ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 614 สั่งสอน
“ลุกขึ้นเถอะ รีบลุกขึ้นเร็ว” เขายื่นมือทั้งสองข้างไปประคองพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายตรงหน้าเหล่านี้ น้ำตาคลอเบ้ามาตั้งแต่แรก “ข้าก็แค่ขอลาพักร้อนสักหลายวัน ไปเที่ยวซ่องดื่มน้ำชาก็เท่านั้นเอง แบบนี้ก็ถูกพวกท่านตามจับตัวด้วยหรือ?!”
พวกของหูปู้กุย เกาฉิว ตู้ซิวหยวนต่างสบตากัน ทันใดนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังพร้อมกรูเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ที่ยกขาก็ยกขาไป ที่กอดศีรษะศีรษะไป ยกตัวเขาขึ้นจากนั้นก็พยายามออกแรงโยนขึ้นกลางอากาศ “เฮ! เฮ!” ตาลายเหลือเกิน! เขาตกใจจนรีบร้องเสียงดังออกมา “ข้าเป็นโรคกลัวความสูงนะ! นี่ เหล่าเกาอย่ามาลูบคลำข้า! มารดามัน ใครถอดกางเกงข้า?!”
ใครยังจะไปสนใจเขาอีก! นายทหารจำนวนนับไม่ถ้วนกรูเข้ามาแล้วรับร่างที่ร่วงลงมาของเขา จากนั้นก็โยนขึ้นสูงอีกครา เสียงหัวเราะและน้ำตาแห่งความยินดีต่างแผ่กระจายไปทั่ว
ข้าเป็นทหารหนีทัพที่ล้มเหลวแล้วจริงๆ! มองดูใบหน้าที่หลังน้ำตาด้วยความตื่นเต้นแต่ละใบหน้าตรงหน้า เขาก็ทอดถอนใจ ส่ายหน้าด้วยความอับจนปัญญา ทั้งอยากหัวเราะแล้วอยากร้องไห้ “ข้าก็เคยพูดแล้วนี่นา คนดีถึงจะอายุสั้น ส่วนคนเลวจะต้องอยู่ถึงพันปี” เกาฉิววางร่างเขาลงพร้อมเช็ดน้ำตา หัวเราะร่วนแล้วพูดว่า “น้องหลิน ยังมีอายุขัยอีกตั้งหลายร้อยปี ไหนเลยจะตายง่ายดายเยี่ยงนั้นได้?!”
“ใช่ๆ” หูปู้กุยหัวเราะฮ่าๆ “เหล่าเกา ไม่ขอปิดบังเจ้า เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเจ้าพูดจาเข้าหูขนาดนี้!”
ตู้ซิวหยวนเฝ้ารักษาการณ์อยู่แนวหลัง ไม่เคยเข้าทุ่งหญ้าไปพร้อมกับพวกเขา เขาเป็นคนสุขุมเยือกเย็น เมื่อเห็นใบหน้าที่ขาวซีดของหลินหว่านหรงก็อดกล่าวด้วยความห่วงใยออกมาไม่ได้ “ท่านแม่ทัพ อาการบาดเจ็บของท่าน…”
หลินหว่านหรงผงกศีรษะ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ตู้ ทุกคืนท่านหาสาวน้อยมาให้ข้าสักหลายคน มาทุบขานวดหลัง ทำห้องอบไอน้ำอาบซาวน่า เชื่อว่าไม่เกิน แปดปีสิบปี ข้าก็หายเป็นปกติ”
“ข้าก็คิดนะขอรับ เพียงแต่กลัวว่าบรรดาฮูหยินที่บ้านของท่านจะไม่ตกลง!” ตู้ซิวหยวนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
เมื่อแผนทหารหนีทัพล้มเหลวไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะกลับไปทันก่อนชิงเสวียนคลอดลูกหรือไม่ เขาทั้งรู้สึกเสียดาย และทั้งรู้สึกยินดี ได้พบกับเหล่าพี่น้องใต้บังคับบัญชาที่พ้นคราเคราะห์รอดกลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกนั้นหากไม่ใช่เจ้าตัวก็คงยากจะสัมผัสได้
ไพร่พลจำนวนหลายหมื่นคนห้อมล้อมเขา ห้อตะบึงไปยังค่ายใหญ่ด้วยความคึกคัก เล่าประสบการณ์หลังจากแยกจากกันมาตลอดทาง ถือว่าเดินวนเวียนอยู่หน้าปากประตูผีมาหลายรอบแล้วจริงๆ ทุกคนต่างรู้สึกทอดถอนใจยิ่งนัก
ยังไม่ทันเข้ากระโจมบัญชาการ หลี่ไท่ซึ่งผมเผ้าหงอกขาวก็ออกมาต้อนรับแล้ว หลินหว่านหรงรีบเดินไปข้างหน้าสองก้าว หัวเราะร่วนพลางประสานมือคารวะ “คารวะท่านจอมทัพหลี่! ไม่ได้พบกันนาน สุขภาพท่านจอมทัพแข็งแรง ย่างก้าวมั่นคง ดูดีกว่าแต่ก่อนเสียอีก ช่างถือเป็นบุญของพวกเราเสียจริงขอรับ!”
