ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 612 - 1 เจรจา
จื่อฉิงหน้านิ่วคิ้วขมวด เพิ่งเดินเข้ามาในค่าย พวกของเกาฉิวมองเห็นอยู่ไกลๆ จึงรีบผลักหูปู้กุยที่อยู่ข้างกาย “เหล่าหู รีบไปถามคุณหนูสวีเร็วว่ามีข่าวคราวของน้องหลินหรือไม่?! จะเป็นหรือตายก็ต้องมีข่าวบ้างสิ ร้อนใจตายมารดามันจริงๆ แล้ว”
หูปู้กุยทอดสายตามองหลายครั้ง จากนั้นก็ส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง “ถามผายลมอะไร เจ้าไม่เห็นสีหน้าของท่านกุนซือหรือ? หากมีข่าวคราวของแม่ทัพหลิน นางจะไม่ดีใจยิ่งกว่าผู้ใดหรอกหรือ?!”
จริงดังคาด คุณหนูสวีซึ่งเงียบงันสายตาเหม่อลอยกลับเกือบเดินชนกระโจมที่อยู่ด้านข้าง เกาฉิวอดถอนหายใจไม่ได้
หูปู้กุยหยิบที่แปรงขนขึ้นมาแล้วแปรงขนม้าเหงื่อโลหิตที่อยู่ข้างกายตัวนั้นอย่างถ้วนถี่ ม้าเหงื่อโลหิตตัวนี้ หลินหว่านหรงมอบให้เขาด้วยตนเองก่อนออกเดินทางจากเมืองหลวง ในกองทัพที่มีผู้คนนับพันนับหมื่นนี้ ก็มีแค่ม้าตัวนี้เท่านั้นที่ถือเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแท้จริง
เกาฉิวลูบไล้แผงคออันอ่อนนุ่มของม้าล้ำค่า จากนั้นก็ถอนหายใจพร้อมพูดว่า “เหล่าหู เจ้าว่าหากม้าเหงื่อโลหิตตัวนี้ผสมพันธุ์กับม้าชั้นยอดของต้าหัวเรา ตัวหนึ่งเป็นพันธุ์ทูเจวี๋ย อีกตัวเป็นสายเลือดต้าหัว จะให้กำเนิดม้าชั้นดีออกมาได้จริงหรือไม่?!”
“นั่นมันแน่นอน” เหล่าหูตบหลังม้า หัวเราะฮิฮะสองครา กล่าวด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง “การผสมพันธุ์นี้แม่ทัพหลินเป็นผู้เสนอ ยังจะผิดได้อีกหรือ? รอดูเถอะ ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก็จะได้เห็นลูกม้าตัวน้อยแล้ว”
“แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ!” เหล่าเกาผงกศีรษะ กล่าวพึมพำกับตนเอง “เช่นนั้นหากให้น้องหลินกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผสมพันธุ์กันล่ะ? น่าจะยิ่งไม่เลวกระมัง!”
หูปู้กุยนิ่งอึ้ง จากนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังออกมาทันที หัวเราะไปหัวเราะมาตาก็แดง
เมื่อเข้ามาในกระโจมก็เห็นจอมทัพหลี่ไท่ที่เส้นผมขาวโพลนกำลังทำหน้าตากลัดกลุ้ม เดินย่ำเท้ากลับไปกลับมาอยู่ในกระโจม คล้ายมีเรื่องที่จัดการยากยิ่งนัก คุณหนูสวีแอบเช็ดน้ำตาบริเวณหางตาแล้วเอ่ยปากถามว่า “ท่านจอมทัพ ท่านตามหาข้าหรือ?!”
“จื่อเอ๋อร์ เจ้ามาได้จังหวะพอดี” จอมทัพส่งม้วนผ้าแพรสีเหลืองทองให้ม้วนหนึ่ง เขาถอนหายใจพร้อมเอ่ยว่า “เกี่ยวกับการเจรจาของพวกเรากับชาวทูเจวี๋ย ราชโองการของฝ่าบาทมาถึงแล้ว”
สวีจื่อฉิงรับม้วนผ้าฉบับนั้นมาแล้วกวาดตามอง ราชโองการฉบับนั้นเรียบง่าย มีแค่สี่คำเท่านั้น “หลินซานตัดสิน!”
