ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 613 เปิดเผย
เรือนผมดำดั่งเมฆาเกล้าขึ้นสูง เปล่งประกายแวววาวราวกับหมึก เสียบปิ่นทอง ประหนึ่งฝังลงไปในเส้นผมอันดำขลับและเรียบลื่นนั้น นางสวมหมวกน้อยสีเหลืองทอง พู่ระย้าสองสายแกว่งไกวเบาๆ ข้างใบหู สูงสง่ามีราศี รูปโฉมและเรือนร่างงดงาม ชุดกระโปรงชนเผ่านอกด่านสีทองลากพื้นหญ้าเบาๆ ลอยแผ่สยายดังเมฆา เจิดจ้ายิ่งกว่าดวงตะวัน
ผิวพรรณนางขาวกระจ่างใสคล้ายบัวหิมะแห่งเทียนซาน ลำคอระหงดั่งหงส์ฟ้ารัดเชือกสีแดงเส้นบางๆ เส้นหนึ่ง เหรียญอีแปะต้าหัวเหรียญหนึ่งห้อยอยู่ตรงหน้าอกอันอวบอิ่มของนาง ปรางแก้มอันอ่อนโยนงดงามแผ่ประกายเรืองรองบางๆ ดั่งจมูกงามดั่งหยกเขาแกะสลัก มุมปากสีแดงชุ่มชื้นหยักยกเล็กน้อยราวกับจันทร์เสี้ยวบนขอบฟ้า
สิ่งที่ทำให้คนตราตรึงใจมากที่สุดก็คือบริเวณโคนจอนผมของนางแต้มสีขาวราวหิมะไว้ทั้งสองข้าง บริสุทธิ์ผุดผ่อง งดงามไร้ที่ติดั่งดอกนุ่น ท่ามกลางความเงียบงันยิ่งเพิ่มความสูงส่งและงดงามเย็นชาอันน่าตื่นตะลึงขึ้นอีก ทำให้คนมิอาจลืมเลือนได้ตลอดกาล
นางยืนอย่างสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น ลอยล่องเบาๆ ดั่งขนนก ดวงตาอันล้ำลึกทั้งสองข้างประหนึ่งน้ำแข็งเย็นหมื่นปี ไม่อาจสัมผัสความอบอุ่นใดๆ ได้
“เจ้า เจ้าคือ…” คุณหนูสวีลุกยืนขึ้นมาทันที สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว มือสั่นเทาเล็กน้อย
“ข้าชื่ออวี้เจีย และมีคนชอบเรียกข้าว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์” สตรีผู้นั้นหรุบตาลงพร้อมส่ายหน้าเบาๆ “เพียงแต่นี่ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า พวกเจ้าเรียกข้าว่าข่านดาบทองก็ได้!”
สวีจื่อฉิงกัดฟันกรอด ร่างกายสั่นเทาอย่างรุนแรง น้ำตาไหลพรากดั่งสายฝน “เป็นเจ้าจริงด้วย เป็นเจ้าที่ฆ่าเขา!”
ข่านใหญ่ดาบทองมองนางด้วยท่าทีเฉยชา เอ่ยเรียบๆ ออกมาว่า “คุณหนูสวีร้องไห้เพราะเรื่องนี้? หรือว่าข้าไปฆ่าคนรักของเจ้า?”
สวีจื่อฉิงเช็ดน้ำตา รีบพูดออกมาว่า “เป็นคนรักของข้าแล้วจะทำไม ข้าชอบเขา! ก็ดีกว่าบางคนที่ต้องอยู่ในฝันร้ายทั้งชาติมากนัก!”
