ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 612 - 2 เจรจา
เมื่อได้ยินเขาเอ่ยถึงชิงเสวียน หนิงอวี่ซีก็บังเกิดความรู้สึกสลับซับซ้อน ผ่านไปเนิ่นนานถึงลูบไล้เส้นผมเขาพร้อมกล่าวด้วยเสียงอันอ่อนโยน “พรุ่งนี้เช้าพวกเราไปหาจุดพักทางการสักแห่งหนึ่ง จากนั้นก็รีบส่งจดหมายของเจ้ากลับไป เพื่อไม่ให้พวกนางคิดถึง! รสชาติแห่งความคิดถึงนั้นไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทนไหว!”
“อืม พี่สาวช่างดีเสียจริง” โจรน้อยซาบซึ้งน้ำหูน้ำตาไหล ซุกใบหน้าลงบนหน้าอกนาง ออกแรงดันอย่างเต็มที่
ลื่นจังเลย ใจเขาลอยล่อง เป่าลมหายใจเซียนใส่ส่วนนูนอันอ่อนนูนสองลูกนั้นเบาๆ อย่างไม่อาจอดทนไหว
ใบหน้าของโจรน้อยราวกับอั้งโล่ที่กำลังตกกระทบลงบนหน้าอกตน ยังมีสองข้างที่ลื่นไหลไปมาไม่หยุดอีก นางเซียนหนิงหน้าแดงใจเต้นรัว รีบร้องออกมาพร้อมหยิกเอวเขาคราหนึ่ง กล่าวด้วยความเขินอายออกมาว่า “อา…อาการบาดเจ็บภายในเจ้ายังไม่หายดี ไม่อาจทำอะไรวู่วามได้ ห้ามคิดเรื่องเหลวไหลเด็ดขาด”
“เรื่องเหลวไหลอะไร ข้าไม่เข้าใจ!” โจรน้อยเบิกตาโพลง กล่าวด้วยใบหน้าไร้เดียงสา “พี่สาว ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่…ถึงข้าไม่อาจทำอะไรวู่วาม แต่ท่านทำตามใจชอบได้นี่นา!”
รู้สันดานของเจ้าคนนี้ตั้งแต่แรก นางเซียนยิ้มพร้อมแกว่งเข็มเงินในมือ โจรน้อยรีบผงกศีรษะพร้อมพูดด้วยสีหน้าจริงจังทันที “อืม พี่สาวดูแลข้าทั้งวันทั้งคืน เห็นเหนื่อยเหลือแสน ข้าอ่านตำราค้นหาความหมายจองคำว่าเหลวไหลด้วยตัวเองก็แล้วกัน ไม่รบกวนให้พี่สาวต้องเล่าเองแล้ว”
เมื่อเห็นท่าทางผิดหวังของเขา ดวงหน้าอันงดงามของหนิงอวี่ซีก็แดงสดใส “เจ้าคนโง่คนนี้ เหตุใดถึงเอาร่างกายตนเองมาล้อเล่น สิ่งที่ควรเป็นของเจ้าก็จะเป็นของเจ้า ยังจะหนีไปไหนได้อีก?!”
คำพูดนี้ข้าชอบฟัง โจรน้อยนอนอยู่บนหน้าอกนางอย่างว่าง่าย ร่างกายไม่ขยับเปะปะวุ่นวายอีก…แต่มือเริ่มขยับเปะปะวุ่นวาย!
