล่า สูญเสียโลหิตและชีวิตไปนับไม่ถ้วน ระหว่างที่กำลังโมโหเดือดดาล ชนเผ่านอกด่านก็ต้องตื่นตะลึงจากความมุ่งมั่นและไอสังหารของชาวต้าหัว
เนื่องจากชาวทูเจวี๋ยบังเกิดความหวาดหวั่นอย่างยิ่ง ช่วงหนึ่งเดือนมานี้พวกมันจึงค่อยๆ ถอยกลับไปที่ทุ่งหญ้า ทั้งสองฝ่ายตั้งทัพอยู่ที่เส้นเขตแดนของสองแว่นแคว้น แม้จะเกิดการปะทะเล็กๆ น้อยๆ เป็นบางครั้ง ถึงกระนั้นก็ไม่เคยเกิดศึกครั้งใหญ่ ในช่วงเวลาที่ประจันหน้ากันเช่นนี้ ระหว่างช่วงรอยต่อของทุ่งหญ้าและทะเลทรายกลับบังเกิดเขตกันชนอันแสนสงบสุขขึ้นอย่างหาได้ยากยิ่ง
“เจรจา? พวกเราไม่รีบ ที่รีบน่ะคือพวกมัน!” สวีจื่อฉิงกล่าวด้วยท่าทางสบายๆ สถานการณ์ในปัจจุบัน ต้าหัวกุมสิทธิ์ในการเป็นฝ่ายกระทำโดยสิ้นเชิง ซึ่งนั่นต้องใช้ชีวิตทหารจำนวนนับไม่ถ้วนแลกกลับมา โดยเฉพาะเขาซึ่งไม่รู้ว่าเป็นหรือตายผู้นั้น
ดวงตาของนางผุดประกายน้ำตาบางๆ ถอนหายใจยาวพร้อมเอ่ยว่า “จะจัดการข่านน้อยทูเจวี๋ยกับเชลยเหล่านี้เช่นไรต้องให้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัย ก่อนราชโองการจะมาถึง การเจรจาจะไร้ประโยชน์ ลู่ตงจ้านไม่มีทางไม่รู้เรื่องนี้ มันจงใจสร้างแรงกดดันให้พวกเรา ใช้การแลกสิทธิ์ในการเป็นฝ่ายกระทำกลับคืนไปบ้าง”
หลี่อู่หลิงรีบผงกศีรษะ “ข้ามาก็เพราะเรื่องนี้ล่ะขอรับ ท่านน้า ท่านปู่ให้ข้ามาแจ้งท่าน ราชโองการของฝ่าบาทมาถึงแล้ว”
…
ท่ามกลางแสงสนธยา รถม้าคันเล็กๆ คันหนึ่งก่อฝุ่นทรายคละคลุ้ง เคลื่อนที่แช่มช้าเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด แสงแดดยามเย็นตกกระทบหลังจนเปล่งประกายสีแดงเรืองรอง
มีมืองามเรียวยาวข้างหนึ่งยื่นออกมาจากหลังม่านรถม้า ดึงบังเ**ยนเพื่อเร่งม้าและปรับทิศทางเป็นบางครั้ง ทรายที่ปลิวว่อนสาดกระทบม่านหน้าต่าง ภายในตัวรถมีเสียงอ่อนระโหยโรยแรงดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง เหมือนกำลังไม่สบาย “พี่สาว ไม่ต้องเดินทางเร็วขนาดนี้ก็ได้ หยุดสักหน่อยเถอะ ลองคิดดูสิ เดินเล่นยามตะวันตกดิน มีแค่ท่านกับข้า ใบหน้าต้องแสงสายัณห์แดงระเรื่อ ทัศนียภาพดั่งภาพเขียน นี่จะเป็นเรื่องที่แสนรื่นรมย์เพียงใด!”
รื่นรมย์เพียงใดไม่รู้ แต่ช้าขนาดไหนน่ะรู้แน่ พี่สาวส่ายหน้าอย่างจนใจ หัวเราะพร้อมเอ่ยกลับไปว่า “เจ้าคนนี้นี่นะ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เพิ่งจะพักผ่อนไปหรือ? เช้าตื่นสาย กลางวันร้อนเกินไปเลยอยากจะนอน พระอาทิตย์ตกถึงจะออกเดินทาง หากทำตามเจ้า วันหนึ่งพวกเราจะเดินทางได้สักกี่ลี้กันหา?!”