“คุณหนูสวีมีความกล้ามาก” ข่านใหญ่เอ่ยเบาๆ “เพียงแต่เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าการมีชีวิตอยู่ในฝันร้ายจะไม่ใช่ความสุขอย่างหนึ่ง”
อวี้เจียผู้นี้แม้จะเป็นชาวทูเจวี๋ย ทว่ากลับมีไหวพริบปฏิภาณเฉียบไว คารมคมคาย สิ่งนั้นเมื่ออยู่กับความสูงส่งและความงดงามเย็นชาที่มีมาแต่กำเนิดก็ยิ่งทำให้ผู้คนจดจำตราตรึง การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของนางทำให้กุนซือสวีนึกถึงคนที่สิ้นชีพใต้ธนูของนางผู้นั้นทันที อารมณ์พลันพลุ่งพล่าน ผ่านไปเนิ่นนานก็ยากจะสงบลงได้
หลี่ไท่รีบส่งสายตาให้สวีจื่อฉิง ยืนขึ้นพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ที่แท้ผู้นี้ก็คือข่านใหญ่ทูเจวี๋ยที่ยิงธนูสามดอกต่อเนื่อง ช่างสมเป็นยอดวีรสตรีเสียจริง แม้พวกเราจะมีฐานะเป็นศัตรูกัน แต่นายทหารใต้บังคับบัญชาของข้าก็ยังคงชื่นชมฝีมือการยิงธนูของข่านใหญ่อยู่ดี! ผู้ที่ยิงต่อเนื่องสามดอกได้ ใต้หล้านี้ไม่อาจหาคนที่สองได้อีก ข้าเองก็ยังละอายใจว่ามิอาจสู้ได้”
คำชมเชยของหลี่ไท่ออกมาจากใจจริง หลายร้อยปีมานี้ ไม่ว่าจะเป็นต้าหัวหรือว่าทูเจวี๋ย ผู้ที่มีฝีมือในการยิงธนูอย่างน่าอัศจรรย์เช่นนี้ก็มีแค่คนสองคนเท่านั้น เมื่อดูจากการที่อ๋องซ้ายทูเจวี๋ยซึ่งเดิมทีเป็นคนหยิ่งผยองแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอวี้เจียกลับยังไม่กล้าทำตัวเหิมเกริมตามอำเภอใจก็รู้แล้วว่าการยิงธนูต่อเนื่องสามดอกนี้สร้างความตื่นตะลึงให้ชาวทูเจวี๋ย สตรีผู้อ่อนแอนางหนึ่งทำได้ถึงขั้นนี้ก็เพียงพอให้ภาคภูมิใจแล้ว
ถึงกระนั้นอวี้เจียกลับสีหน้าไร้ความรู้สึก ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “แม่ทัพเฒ่าหลี่ไท่กล่าวชมเกินไปแล้ว ฝีมือการยิงธนูก็แค่ทักษะอย่างหนึ่งเท่านั้น เรียนรู้และฝึกฝนอย่างพากเพียรก็จะทำได้ มีเพียงความฉลาดและสติปัญญาเท่านั้นถึงเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากบนโลกนี้ เฉกเช่นทัพอัศจรรย์ที่ล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้าของพวกท่านนี้ คนที่กล้าหาญและชาญฉลาดเท่านั้นถึงจะมีความคิดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ตามความเห็นของอวี้เจีย ความคิดอันลึกซึ้งเช่นนี้จะต้องมาจากกุนซือต้าหัวแน่ใช่หรือไม่?!”
สายตาดั่งน้ำแข็งของข่านใหญ่ไปอยู่บนใบหน้าคุณหนูสวี รอยยิ้มหยันภายในดวงตามองเห็นอย่างชัดเจน
สวีจื่อฉิงใจดุดมีดกรีด กล่าวเสียงอ่อนโยนออกมาว่า “มีคนผู้หนึ่ง เขาฉลาดกว่าข้ามาก ความคิดนี้เป็นเขาที่เสนอออกมา เพียงแต่ต่อให้เขาฉลาดอีกสักเพียงใด ฝีมือยิงธนูอันยอดเยี่ยมของท่านข่าน สามดอกยิงต่อเนื่อง ช่างแม่นยำยิ่งนัก ไม่เบี่ยงเบนแม้แต่น้อย เยี่ยม! ข้าคิดว่าคุณหนูอวี้เจียจะต้องยินดีมากแน่นอน!”