คุณหนูสวีหน้าซีด แทบจะหลั่งน้ำตาออกมา “นี่ หรือว่าฝ่าบาทยังไม่ทรงทราบว่าเขา…”
หลี่ไท่ส่ายหน้า “องค์หญิงชูอวิ๋นทรงตั้งครรภ์ เดือนหน้าก็จะคลอดแล้ว ไม่อาจรับการกระทบกระเทือนได้ เรื่องของหลินซานปิดบังได้ก็ต้องปิดบัง ข้าถวายสารลับแด่ฝ่าบาทแล้ว เรื่องนี้ในราชสำนักน่าจะมีเพียงฝ่าบาทที่ทรงทราบ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงทรงมีราชโองการเช่นนี้อีก?”
จำได้รางๆ ว่าเขาใกล้จะเป็นพ่อคนแล้ว เพียงแต่กลับไม่รู้ว่าคนที่เป็นพ่อคนคนนี้ตอนนี้ไปอยู่ที่ใด? เขาจะเป็นหรือตาย จะร้อนหรือว่าหนาว? คุณหนูสวีไม่อาจสะกดกลั้นได้อีกต่อไป น้ำตาไหลอย่างเงียบงัน ไหลอาบสองแก้ม
“จื่อเอ๋อร์เอ๋ย…” จอมทัพทอดถอนใจ ถึงกระนั้นกลับไม่รู้ว่าควรปลอบโยนเช่นไรดี
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” สวีจื่อฉิงรีบเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ปิดราชโองการฉบับนั้น จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเบาออกมา “หลินซานตัดสิน…ตามความเห็นของจื่อเอ๋อร์ พระประสงค์ที่ฝ่าบาททรงมีราชโองการฉบับนี้มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือต้องตามหาเขาให้พบ ไม่ว่าเป็นหรือตายเจ้าค่ะ”
“ไม่ว่าเป็นหรือตาย?” หลี่ไท่กล่าวพลางขมวดคิ้ว “หากหลินซานยังมีชีวิตอยู่ทุกอย่างง่ายดาย เจรจานี้ควรให้เขาเป็นผู้ตัดสิน แต่หากเขาไม่อยู่แล้ว…”
“นั่นก็คือ ‘หลินซานตัดสิน’ อย่างแท้จริงเจ้าค่ะ ชีวิตชาวทูเจวี๋ยทั้งหมดอยู่ที่ตัวเขาเพียงผู้เดียว!” สวีจื่อฉิงดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ พูดพลางกัดฟันกรอด
“หลินซานตัดสิน!” ฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์ให้ใช้ความเป็นความตายของหลินซานมากำหนดความเป็นความตายของชาวทูเจวี๋ย หากหลินซานไม่อยู่แล้ว เชลยทูเจวี๋ยเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นข่านน้อยหรือว่าอ๋องขวาทูเจวี๋ยต่างไม่จำเป็นต้องอยู่อีกต่อไป ต้าหัวจะสู้แลกชีวิตกับชาวทูเจวี๋ยจนถึงที่สุดโดยไม่เสียดายค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น
ฝ่าบาทพิโรธจริงแล้ว! หลี่ไท่ผงกศีรษะเล็กน้อย “จื่อเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกว่าหลินซานยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
“เขาต้องมีชีวิตอยู่ เขาเลวขนาดนั้น…” คุณหนูสวีก้มหน้าลงไป สะอึกสะอื้นเงียบๆ
หลี่ไท่หัวเราะพร้อมพูดว่า “นี่ก็ใช่แล้ว เจ้าหลินซานคนนี้นี่นะ วันๆ เอาแต่หัวเราะเฮฮา ไม่เคยเสียเปรียบมาก่อน หากเจ้าบอกว่าเขาตายแล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลยสักนิด!”