“เดินทางไม่ถึงก็ค่อยๆ เดินทางไป ข้าเป็นคนป่วยน้า” เสียงอ่อนระโหยโรยแรงนั้นไอออกมาหลายครา หอบหายใจพร้อมพูดขึ้นมาว่า “เดินทางช้าสักหน่อยก็ไม่เป็นไร คนป่วยได้รับการดูแลเป็นพิเศษคือคุณธรรมแห่งฟ้าและดิน! รอให้วันหน้าพี่สาวอยู่เดือน ข้าจะดูแลท่านเช่นนี้เหมือนกัน กอดท่านไม่ขยับแม้แต่ก้าวเดียว ท่านว่าดีหรือไม่?”
“เหอะ!” พี่สาวใบหน้าใบหูแดง
มองดูใบหน้าขาวซีดของคนป่วย พูดจาได้ไม่กี่ประโยคก็เริ่มหอบแล้ว นางรู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที รีบจับมือของเขาไว้ บรรยากาศภายในรถร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด มีเพียงร่างกายของคนป่วยเท่านั้นที่เย็นเฉียบ นี่คืออาการอ่อนแรงขั้นสุดซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่ล้มเจ็บอย่างหนัก แม้บาดแผลภายนอกจะหายดีแล้ว แต่ธนูดอกนั้นสร้างความกระทบกระเทือนต่ออวัยวะภายในอย่างรุนแรง ไหนเลยจะหายดีดังเดิมโดยง่ายดายได้?!
“พี่สาว ผมยุ่งแล้ว” เมื่อเห็นน้ำตาภายในดวงตาของพี่สาว คนป่วยก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ทัดปอยผมหลายเส้นข้างใบหูนางเบาๆ ด้วยความอ่อนโยนยิ่งนัก
ในความหวานชื่นระคนความปวดใจ น้ำตาของพี่สาวไหลรินอย่างเงียบงัน นางกุมมือเขาเบาๆ ให้เขาประคอใบหน้าตนเอง “เจ้าน่ะ ไม่รู้ว่าดื้อด้านอะไรนักหนา นับตั้งแต่กลับจากปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ ทุ่งหญ้าทะเลทรายราบเรียบไม่ยอมไป จะต้องให้ข้าอุ้มเจ้าข้ามเฮ่อหลานซาน เดินย้อนกลับเส้นทางเดิม เจ้าบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าจะทนไหวได้หรือ? คราวนี้ดีเลย ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ และยิ่งไม่รู้ว่าเจ้ากลับมาแล้ว!”
“ไม่รู้ก็ดี” เขาถอนหายใจออกมาแผ่วเบา “เหนื่อยแล้ว! คิดแต่จะหาสถานที่ที่ปลอดคนเพื่ออยู่อย่างสงบสักหน่อย ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องทำอะไร แค่นอนให้มาก นับตั๋วเงินสักหน่อย โอบพี่สาวบ้าง ทำมันให้ครบทุกอย่าง! ช่วงเวลานี้ช่างมีความสุขมากเลยนะ!”
“พรืด!” พี่สาวหัวเราะพลางจิ้มจมูกเขา คราบน้ำตากับรอยยิ้มเบ่งบานพร้อมกัน “อย่านึกว่าข้าไม่รู้ความคิดของเจ้า…เจ้ากลัวว่าพวกเขาตามหาเจ้าเจอแล้วจะลากเจ้าไปที่โต๊ะเจรจา ไปเจอคนที่เจ้ากล้าเจอคนนั้นล่ะสิท่า?!”
“พี่สาว ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย ตลอดทั้งตัวข้าก็มีแค่ความลับเล็กๆ นี้เท่านั้น!” คนป่วยยิ้มขื่นพลางส่ายหน้า เอ่ยออกมาด้วยความจนใจ “เอาเถิด ข้ายอมรับ ท่านพูดถูกแล้ว การเจรจานั่นเป็นเรื่องของพวกเขา ไม่เกี่ยวกับข้า ใครก็ห้ามมารบกวนข้า ตอนนี้ข้าอยากเป็นแค่ทหารหนีทัพ หนีทัพอย่างไร้ทุกข์ไร้กังวล”
“ทหารหนีทัพ กินยาได้แล้ว” พี่สาวยิ้มแย้มพลางส่ายหน้า หยิบยาออกมาจากกล่องเล็ก กลิ่นหอมสะอาดจางๆ ระคนกลิ่นขมเข้มข้นสายนึ่งลอยปะทะจมูกเข้ามา
เห็นชัดว่าคนป่วยขมขื่นกับการกินยาตัวนี้ เขาตกใจนหน้าซีด “ไม่ ไม่กินได้หรือไม่? มันขมมากเลย!”