ข่านใหญ่ทูเจวี๋ยขบกรามแน่น หน้าค่อยๆ ซีดเผือด คุณหนูสวีรู้สึกสะใจเล็กน้อย เมื่อลองสัมผัสดูอีกครั้งกลับเพิ่มความรวดร้าวขึ้นมา
ภายในปะรำเงียบสงัด หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดอวี้เจียก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ นั่งลงอย่างแช่มช้า ลู่ตงจ้านกับปาเต๋อหลู่ยืนอยู่ข้างหลังนางด้วยความเคารพ
“ในเมื่อเป็นการเจรจา เช่นนั้นก็กล่าวกันอย่างเปิดอก” น้ำเสียงอวี้เจียค่อยๆ เย็นชา ดวงตากลับมากระจ่างใส “ราชครู เจ้าจงแจ้งเงื่อนไขทางฝั่งเราให้ให้จอมทัพหลี่กับกุนซือสวีทราบ ให้พวกเขานำไปเสนอฮ่องเต้ต้าหัวอีกที”
ลู่ตงจ้านผงกศีรษะ เอ่ยเสียงดังออกมาว่า “ขอจอมทัพหลี่และกุนซือสวีโปรดกราบทูลฮ่องเต้ของท่านให้ทรงทราบ ขอเพียงแคว้นของท่านปล่อยตัวท่านข่านน้อยกับอ๋องขวาของพวกเราทันที ทูเจวี๋ยเราขอรับรองว่าอย่างน้อยภายในห้าปีจะหยุดพักการรบ ไม่รุกรานชายแดนต้าหัวอีกแม้แต่ก้าวเดียว ขณะเดียวกัน ข่านใหญ่ของเราทรงยินดีมอบวัวและแพะหนึ่งพันตัว สาวงามหนึ่งร้อยคน ม้าเหงื่อโลหิตสิบตัวแก่ต้าหัวเพื่อแสดงเจตนาอันดีในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ของสองแว่นแคว้น”
“กล่าววาจาใหญ่โตนัก!” คุณหนูสวีได้ยินแล้วก็ขนคิ้วตั้งชัน กล่าวเย้ยหยันเย็นชาออกมาว่า “หยุดพักการรบในระยะห้าปี ไม่รุกรานชายแดนของเราอีก? ฟังจากคำพูดของราชครูกลับเหมือนทูเจวี๋ยของพวกเจ้ารบชนะเยี่ยงนั้น ข่านใหญ่ ตอนนี้ผู้ใดขอร้องผู้ใด เจ้าก็ไม่เข้าใจหรือ? หากต้องการเสนอเงื่อนไข ยังไม่ถึงคราวชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้ากระมัง!”
ข่านใหญ่ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา เพียงเหล่มองลู่ตงจ้านคราหนึ่ง ราชครูทูเจวี๋ยจึงรีบพูดออกมาว่า “ข้าคิดว่ากุนซือสวีเข้าใจผิดแล้ว พวกเราชาวทูเจวี๋ยไม่เคยขอร้องผู้ใด ที่พวกเราเจราจากันตอนนี้มันก็แค่การแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมเท่านั้น!”
อวี้เจียผู้นี้ไม่เพียงความต้องการจะไร้เหตุผล แม้แต่การพูดจาก็ไม่ยอมเอ่ยแม้แต่ประโยคเดียว! สวีจื่อฉิงโมโหจนหน้าซีด เบือนหน้าไปทันที คร้านที่จะมองนาง
หลี่ไท่ก็เดือดดาลแล้วเช่นกัน “แลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมอะไรกัน? พักรบไม่กี่ปี วัวแพะพันตัวก็เอามาแลกข่านน้อยกับอ๋องขวาที่มีความสำคัญมากต่อทูเจวี๋ยได้แล้วหรือ? ลู่ตงจ้าน นี่คือการแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมที่เจ้าว่าอย่างนั้นรึ?! ข้ากลับเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก”
อวี้เจียหรี่ดวงตาทั้งสองลงเล็กน้อย ไม่เปล่งวาจา ลู่ตงจ้านพูดว่า “แม่ทัพหลี่ ท่านข่านดาบทองตรัสว่าอ๋องขวากับข่านน้อยเป็นชายชาตรีชาวทูเจวี๋ย เสียสละเพื่อบ้านเมืองเป็นเรื่องที่สมเหตุผล หากต้าหัวคิดจะเอาชีวิตของพวกเขามาข่มขู่ นั่นถือเป็นการแลกชีวิตจนจบสิ้นทั้งสองฝ่ายเท่านั้น ขอเพียงพวกท่านแตะต้องนิ้วของท่านข่านน้อยแม้แต่นิ้วเดียว ทูเจวี๋ยเราก็จะตอบแทนเป็นร้อยเท่าด้วยเช่นกัน”
“การแลกชีวิตจนจบสิ้นทั้งสองฝ่ายแล้วจะทำไม? ต้าหัวรายังต้องกลัวพวกเจ้าด้วยหรือ?!” คุณหนูสวีคิ้วตั้ง ชี้หน้าอวี้เจียแล้วพูดว่า “ข่านใหญ่ดาบทอง เจ้าไม่กล้าพูดกับพวกเราซึ่งๆ หน้าอย่างนั้นหรือ?!”