“พูดจาน่าฟังไม่กี่ประโยคก็คิดว่าข้าจะไม่จัดการทหารหนีทัพเช่นเจ้าแล้วหรือ?” หลี่ไท่ตีหน้าขรึมพร้อมส่งเสียงฮึคราหนึ่ง “หนีออกจากสนามรบโดยพละการ รั้งอยู่ข้างนอกไม่ยอมกลับ เด็กๆ ลากตัวหลินซานออกไปแล้วโบยสองร้อยไม้!”
“ท่านจอมทัพ!” นายทหารหลายหมื่นนายตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกัน
หลินหว่านหรงไอแห้งๆ หลายครั้ง กล่าวด้วยความอับจนปัญญาออกมาว่า “ท่านจอมทัพอยากจะโบยก็โบยไปเถอะขอรับ อย่างไรเสียข้าก็เหลือแค่ครึ่งชีวิตแล้ว จะเอาให้ใครก็เหมือนกัน!”
ขู่เจ้าเด็กนี่ไม่ได้จริงๆ ด้วย! หลี่ไท่มองประเมินร่างกายเขาหลายครั้ง กล่าวโดยไม่อาจสะกดกลั้นหัวเราะได้ “เดิมทีก็อยากจะพออยู่หรอก ถือว่าเจ้ายังมีผลงานอยู่บ้าง ไม่ทำให้ข้าผิดหวัง! หนึ่งผลงานหนึ่งความผิดนี้ก็ถือว่าไม่มีรางวัลแล้วไม่ลงโทษก็แล้วกัน…เจ้าจะถลึงตามองทำไม ไม่ยอมรับหรือ?!
“ยอมขอรับ ยอมขอรับ!”หลินหว่านหรงมองค้อน ผงกศีรษะอย่างอารมณ์เสีย
จอมทัพยิ้มแย้มพร้อมเดินเข้าไปในกระโจมใหญ่ หลินหว่านหรงฮึดฮัดตามอยู่ข้างหลังเขา หงุดหงิดไม่พูดไม่จา
เมื่อเห็นท่าทางไม่พอใจของเขา ครั้นเห็นว่ารอบด้านปลอดคน หลี่ไท่จึงกดเสียงต่ำ กล่าวละคนหัวเราะออกมาว่า “เจ้าก็อย่าบ่นเลย! ไม่ใช่ข้าไม่ตบรางวัลเจ้า จะโทษก็ต้องโทษที่เจ้ามีผลงานยิ่งใหญ่มากเกินไป ต่อให้ข้าอยากตบรางวัล แต่ก็อยู่เหนือความสามารถนะ”
ไม่อยากตบรางวัลได้จริงๆ หากเอ่ยถึงตำแหน่งทางราชการ เขาเป็นแม่ทัพขวาแล้ว หากให้สูงขึ้นไปอีก ก็ต้องเป็นผู้นำสามทัพแทนหลี่ไท่ หากเอ่ยถึงชื่อเสียงก็ยิ่งเหมือนดวงตะวันยามเที่ยง ทัพเดี่ยวล้วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้า ใช้กำลังจับกุมตัวข่านทูเจวี๋ย นี่เป็นเรื่องที่หลายร้อยปีมานี้ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ถึงกระนั้นแต่ละเรื่องกลับเป็นจริงได้เพราะเขา เขาคือวีรบุรุษภายในใจชาวต้าหัวทุกคน เป็นบุคคลที่ใกล้เคียงเทพ
“ข้าตบรางวัลเจ้าไม่ได้ แต่ว่านะ มีคนผู้หนึ่งที่ตบรางวัลเจ้าได้” จอมทัพส่งม้วนผ้าแพรสีทองให้เขาพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ราชโองการของฝ่าบาท ดูเอาก็แล้วกัน!”
บนราชโองการนั้นเรียบง่าย มีอักษรแค่สี่ตัวเท่านั้น หลินหว่านหรงพูดด้วยความตกใจ “หลินซานตัดสิน…นี่มันหมายความว่าอะไร?!”