“ไม่ได้!” ปราศจากการต่อรองแม้แต่น้อย
“เช่นนั้นน้องชายจะขอร้องได้หรือไม่ ขอให้พี่สาวเคี้ยวเจ้ายานี่ให้แหลกก่อน จากนั้นค่อยป้อนใส่ปากข้าทีละคำๆ เช่นนั้นจะหวานขึ้นอีกนิด…อุ๊ หวานมาก!”
“ปัง! ปัง!” ยังอยู่ในช่วงแห่งความหวานชื่น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตัวรถถูกกระแทกดังปังปัง ม้าหยุดการเคลื่อนที่ นางเซียนรีบรั้งริมฝีปากกลับไป มองค้อนเขาด้วยใบหน้าใบหูแดง
คนป่วยระเบิดโทสะในบัดดล “ใครกัน? มาทำลายเรื่องดีๆ ของข้าเสียได้ นี่ข้ากำลังกินยาหวานอยู่นะ!”
ภายนอกมีเสียงตวาดดังลั่นหลายเสียง “ที่อยู่ข้างในเป็นใครกัน หลบอยู่ในนั้นทำอะไร? ลงรถๆ มารับการตรวจตรา!”
พี่สาวรีบยื่นศีรษะออกไปมองแวบหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวด้วยความยินดี “ถึงเมืองเมืองซิงชิ่งแล้ว!”
ซิงชิ่ง? คนป่วยรีบเลิกผ้าม่าน สองตากวาดมองเบาๆ
กำแพงสูง เชิงเทียนอันแข็งแกร่ง หอคอยจุดสัญญาณไฟตั้งตระหง่าน เสียงร้องขายของดังโหวกเหวกโวยวาย ฝูงชนที่สัญจรไปมา โรงน้ำชาเหลาสุรา อูฐและม้า ปรากฏให้เห็นเด่นชัดภายในชั่วพริบตา
ไม่ได้ยินเสียงแบบนี้มาสามเดือนกว่าแล้ว ช่างคุ้นเคยเสียเหลือเกิน เสียงเอะอะของคนดังเข้าใบหู เขารู้สึกปลอดโปร่งไปทั้งร่างราวกับได้กินก้อนน้ำแข็ง สองตาเปียกชื้นในบัดดล เมืองซิงชิ่ง ข้ากลับมาแล้ว!
ระหว่างที่กำลังรู้สึกกระหยิ่มใจ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าพี่สาวกำลังดึงแขนเสื้อเขาอยู่อย่างรีบร้อน หลบไปข้างหลังเขาด้วยความหงุดหงิดโมโห เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นว่าทหารยามที่อยู่หน้าประตูรถกำลังมองพี่สาวอย่างเหม่อลอย น้ำลายหยดติ๋งๆ
แม้พี่สาวจะแต่งกายด้วยชุดกระโปรงหยาบๆ ปักปิ่นไม้พร้อมใช้ผ้าโปร่งปิดบังใบหน้า แต่เรือนร่างอันอวบอิ่ม ความงามล้ำเลิศนั้นไหนเลยจะปิดบังได้? ทหารยามที่อยู่นอกรถต่างมองจนตาลอย
คนป่วยระเบิดโทสะทันที “มองอะไรกัน?! ใครกล้ามองเมียข้าอีก ข้าจะควักลูกตามันออกมา ขอบอกพวกเจ้า ข้าฆ่าคนมาหลายหมื่นคนแล้ว!”
ผีอมโรคอย่างเจ้านี่นะ?! ทหารทั้งหลายหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง เห็นเข้าเบ้าตาจมลึก หน้าขาวซีด ร่างกายส่ายโอนเอน อ่อนแอไม่อาจต้านทานลม ท่าทางเหมือนผีวัณโรคอย่างนั้น อย่าว่าแต่ฆ่าคนเลย แค่ฆ่าไก่ก็ยังทำให้คนอื่นลุ้นจนเหงื่อตก!