อวี้เจียถอนหายใจแล้วลุกขึ้น เดินออกนอกปะรำไปย่างแช่มช้า ฝีเท้าแผ่วเบานุ่มนวล ถึงกระนั้นกลับแน่วแน่อย่างบอกไม่ถูก เมื่อเดินไปถึงทางออก จู่ๆ นางก็ยืนนิ่ง
“คุณหนูสวี ขออภัยที่ข้ากล่าวตามตรง ทอดสายตาไปทั่วต้าหัว ผู้ที่มีคุณสมบัติคู่ควรกับข้ามีเพียงคนเดียวเท่านั้น!” นางส่ายศีรษะเบาๆ น้ำเสียงอ่อนโยนกระจ่างใสอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกำลังหวนรำลึกอะไรบางอย่าง แม้ว่ามันจะค่อยๆ เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว น้ำตาสองสายไหลรินอย่างเงียบงัน “เพียงแต่น่าเสียดาย…เขาตายไปแล้ว!”
นางย่างก้าวเบา ๆ ออกไป จอนผมสีขาวปลิวไสวเบาๆ ท่ามกลางสายลมอ่อนบนทุ่งหญ้าราวกับปุยฝ้ายอันงดงาม……
….
“ฮัดชิ้ว!” เพิ่งเดินออกจากทางเข้าจุดพักของทางการก็จามอย่างแรง โจรน้อยเช็ดน้ำมูก เหลียวซ้ายแลขวา จากนั้นก็หัวเราะร่าพร้อมพูดว่า “นี่ใครกำลังคิดถึงข้าอยู่นะ? ชิงเสวียนหรือว่าเซียนเอ๋อร์ หรือว่าทุกคนจะคิดถึงพร้อมกัน?!”
หนิงอวี่ซีดึงกระชับชุดเขาให้แน่นขึ้นอีกนิด จากนั้นจึงเอ่ยเบาๆ “ให้เจ้าสวมเสื้อให้มากอีกนิด แต่เจ้าก็ดันไม่ฟังข้าอีก นี่เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส หากเป็นหวัดขึ้นมาอีก นั่นจะทำเช่นไร?”
เมืองซิงชิ่งในเดือนเจ็ดดวงตะวันร้อนแรงดั่งเปลวเพลิง ทุกคนอยากจะแก้ผ้าเดินเหินให้มันรู้แล้วรู้รอดไป แต่ดันมีแต่เขาที่ห่อหุ้มหนาเตอะเหมือนถุงทราย เมื่อไปเดินมาท่ามกลางฝูงชน ใครจะมองเขาเป็นครั้งที่สองบ้าง?
โรคภัยมาดั่งภูผาถล่ม โลกภัยจรลีดั่งปั่นเส้นไหม ธนูของอวี้เจียนี้ช่างทรมานเขาแทบเป็นแทบตายเสียจริง กลางคืนเหงื่อออกท่วมตัว ส่วนกลางวันกลับหนาวสั่นไปทั้งร่าง หนึ่งร้อนหนึ่งหนาวนี้เขาทำใจไว้แล้ว หากไม่ใช่มีนางเซียนซึ่งมีฝีมือทางการแพทย์สูงส่งเช่นนี้อยู่ข้างกาย เขาจะทนไหวหรือเปล่าก็ยังพูดยากจริงๆ
“จดหมายทางบ้านถึงเมืองหลวง ม้าที่เร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลายี่สิบกว่าวันกระมัง” เขาหอบหายใจพร้อมส่ายหน้าอย่างจนใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ “ตอนเขียนจดหมายเป็นช่วงหน้าร้อนที่ร้อนมากที่สุด พอถึงเมืองหลวงกลับเป็นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว นี่เขาเรียกว่าดาวเหนือเคลื่อนดวงดาราย้าย สุริยันจันทราผันผ่านดั่งกระสวยทอผ้า เขียนได้ไม่กี่ฉบับก็ใช้ชีวิตหมดไปชาติหนึ่งแล้ว”
นางเซียนผงกศีรษะ เอ่ยด้วยเสียงอันอ่อนโยน “ในเมื่อเจ้าเป็นทหารหนีทัพ ไม่อยากจะสนใจเรื่องทางนี้อีก เช่นนั้นไม่สู้หนีให้มันถึงที่สุดสักหน่อย พวกเรากลับเมืองหลวงไปเลย พวกนางกำลังรอเจ้าอยู่ที่บ้านอยู่นะ!”