ไม่ว่าง่ายก็ไม่ได้ ขยับรุนแรงไม่กี่ครั้งร่างกายก็เจ็บปวดราวกับจะแยกออกจากกัน! มีแค่มือที่เป็นอิสระ ปราศจากข้อติดขัดอันใด
ตีก็ไม่ได้ ด่าก็ไม่ได้ แถมยังต้องดูแลเขาราวกับสมบัติล้ำค่าอีก แตะนิ้วเขาเพียงนิ้วเดียวตนเองก็เจ็บปวดไปจนถึงหัวใจ นางเซียนจนปัญญาเช่นกัน นางหน้าแดงพลางส่ายหน้า “เจ้านี่นะ ในเมื่อต้องการเป็นทหารหนีทัพ เช่นนั้นก็ทำให้มันหมดจดสักหน่อย กลับไปเมืองหลวงทันที ตอนนี้กลับดีเลย หนีไปหนีมา กลับหนีไม่พ้นเมืองซิงชิ่งแม้แต่ก้าวเดียว”
“พี่สาว ท่านอย่าเอาแต่เปิดโปงข้าได้หรือไม่” หลินหว่านหรงพูดด้วยหน้าตาขมขื่น “ทำแบบนี้มันเจ็บมากเลยนะ!” (เป็นการเล่นคำภาษาจีน ซึ่งคำว่าเปิดโปงคือ 拆穿 ซึ่งหากแยกเป็น 拆 ปกติจะแปลว่าการทำลาสิ่งปลูกสร้าง แต่อีกความหมายจะหมายถึงการแยกของที่ประกบติดกันออก ส่วน 穿 มีหลายความหมาย ในที่นี้คือการแทงทะลุ)
โจรน้อยต่ำช้า! นางเซียนอยู่กับเขามานาน แยกแยะความหมายในทุกประโยคของเขาได้ ดังนั้นจึงหยิกเอวเขาอย่างแรงคราหนึ่ง แค่นเสียงแล้วพูดว่า “นี่ข้ากำลังเตือนเจ้าอยู่! รู้หรือไม่ว่าเหตุใดหมากตาเมื่อครู่เจ้าถึงแพ้ข้า? ไม่ใช่วางหมากสู้ข้าไม่ได้ แต่เจ้าไม่มีสมาธิ ถึงได้วางแผนผิดตาแล้วตาเล่า!”
เขาผงกศีรษะอย่างว่าง่าย ฟุบอยู่บนหน้าอกนางเซียนไม่ขยับแล้ว แม้แต่ฝ่ามือมารนั้นก็ไม่ลื่นไหลไปทั่วอีก ประกบนิ่ง ๆ ลงบนส่วนโค้งนูนอันอ่อนนุ่มบริเวณนั้นของนาง
กลับแกล้งทำตัวน่าสงสารแล้ว! หนิงอวี่ซีสองแก้มแดงซ่าน อ่อนระทวยไปทั้งร่าง กล่าวด้วยความจนใจออกมาว่า “เจ้าอย่าเล่นพิเรนทร์เลย ข้าขอถามเจ้าเรื่องหนึ่ง วันนั้นในวังหลวงทูเจวี๋ย เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าจับตัวอวี้เจียได้ แต่เพราะเหตุใดกลับไม่จับตัวนางมา?!”
“พี่สาว เหตุใดต้องถามเรื่องน่าเบื่อพวกนี้ด้วย พวกเรานอนหลับด้วยกันไม่ดีหรอกหรือ?!” โจรน้อยส่ายหน้าด้วยท่าทีเกียจคร้าน ถูไถบนหน้าอกนาง
“เรื่องนอนหลับอีกประเดี๋ยวค่อยว่ากัน” นางเซียนหน้าร้อนลวก “เจ้าตอบคำถามข้ามาก่อน”
โจรน้อยแหงนหน้าขึ้นมา สายตาจ้องเขม็ง ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ง่ายดายมาก จับตัวนาง พวกเราจะไม่ได้กลับมาตลอดกาล”
“เพราะอะไร หรือว่าการจับตัวข่านใหญ่ข่านน้อยทูเจวี๋ยกลับมาพร้อมกันไม่ใช่เรื่องดี?!” นางเซียนถามด้วยความสงสัย
โจรน้อยส่ายหน้าพร้อมยิ้มขื่น “ดังนั้นถึงบอกว่า พี่สาว ข้าอยากให้ท่านเป็นนางเซียน เรื่องวางแผนหลอกลวงกันไปมาพวกนี้มันไม่ค่อยเหมาะกับท่านเลย ท่านลองคิดดู อวี้เจียเหลือชีวิตแค่ไม่กี่เดือน ข้าจับตัวนาง บวกกับอ๋องขวาก็อยู่ในมือพวกเรา คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคนนั้นจะเป็นใคร?”
“อ๋องซ้ายทูเจวี๋ย!”
“ถ้าอย่างนั้นหากท่านเป็นมันท่านจะทำเช่นไร?”
“ความหมายของเจ้าก็คือ…ฉวยโอกาสเข่นฆ่า กำจัดให้สิ้นซาก?!” นางเซียนตกใจยิ่งนัก “แบบนั้นพวกเราจะไม่ตายตกไปตามกันกับอวี้เจียหรอกหรือ?”
หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “ก็คือผลลัพธ์เช่นนี้ ผลักความผิดที่สังหารข่านใหญ่กับอ๋องขวามาให้ต้าหัวเราทั้งหมด โอกาสดีที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้ใครจะพลาดได้? และเมื่อลดสิ่งผู้มัดเหล่านี้ไป ภายในทูเจวี๋ยก็จะยิ่งเป็นปึกแผ่น อย่างมากสองสามปีก็จะพลิกฟื้นกลับมา ถึงเวลาชายแดนของทั้งสองแคว้นก็ยังมีเพลิงสงครามไปทั่วอยู่ดี”
“ส่วนบนทุ่งหญ้าผู้ที่รักใคร่ซาเอ่อร์มู่จากใจจริงก็มีแค่อวี้เจีย ขอเพียงมีนางอยู่ ปาเต๋อหลู่ถึงไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม พวกเราถึงผ่านทุ่งหญ้ามาอย่างราบรื่น มิหนำซ้ำซาเอ่อร์มู่ยังอยู่ในกำมือเราอีก หากทั้งสองแคว้นเจรจากันได้ดี ก็จะรับษาสันติภาพชายแดนได้อย่างน้อยยี่สิบปี”
หนิงอวี่ซีกล่าวเบาๆ ออกมา “เช่นนั้นหากเจรจาไม่สำเร็จล่ะ?!”
“เจรจาไม่สำเร็จ? นั่นก็ไม่เป็นไร” หลินหว่านหรงกล่าวเรียบๆ “พวกเราจับตัวข่านน้อยกับถูสั่วจั่ว กลับมาอย่างราบรื่นแล้ว ข่านใหญ่ทูเจวี๋ยเหลือเวลาชีวิตแค่สามสี่เดือน ถึงเวลาข่านใหญ่ข่านน้อยก็ต้องตาย ทูเจวี๋ยยังคงตกอยู่ในเงื้อมมือปาเต๋อหลู่ ที่ควรรบก็ยังต้องรบ สิ่งเดียวที่ต่างออกไปก็คือพวกเราไม่ได้เสียสละชีวิตที่ทุ่งหญ้า พวกเราได้กำไรแล้ว”
ฟังการวิเคราะห์ของเขาถึงเข้าใจสิ่งที่แฝงอยู่ในนั้นขึ้นมาก นางเซียนถอนหายใจแผ่วเบา “เดินหนึ่งก้าวเห็นสิบก้าว! มิน่าเจ้าถึงรู้สึกเหนื่อย เจ้ากับอวี้เจียเดิมทีก็เป็นคนประเภทเดียวกัน”
“ใช่แล้วล่ะ ข้ากับนางไม่ต่างกันเลย” โจรน้อยถอนหายใจยาวด้วยความเหนื่อยล้า
นางเซียนลูบผมเขาด้วยความปวดใจ “ได้ยินมาว่าการเจรจาระหว่างต้าหัวกับทูเจวี๋ยซึ่งตั้งอยู่ระหว่างอู่หยวนกับปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ เริ่มขึ้นแล้ว เจ้าจะไปดูหรือไม่…”
“ฟี้ ฟี้” เสียงลมจมูกแผ่วเบาแว่วเข้ามา เมื่อก้มหน้ามอง เขาก็หลับลึกไปเสียแล้ว
…
ฝั่งหนึ่งคือทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม ฝั่งหนึ่งคือทะเลทรายที่ฟุ้งกระจาย ทุ่งหญ้าตัดกับทะเลทราย ค่อยๆ แผ่ขยายทอดยาวไปจนถึงขอบฟ้าอันห่างไกล
อู่หยวนกับปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ ภายในรัศมีหลายร้อยลี้มีเสียงดาบดังเป็นระยะ ม้าศึกร้องระงม ต้าหัวและทูเจวี๋ยแต่ละฝ่ายต่างมีทหารชั้นยอดมารวมตัวกันสองแสนคน ม้าศึกของชนเผ่านอกด่านมีขนาดตัวสูงใหญ่ รูปร่างแข็งแรงกำยำ เมื่อมองไกลๆ ก็เหมือนพายุทะเลทรายที่ออกเคลื่อนที่ได้ทุกเมื่อ ส่วนต้าหัวนั้นกลับอาวุธเป็นระเบียบเรียบร้อย อยู่ในกฎระเบียบเข้มงวด ปืนใหญ่รุ่นใหม่จำนวนสี่สิบกระบอกจัดเรียงตามกระบวนทัพ เตรียมตัวยิงได้ทุกเมื่อ ทั้งสองฝ่ายต่างถอยออกไปห้าสิบลี้ ทว่าต่างฝ่ายต่างยังคงเผชิญหน้า จ้องมองกันอย่างดุร้าย