สวีจื่อฉิงกัดฟันกรอด “พวกเราเมินชาวทูเจวี๋ยมาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว หากลากออกไปโดยไม่ให้คำตอบพวกมันอีกเกรงว่าจะได้ผลตรงกันข้าม ในเมื่อฝ่าบาททรงมีราชโองการลงมาแล้ว ไม่สู้พวกเราเปิดการเจรจากับชนเผ่านอกด่าน คุยสักสองสามวัน หยุดสักสองสามวัน ทางหนึ่งจะได้รอข่าวของหลินซาน ส่วนอีกทางก็จะได้สืบท่าทีของชาวทูเจวี๋ย เดี๋ยวผ่อนคลายเดี๋ยวตึงเครียดให้ความหวังกับพวกมันเล็กน้อย จะได้ให้พวกมันไม่กล้าเปิดศึกโดยง่ายอีก ท่านจอมทัพเห็นเป็นเช่นไร?”
“ดี ก็ทำตามนี้!” หลี่ไท่แค่นเสียงหนักๆ “แม้แต่ฝ่าบาทก็ทรงตัดสินพระทัยแล้ว หากหลินซานกลับมาไม่ได้ พวกเราก็ให้ชาวทูเจวี๋ยชดใช้หนี้เลือดด้วยเลือด!”
…
“เจ้าจะโกงหมากอีกแล้ว?! ไม่ได้!” เสียงตำหนิเจื้อยแจ้วดังขึ้นมา มืองามเรียวยาวข้างหนึ่งยืนออกไปทันที คว้าฝ่ามือมารซึ่งกำลังแอบเปลี่ยนเม็ดหมาก มองค้อนเขาด้วยความหงุดหงิดโมโห
“อ๊ะ…พี่สาวตำหนิข้าผิดไปแล้ว ข้าก็แค่เปลี่ยนขั้นตอนการเดินหมากที่เพิ่งลงไปเมื่อครู่เพื่อทำการทดลองก็เท่านั้นเอง”
“นั่นยังไม่ใช่โกงหมากอีกหรือ?! ข้าจดให้เจ้าแล้ว นี่มันครั้งที่สิบแล้วนะ!” นางเซียนตีมือเขาด้วยความรู้สึกขบขัน
“อย่างนั้นหรือ ครั้งที่สิบแล้ว? ข้าจำได้ว่าเพิ่งจะครั้งที่แปดชัดๆ นะ!” เขาหยิบหมากตัวนั้นกลับมาหน้าทะเล้น “ชีวิตคนเราไม่อาจหวนคืนก็เป็นเรื่องน่าเบื่อมากอยู่แล้ว หากแม้แต่บนกระดานหมากก็เป็นแบบนี้อีก อย่างนั้นมีชีวิตไปจะมีความหมายอะไร ให้ข้าโกงหมากอีกสักครั้งเถอะนะ พี่สาว?!”
เจ้าคนนี้นี่นะ แม้แต่การโกงหมากก็ยังโกงอย่างสมเหตุสมผล สะทกสะท้อนใจมากมายเช่นนี้อีก นางเซียนหัวเราะพร้อมผลักกระดานหมากไปข้างหน้า “ไม่เล่นแล้วๆ หมากรุกต้าหัวนี้เจ้าเป็นคนสอนข้าชัดๆ แต่ทำไมกลับยังสู้ข้าไม่ได้!”
โจรน้อยหัวเราะร่วนพร้อมจับมือนาง “นั่นก็เพราะพี่สาวนางเซียนฉลาด!”