ความคิดนี้วูบอยู่ในใจมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว กลับไปเมืองหลวง เฝ้าอยู่ข้างกายชิงเสวียน ดูนางคลอดลูก ไหนเลยจะไม่มีความสุขมากกว่าการอยู่ที่นี่? ต่อให้หลี่ไท่ลงโทษข้าสถานหนักเรื่องหนีทัพ ข้าก็ยอม
“พี่สาว ท่านยินดีกลับไปกับข้าจริงหรือ?!” เขาจับมือนางเซียนหนิง มองดวงหน้าอันงามพิลาสของนางพร้อมเอ่ยถามเสียงเบา
หนิงอวี่ซีย่อมรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นหมายถึงอะไร ดังนั้นจึงอดหน้าร้อน ใจประหวั่นลนลานไม่ได้ นางรีบก้มหน้าแล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับยอดเขาเชียนเจวี๋ย!”
“เป็นไปไม่ได้น่า!” หลินหว่านหรงตกใจจนหน้าถอดสี “พี่สาว พวกเราก็เป็นแบบนี้แล้ว ท่านยังอยากจะกลับไปที่นั่นทำอะไรอีก?! ด้วยสภาพร่างกายของข้าตอนนี้ การปีนขึ้นยอดเขาไม่ใช่จุดแข็งของข้าเลยน้า”
นางเซียนกล่าวระคนหัวเราะ “หากเจ้ากลับเมืองหลวงก็ต้องกลับบ้านก่อน เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย บนยอดเขาเชียนเจวี๋ยแห่งนั้นไม่มีที่ให้เจ้าอยู่!”
“ไม่มีที่ให้ข้าอยู่?! เป็นไปไม่ได้น่า ข้ามีข้อแม้น้อยมากเลยนะ ทุกคืนกอดพี่สาวนอนก็ได้แล้วล่ะ…”
หนิงอวี่ซีแย้มยิ้ม ส่ายหน้ายืนกราน โจรน้อยถอนหายใจอย่างหม่นหมอง ก้มหน้าลงไปอย่างเงียบงัน “พูดแบบนี้ พี่สาวนางเซียน สุดท้ายท่านก็ยังไปจากข้าอยู่ดีหรือ? เช่นนั้นก็ได้ ข้าไปพาดเชือกบนยอดเขาเชียนเจวี๋ยแล้วปีนไปก็ได้ ผ้าปูเตียง เสื้อผ้า รองเท้าถุงเท้ากางเกงใน เตรียมไปเองทั้งหมด!”
นางเซียนหน้าแดงพลางมองค้อนเขา “เจ้าล้อเล่นอีกแล้วใช่หรือไม่ หากเจ้าปีนเชือกนั้นจริงจะไม่เอาชีวิตข้าแล้วหรือ?! หากข้าตามเจ้ากลับไปโดยไม่บอกกล่าวสักคำ นั่นไม่ใช่เอาชีวิตชิงเสวียนอีกหรือ?! นี่จะไม่วุ่นวายกันใหญ่หรือ”
“จริงด้วย” เขาปรบมืออย่างแรงทันที “ทำไมข้าถึงลืมเรื่องนี้ไปได้นะ! รบก็รบกันพอสมควรแล้ว คราวนี้พอกลับไป รอให้ชิงเสวียนคลอดลูกแล้ว ข้าจะคุยกับนางดีๆ พวกเรามักจะแอบลักลอบพบกันเสมอ แม้จะเร้าใจมาก แต่ก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้อยู่ดีนะ!”