“นี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ?!” หลี่ไท่ยิ้ม มองเขาแฝงความนัยล้ำลึก “พระประสงค์ของฝ่าบาทก็คือการเจรจากับชาวทูเจวี๋ยให้เจ้ามีสิทธิ์ตัดสินใจทั้งหมด!”
เจรจากับชาวทูเจวี๋ย? ข้าเป็นคนตัดสินใจ?! เขาบังเกิดความรู้สึกอันรางเรือนบางอย่างขึ้นมาภายในใจ รีบส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า”
“ไม่ได้ๆ ข้าไม่ถนัดการเจรจา ยิ่งไปกว่านั้นช่วงนี้ยังได้รับบาดเจ็บอีก จิตใจและร่างกายเหนื่อยล้า การเจรจาครั้งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะทำได้ ท่านจอมทัพ ท่านรีบเขียนฎีกาถวายฝ่าบาท ขอพระองค์คืนรับสั่งเถอะ!”
หลี่ไท่ส่ายหน้าอย่างแช่มช้า “เรื่องนี้ทำให้ได้ พระประสงค์ของฝ่าบาทชัดเจนมากแล้ว นับแต่บัดนี้ข้ากับจื่อเอ๋อร์ต้องเชื่อฟังเจ้า ไม่เพียงแค่การเจรจา ไพร่พลที่อยู่ในมือข้าเหล่านี้ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องส่งมอบให้เจ้าเช่นกัน!”
“หา!” หลินหว่านหรงตื่นตระหนกยิ่งนัก
“มีอะไรให้ตกใจกันเล่า” จอมทัพยิ้มแย้มพร้อมมองเขา “ที่ข้าพาเจ้ามาก็เพื่อวันนี้! หลินซาน ข้าแก่แล้ว ได้ส่งมอบทหารเหล่านี้ให้เจ้าข้ารู้สึกวางใจมาก อาศัยความฉลาดและสติปัญญาของเจ้า อาศัยสถานะและบารมีของเจ้า ต่อให้พวกเขาไม่ถึงขั้นไร้เทียมทานแต่ก็ไม่มีวันเสียเปรียบแน่นอน!”
หลินหว่านหรงยิ้มขื่นพลางโบกมืออย่างต่อเนื่อง “ท่านจอมทัพ ท่านอย่าล้อเล่นเลย นอกจากออกความคิดแผลงๆ บางอย่างแล้ว ท่านเห็นว่าข้ามีคุณสมบัติเป็นจอมทัพหรือขอรับ?”
หลี่ไท่หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังพร้อมส่ายหน้า “หลินซานเอ๋ยหลินซาน เหตุใดเจ้าฉลาดเฉลียวมาทั้งชาติแต่กลับเลอะเลือนไปชั่วขณะได้นะ?!”
ข้าเลอะเลือนอย่างไร? เขามองจอมทัพด้วยความงุนงง
“จุดเด่นอันยิ่งใหญ่มากที่สุดของเจ้าคนนี้ก็คือความฉลาด มีฝีมือ มองคนออก ทำให้คนติดตามเจ้าอย่างศิโรราบ ข้ามอบทหารเหล่านี้ให้เจ้า เจ้าควบคุมนายทหารนับหมื่นนับแสนอยู่ในกำมือ แต่กลับไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นจอมทัพด้วยตัวเอง ขอเพียงเจ้ารู้จักใช้คนอย่างชาญฉลาด เลือกคนดีมีความสามารถที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีและรักษาหน้าที่มาปกครองทหารเหล่านี้ แล้วมันจะไปต่างอะไรกับการที่เจ้าคุมกำลังทหารด้วยตนเองอีก? ก็เหมือนที่ฝ่าบาททรงปฏิบัติต่อข้า…” หลี่ไท่ผงกศีรษะเบาๆ “นี่คือหลักการของผู้ที่อยู่เบื้องบน”
คำพูดของหลี่ไท่นี้ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เขากับสวีเว่ยมีฐานะเป็นแขนซ้ายแขนขวาของต้าหัว น้ำหนักของคำพูดนี้ไม่บอกก็รู้ได้
หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ สองครา “เอ่อ ข้าก็ไม่เคยคิดมากมายขนาดนั้น วันหลังค่อยว่ากันก็แล้วกัน ท่านแม่ทัพเฒ่า ท่านยังแข็งแรงอยู่เลยนะขอรับ”
เมื่อเห็นเขาบ่ายเบี่ยงครั้งแล้วครั้งเล่า หลี่ไท่ก็อับจนปัญญาเช่นกัน ดังนั้นจึงรีบเอ่ยว่า “เช่นนั้นเรื่องการเจรจากับชนเผ่านอกด่านล่ะ? ฝ่าบาทตรัสอย่างชัดเจนแล้ว เรื่องนี้มีแค่เจ้าที่ตัดสิน ผู้อื่นไม่อาจตัดสินใจได้”
การเจรจาถือเป็นเรื่องที่ทำลายสมองมากเรื่องหนึ่งจริงๆ เขาถอนหายใจอย่างขมขื่นพร้อมส่ายหน้า
แม่ทัพเฒ่าหลี่มองเขา กดเสียงต่ำ กล่าวอย่างมีเลศนัย “…ขอบอกข่าวเจ้าอีกอย่างหนึ่ง การเจรจาครั้งนี้ ชาวทูเจวี๋ยที่มานั้นคือข่านใหญ่ดาบทองผู้นั้น! หรือว่าเจ้าไม่อยากลองไปพบดู?!”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์มา?!