ณ เขตชายแดนระหว่างสองแคว้น เหล่าช่างฝีมือชาวต้าหัวสร้างปะรำยาวซึ่งทำจากไม้ยาวหลายลี้ จากทะเลทรายของต้าหัวยาวจรดถึงทุ่งหญ้าของทูเจวี๋ย เมื่อทอดสายตามองอยู่ไกลๆ ก็เหมือนเส้นตรงบางๆ เส้นหนึ่ง
อากาศเดือนเจ็ด ไอร้อนบีบคั้นผู้คน ภายในปะรำยาววางผลไม้และน้ำชาเต็มไปหมด กลิ่นหอมแผ่ซ่านไปทั่ว หากมองไม่เห็นเส้นแบ่งเขตแดนที่มองเห็นได้ชัดเจนบริเวณกึ่งกลางนั้น คงนึกว่าทั้งสองแคว้นกำลังเปิดงานเลี้ยงเชื่อมสัมพันธไมตรี
ตามข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย ทหารของสองแคว้นต้องถอยจากชายแดนแคว้นตนเองไปห้าสิบลี้ ผู้เข้าร่วมเจรจาจากทั้งสองฝ่ายมีฝ่ายละสิบคน ทหารองครักษ์อีกฝ่ายละยี่สิบคน ต่างห้ามพกพาอาวุธ ทั้งสองฝ่ายเมื่อนับรวมกันแล้วก็ไม่ถึงหนึ่งร้อยคน
เห็นชัดว่าชาวทูเจวี๋ยมีความจริงใจมากเป็นพิเศษ ลู่ตงจ้านปาเต๋อหลู่รวมถึงผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลังพวกมันต่างสวมชุดชนเผ่านอกด่านหลวมกว้าง เพื่อแสดงว่าไม่ได้ซุกซ่อนอาวุธ
เมื่อเห็นคณะชาวต้าหัวที่เดินมาจากสถานที่อันห่างไกล ลู่ตงจ้านเป็นฝ่ายนำรับหน้า ใช้มือหนึ่งแตะหน้าอกเป็นฝ่ายแสดงการคารวะก่อน “แม่ทัพเฒ่าหลี่ กุนซือสวี ลู่ตงจ้านขอคารวะ ผู้นี้คือปาเต๋อหลู่อ๋องซ้ายทูเจวี๋ยของเรา”
ปาเต๋อหลู่ผู้นั้นไหล่หนาเอวใหญ่ ท่าทางดุร้าย เมื่อเห็นชาวต้าหัวก็ถลึงตาใส่พร้อมแค่นเสียงอย่างมีน้ำโหคราหนึ่ง ทว่าท่านจอมทัพกลับปราศจากความกริ่งเกรง หัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้าก็คือแม่ทัพปาเต๋อหลู่? ศึกที่อู่หยวน หลายหมื่นที่ต้าหัวเรากำจัดไปนั่นเป็นลูกน้องของเจ้า?!”
นี่ก็คือไม่อยากให้พูดเรื่องไหนก็ดันมาพูดเรื่องนั้น อ๋องซ้ายสีหน้าแปรเปลี่ยน ขณะกำลังจะอาละวาดกลับได้ยินเสียงแค่นลมหายใจของสตรีดังแว่วมาเบาๆ ปาเต๋อหลู่หน้าตาบึ้งตึง ไม่เอ่ยวาจา
ทั้งสองฝ่ายเดินเข้าไปในปะรำ ลู่ตงจ้านเชิญให้แม่ทัพหลี่ไท่กับกุนซือสวีนั่งลง ส่วนมันกับปาเต๋อหลู่กลับยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่ได้นั่งประจำที่
“ราชครูลู่ตงจ้าน แม่ทัพปาเต๋อหลู่ เหตใดถึงไม่นั่งประจำที่?!” คุณหนูสวีแย้มยิ้มพลางเอ่ยถาม
ขุนนางสำคัญชาวทูเจวี๋ยทั้งสองส่ายหน้าเบาๆ ใช้มือเดียวแตะหน้าอกพร้อมกัน จากนั้นก็ค้อมกายแล้วจากไป
ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังแบ่งออกเป็นสองฟาก บริเวณกึ่งกลางปรากฏเงาร่างงดงามร่างหนึ่ง นางยืนนิ่งอย่างเงียบงัน ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา สีขาวที่แต่งแต้มบริเวณจอนผมทั้งสองข้าง ประหนึ่งดอกนุ่นอันสูงส่งบริสุทธิ์มากที่สุดบนทุ่งหญ้า