“ใครแอบลักลอบพบกับเจ้า?!” นางเซียนส่งเสียงเหอะ ทันใดนั้นก็ถอนหายใจแผ่วเบาออกมา “การบำเพ็ญในชีวิตนี้ของข้าถือว่าถูกทำลายด้วยมือเจ้าแล้ว หากเจ้ามีความกล้าที่จะบอกชิงเสวียนให้แจ่มแจ้ง เช่นนั้นก็ให้มาหาข้า หากเจ้าทำให้นางหงุดหงิดใจ ข้าก็ไม่มีหน้าจะพบนาง เจ้าเองก็ไม่ต้องหาข้าที่ยอดเขาเชียนเจวี๋ยตลอดกาล”
“เข้าใจๆ” เรื่องสตรีเขาขวัญกล้าเทียมฟ้า เขาจับมือพี่สาวนางเซียน ตบหน้าอกตนเสียงดังปักๆ โดยไม่ต้องคิด “พี่สาววางใจ ทุกอย่างให้ข้าจัดการ! เช่นนั้นก็เอาตามนี้ คืนนี้พวกเราเก็บสัมภาระ พรุ่งนี้เช้าตรู่เดินทางกลับเมืองหลวง”
ช่วงเวลานี้ช่างสมกับคำว่าใจที่อยากกลับบ้านดั่งลูกธนูที่หลุดออกจากแล่งเสียจริง ทูเจวี๋ยอะไร อวี้เจียอะไร ไปตายให้หมดไป ข้าไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น
คุณหนูใหญ่ เซียนเอ๋อร์ เฉี่ยวเฉี่ยว ชิงเสวียน ข้ากลับมาแล้ว เขาน้ำตาร้อนคลอเบ้าด้วยความตื่นเต้นในบัดดล จับมือน้อยของนางเซียนหันหน้าแล้วเดินไป เพิ่งจะหมุนกายก็รู้สึกว่ามีกลิ่นหอมสะอาดพัดผ่านใบหน้า ร่างกายกระแทกเบาๆ คล้ายชนกับผ้าแพรไหมอันอ่อนนุ่มกลุ่มหนึ่ง ความรู้สึกอ่อนโยนและอ่อนนุ่มนั้นคลับคล้ายคลับคลาว่าคุ้นเคย
“ใครเอาดอกฝ้ายมาชนข้า…” เขาเงยหน้าด้วยความเดือดดาล ทว่ากลับต้องร้องอ๊ะออกมาคราหนึ่ง อ้าปากค้างแน่นิ่งไป
เส้นผมที่แผ่สยายยุ่งเหยิง ดวงหน้างดงามซูบผอม เรือนร่างอวบอิ่มสั่นเทาอย่างรุนแรง นางจ้องมองเขา น้ำตาไหลพรากดั่งห่าฝนเดือนหก บนถนนยาวที่อยู่ข้างหลังพลันมีอาชานับหมื่นวิ่งห้อตะบึง ปฐพีสั่นสะเทือนภายในชั่วพริบตา “ไป! ไป!” ทหารม้าจำนวนนับไม่ถ้วนกรูเข้ามา เหยียบย่ำถนนสายยาวจนพังทลาย
“คุณ คุณหนูสวี เจ้า เจ้ามาได้อย่างไร…”
“ข้าจะอัดเจ้าคนใจไม้ไส้ระกำเช่นเจ้า!” สวีจื่อฉิงตวาดอย่างรุนแรงคราหนึ่ง น้ำตาอันไร้จุดสิ้นสุดกลายสภาพเป็นสายฝนโปรยปรายเต็มท้องฟ้า กำปั้นดั่งสายฟ้าแลบ พุ่งโจมตีหน้าอกเขาราวกับโผบิน
“อ๊ะ อย่าทุบ อย่าทุบข้าไม่ได้เจตนาจริงๆ ข้าเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บนะ” เขาตกใจจนหันกายแล้ววิ่งหนี สวีจื่อฉิงยืนนิ่งเหม่อมองเขา ทันใดนั้นก็ส่งเสียงโฮออกมา ปิดใบหน้าแล้วร้องไห้อย่างรุนแรง ชักเท้าแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
นี่มันอะไรกัน? ข้าเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บจริงๆ นะ! เขาส่ายหน้า ทั้งยินดีทั้งรวดร้าวใจ
“ฮี้!” เสียงร้องของม้าที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่นทำให้เขาตกใจสะดุ้งโหยง เห็นว่าบนถนนที่ทอดยาวนั้นเต็มไปด้วยหัวคนและหัวม้า แน่นขนัดไปหมด มีถึงหลายหมื่นได้
“ท่านแม่ทัพ!” หูปู้กุย ตู้ซิวหยวน เกาฉิว สวี่เจิ้น หลี่อู่หลิง นายทหารจำนวนหลายหมื่นต่างประคองดาบพร้อมเพรียงกัน เสียงดังพรึบคราหนึ่ง ทุกคนต่างคุกเข่าลงไม่ยอมลุกขึ้น น้ำตาไหลพรากราวกับน้ำทะลักเขื่อน ไหลบ่าอย่างบ้าคลั่งไม่ยอมหยุด