“มาดุอะไรกันนักหนา แม้แต่ชาวทูเจวี๋ยก็ยังไม่กล้ามาทำตัวดุต่อหน้าพวกเราเลย! ลงรถๆ รับการตรวจตรา เป็นการป้องกันไม่ให้ไส้ศึกชนเผ่านอกด่านปะปนเข้าไปในเมือง!” สวีจื่อฉิงปกครองทหารด้วยระเบียบวินัย ทหารใต้บังคับบัญชาทำได้แค่พูดเล่นเท่านั้น แต่ไม่กล้าทำตัวกำแหงจริงๆ
นี่เขาเรียกว่าพยัคฆ์หลุดมาที่ราบถูกสุนัขรังแก ในเมื่อจะทำตัวเป็นทหารหนีทัพ อย่างนั้นก็คงทำได้เพียงลงจากรถรับการตรวจสอบอย่างว่าง่ายเท่านั้น เมื่อเห็นท่าทางเดือดดาลของเขา พี่สาวก็ฝืนสะกดกลั้นหัวเราะพลางประคองเขาลงมา
ซบร่างพี่สาวอย่างอ่อนระโหยโรยแรง มองดูนายทหารเหล่านั้นพลิกค้นตัวรถเปะปะวุ่นวายไปรอบหนึ่ง ผ่านไปเนิ่นนานถึงยอมเลิกรา จากนั้นจึงโบกมือแล้วปล่อยให้พวกเขาเข้าเมือง
“ผีวัณโรค! ดอกไม้งามงดงามปักอยู่บนขี้ควาย!” ทหารนายหนึ่งไม่อาจสะกดกลั้นความอัดอั้นตันใจ แค่นเสียงด้วยความเดือดดาล
มารดาเจ้าน่ะสิ! ดอกไม้ไม่ปักบนขี้ควายหรือว่าจะให้ขี้ควายปักดอกไม้? เขาเต้นเป็นเจ้าเข้า ต้องการพุ่งเข้าไปถกเถียง พี่สาวแย้มยิ้มพลางดึงตัวเขาไว้ด้วยท่าทีอ่อนโยนยิ่งนัก “ข้าชอบขี้ควายเช่นเจ้า!”
เขาหัวเราะฮ่าๆ พร้อมรั้งมือกลับไป โอบเอวคอดกิ่วของพี่สาวแล้วพูดว่า “จริงหรือ? คิดไม่ถึงว่าพี่สาวจะมีความชอบที่พิเศษขนาดนี้! ขี้ควายนี่ดีน้า ขี้ควายมีสารอาหาร ใช้ให้อาหารดอกไม้โดยเฉพาะ มีคนคิดจะปักขี้ควาย นั่นยังต้องเข้าแถวรอเสียด้วยซ้ำ ฮ่าๆ”
เมื่อนั่งรถม้าเข้าไปในเมืองก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาไม่ขาดสาย มีเสียงร้องขายของอยู่ทุกแห่งหน เหล่าคุณชายขี่ม้าขาว เหล่าคุณหนูสวมอาภรณ์ลวดลายงดงาม เหลาสุราและตึกรามเรียงราย เสียงสังคีตดังแว่ว ร่ายรำระบำฟ้อน บุรุษเกี้ยวสตรี อูฐม้ามากมาย
ไม่ได้กลับซิงชิ่งมาสามเดือน เมืองชายแดนแห่งนี้ต่างจากขามาโดยสิ้นเชิง ทหารต้าหัวรบชนะหลายครั้ง ด่านเฮ่อหลานซานมั่นคงยากจะถูกทำลาย อีกทั้งไม่นานมานี้ยังจับตัวข่านน้อยกับอ๋องขวาของชนเผ่านอกด่านมาได้อีก ยินดีปรีดาไปทั้งต้าหัว เมืองซิงชิ่งแห่งนี้ให้ความรู้สึกของเมืองวสันต์นอกด่านอีกครั้งหนึ่ง อึกทึกคึกคักยิ่งกว่ากาลก่อน เห็นเงาของเจียงหนานได้รางๆ
สามเดือนแล้ว ในที่สุดก็มีชีวิตรอดกลับมาโลกมนุษย์ได้เสียที เห็นแม่นางหลายคนกำลังยืนบิดเรือนร่างเรียกแขกอยู่หน้าประตูอยู่ไกลๆ เสียงหัวเราะสดใสดังไปทั่วทั้งถนนใหญ่
เป็นภาพที่คุ้นเคยมากเลยนะ ความพลุ่งพล่านภายในใจเขายากจะสะกดกลั้นจนอดยื่นหน้าออกมาพร้อมผิวปากกระเซ้าไม่ได้ “ไฮ พี่สาวคนนี้ ทำทุกอย่างราคาเท่าไหร่?! นวดท่านชายอะไรแบบนั้นน่ะ! เฮ้อ เป็นครั้งแรกของน้องชาย ไม่เชี่ยวชาญเลย ไม่รู้อะไรทั้งนั้น พอจะลดราคาได้หรือไม่?!”