นางเซียนช่วยเขาสอดมุมผ้าห่มแล้วกระโดดลงจากเตียง ปรับไส้ของตะเกียงน้ำมันที่เป่งแสงหรุบหรู่ดวงนั้นเบาๆ ภายในห้องพลันสว่างไสวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย นางมองออกไปด้านนอกด้วยความเอียงอายและยินดี ลานบ้านปรักหักพัง ประตูใหญ่ที่ขัดแน่น กำแพงดิน บ้านหลังคากระเบื้องสีดำ ภายในตรอกมีเสียงสุนัขเห่าหอน เสียงฝีเท้าคนที่หวนกลับบ้านยามค่ำคืน เสียงทารกร้องไห้ดังต่อเนื่องไม่หยุด เสียงหัวเราะกระเซ้าเย้าแหย่ของสามีภรรยาบ้านหลังติดกัน ทุกสิ่งทุกอย่างต่างจริงแท้ถึงเพียงนี้ เมื่อมองเข้าไปในตัวบ้านอีกครา โต๊ะเก้าอี้ที่สร้างอย่างลวกๆ ชุดน้ำชาที่วางตั้งอยู่ แจกันกระเบื้องที่ปักดอกไม้ หมอนมังกรหงส์ ทุกเส้นด้ายทุกฝีเข็มบนร่างโจรน้อยล้วนเป็นนางที่ลงมือทำด้วยตนเอง เห็นอย่างชัดเจนแจ่มชัดถึงเพียงนี้ ทว่าในสายตานางกลับรู้สึกล่องลอยราวกับความฝัน
เรื่องพวกนี้เป็นความจริงหรือ? นางลูบไล้ใบหน้าที่ร้อนลวก แอบมองโจรน้อยคราหนึ่ง ในความเขินอายแฝงความอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
“ราตรีมิมาตามนัดหมาย เคาะหมากไส้ตะเกียงร่วงหล่น รสชาติของการเป็นผู้เร้นกายจากทางโลกมันช่างแตกต่างจริงๆ ด้วยนะ!” หลินหว่านหรงถอนหายใจยาว ใช้สองมือหนุนศีรษะ ทอดสายตามองฝ้าเพดาน ส่งเสียงหัวเราะเล็กน้อย
“เจ้าเป็นผู้เร้นกายจากทางโลกตัวปลอม เร้นไปเร้นมาก็ยังเร้นอยู่ในเมืองซิงชิ่ง” หนิงอวี่ซีจิ้มจมูกเขาคราหนึ่ง หัวเราะพลางอิงแอบอยู่ข้างกายเขา มองดูทุกสิ่งที่อยู่ภายในห้องนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างต่างเกิดจากหยาดเหงื่อของพวกเขา นางเซียนดวงตารื้นด้วยประกายน้ำตาบางๆ “โจรน้อย นี่คือบ้านของพวกเราจริงหรือ? ข้าไม่กล้าเชื่อเลย!”
“ถ้ำอันหนาวเหน็บแม้จะซอมซ่อ แต่ก็ใช้หลบลมฝนได้ นี่คือบ้านของเรา อยากอยู่ที่นี่ไปทั้งชาติจริงๆ!” เขากอดนางเซียนอยู่ในอ้อมอก สูดดมกลิ่นหอมสะอาดผมเส้นผมนาง รู้สึกดื่มด่ำอย่างบอกไม่ถูก
“อยากอยู่ที่นี่ไปทั้งชาติ?!” นางเซียนหนิงยิ้มแย้มพร้อมเอ่ยวาจา “เช่นนั้นวันนี้ตอนเที่ยงเป็นผู้ใดที่แอบเขียนจดหมายส่งทางบ้าน?…คุณหนูใหญ่ ข้าคิดถึงเจ้า! หนิงเอ๋อร์ วาดภาพหรือไม่? ที่รักเฉี่ยวเฉี่ยว คิดถึงข้าไหม? อวี้ซวงเอ๋ย เจ้าโตขึ้นอีกหรือไม่?…ฟังเจ้าพูดแล้วกลับรู้สึกเข็ดฟันอยู่บ้างนะ!”
พูดชื่อสตรีตั้งมากมายขนาดนี้ภายในชั่วอึดใจเดียว หนิงอวี่ซีรู้สึกหงุดหงิดใจอยู่บ้าง อดจับมือเขาแน่นขึ้นอีกไม่ได้
โจรน้อยถอนหายใจแผ่วเบา “คิดถึงพวกนางอยู่บ้าง คราวนี้ข้าไปหลายเดือน ไร้ซึ่งข่าวคราว จดหมายที่พวกนางเขียนถึงข้าไม่รู้ว่าตั้งกองกี่ชั้นแล้ว หากข่าวที่ข้าตายในสนามรบแพร่ไปถึงหูพวกนาง นั่นเป็นเรื่องที่ไม่อยากจะคิดเลย ที่เป็นห่วงมากที่สุดก็ยังเป็นชิงเสวียน เดือนหน้านางก็จะคลอดแล้ว พี่สาว ท่านว่าข้าจะไม่คิดถึงได้หรือ?!”