ครั้งแรกของวันนี้ของเจ้าล่ะสิ! หญิงนางโลมต่างกรูเข้ามาหา “คุณชาย ข้าก็ครั้งแรกนะเจ้าคะ เข้าห้องดื่มชาครึ่งตำลึง ค้างคืนแค่สองตำลึง ถูกและคุ้มค่า ท่านผิวดำขนาดนี้ก็ไม่ต้องจุดตะเกียง ประหยัดค่าน้ำมันตะเกียง จะลดให้ท่านอีกครึ่งตำลึง ราคาหนึ่งตำลึงครึ่งรวมอาหารว่างยามกลางคืนด้วยนะเจ้าคะ!”
เจ้าคนสมควรตายคนนี้! พี่สาวใช้เข็มทิ่มก้นเขา
“พี่สาว ข้าแซวพวกนางเล่น” คนป่วยเบ้ปากอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “ข้าแค่อยากตามหาความรู้สึกที่มีชีวิตรอดกลับมา!”
พี่สาวไหนเลยจะไม่รู้ความรู้สึกของเขา เพียงแต่ความหึงหวงเป็นนิสัยที่มีมาตั้งแต่กำเนิดของสตรี นางร่วงหล่นลงบนโลกมนุษย์ ไหนเลยจะปราศจากความรู้สึกทางโลกได้ นางหัวเราะพรวดอย่างไม่อาจสะกดกลั้น กล่าวด้วยความอายและหงุดหงิดออกมาว่า “ห้ามเจ้าพูดจาโจ่งแจ้งกับสตรีเหล่านี้เยี่ยงนี้!”
“เข้าใจๆ ควรพูดกับพี่สาวถึงจะถูกใช่หรือไม่!”
พี่สาวหน้าแดง ถึงกระนั้นกลับไม่ได้โต้เถียงอย่างน่าประหลาด
“เอ๊ะ ถังหูลู่?!” คนป่วยยื่นศีรษะออกไปพร้อมรีบกวักมือเรียกด้วยความตื่นเต้น “เถ้าแก่ เถ้าแก่ ถังหูลู่ขายอย่างไร?!”
“ไม้ละห้าอีแปะ! ขออภัยไม่ต่อราคา”
ขออภัยไม่ต่อราคา! ซื้อถังหูลู่กับคุณหนูใหญ่ที่หางโจว สิบอีแปะข้าซื้อได้ตั้งสามไม้
“แปดอีแปะสองไม้เจ้าจะขายหรือไม่ วันนี้อากาศร้อน น้ำตาลละลายหมดแล้ว พรุ่งนี้เจ้าอย่าคิดที่จะขายอีกเลย! ข้าซื้อมาชิมดูก็ยังจะติดฟันด้วยซ้ำ!”
“หืม เจ้าอยากได้สองไม้? อย่างนั้นก็ได้ แปดอีแปะ!”
“น้ำตาลเหนียวดเหนอะแบบนี้ใครจะอยากควักเงินกันเล่า?! พี่สาว ให้เขาไปสิบอีแปะ พวกเราซื้อสามไม้! ไม่ให้ก็ไป!”……
“หวานหรือไม่?!” ได้มาอีกสองไม้
พี่สาวโตมาจนป่านนี้แต่กลับเป็นครั้งแรกที่ได้กินเจ้าของสิ่งนี้ เมื่อเข้าปากก็รู้สึกหวานๆ เปรี้ยวๆ อร่อยยิ่งนัก นางเลียไปหลายครั้ง จากนั้นก็ยัดใส่ปากคนป่วยพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “เดิมทีไม้ละห้าอีแปะ เจ้าควักสิบอีแปะซื้อได้สามไม้ เจ้าควักเงินเพิ่ม เขาให้ถังหูลู่เพิ่ม ที่แท้ผู้ใดชนะกันแน่นะ?!”
“ต่างคนต่างมีความสุข ข้ากับเขาต่างเป็นผู้ชนะ!” คนป่วยกัดถังหูลู่คำหนึ่ง ส่ายหน้าพลางยิ้มแย้ม “ความสุขก็คือเช่นนี้!”
“โจรน้อย” พี่สาวเหม่อมองเขา ทั้งตกใจทั้งยินดีระคนกัน จู่ๆ ก็จุ๊บแก้มเขาพร้อมกล่าวด้วยความเอียงอาย “ข้าก็เหมือนเจ้า มีความสุขมาก!”