ใจเขารู้สึกขื่นขม ใช้มือหนึ่งแตะหน้าอกโดยไม่รู้ตัว ความเจ็บปวดรุนแรงยังไม่เลือนหาย ธนูดอกนั้นผูกความรักและบุญคุณความแค้นเอาไว้หมดเลยหรือ?!
ความรู้สึกสารพัดสารพันเอ่อท้นขึ้นมาในจิตใจ เขารีบประสานมือคารวะ “ท่านแม่ทัพเฒ่า การเจรจาไม่ใช่ความถนัดของข้า มิหนำซ้ำข้าเพิ่งได้รับบาดเจ็บ ช่วงนี้ไม่สะดวกที่จะเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ขอฝ่าบาททรงเลือกผู้อื่นเถอะขอรับ ขอลา!”
“หลินซาน หลินซาน…” หลี่ไท่เดิมทีคิดจะกระตุ้นความรู้สึกอยากเจรจาของเขาขึ้นมา ไหนเลยจะรู้ว่ากลับได้ผลตรงกันข้าม เมื่อได้ยินชื่อของอวี้เจีย เจ้าหนุ่มนี่กลับหันหัวแล้วจากไป เพียงชั่วพริบตาก็ออกไปนอกกระโจมแล้ว
“ท่านแมทัพ เป็นอย่างไรบ้าง ท่านจอมทัพพูดอะไรกับท่านหรือขอรับ?” พวกของหูปู้กุย เกาฉิว ตู้ซิวหยวนกำลังรอเขาอยู่ข้างนอก เมื่อเห็นเขาออกมาจึงรีบเข้าไปหา
ยังจะพูดอะไรได้? เขาส่ายหน้ายิ้มขื่น ผ่านไปเนิ่นนานถึงเอ่ยถามออกมา “พี่หู ชนเผ่านอกด่านพวกนั้นขังอยู่ที่ใด?!”
“อยู่ในค่ายใหญ่นี้ล่ะขอรับ ท่านแม่ทัพ ท่านอยากจะไปดูพวกเขาหรือไม่?!”
หลินหว่านหรงผงกศีรษะ พวกหูปู้กุยสามคนจึงรีบนำทางอยู่ข้างหน้า ผู้สูงศักดิ์และราชนิกูลทูเจวี๋ยที่จับตัวได้ในครั้งนี้มีทั้งหมดยี่สิบกว่าคน เมื่อหักผู้ที่ถูกสังหารใต้เมืองเค่อจือเอ่อร์ไป ที่เหลืออยู่ก็มีไม่ถึงสิบคน ในนั้นยังรวมถึงข่านน้อย ถูสั่วจั่ว และเจ้าคังหนิงสามคนอีกด้วย
ชาวทูเจวี๋ยทั้งหมดถูกมัดแขนขา แยกขังอยู่ในห้องศิลาลายห้อง มีทหารเฝ้าอยู่ ป้องกันอย่างหนาแน่น ถูสั่วจั่วถูกขังเดี่ยวอยู่ในห้องหนึ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดเครารกครึ้มเต็มใบหน้า ขาข้างที่หักห้อยอยู่กับพื้น ปราศจากท่าทางหล่อเหลาสูงสง่าในกาลก่อน เมื่อได้ยินเสียงมันก็เงยหน้าขึ้นมาท่ามกลางความมืดพร้อมจ้องมองอยู่นาน ทันใดนั้นก็ขู่คำรามตวาดเสียงดังลั่นออกมา “เจ้า เจ้าคือหลินซาน”
หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะ “ไม่ผิด ข้าคือหลินซาน! ยากนักที่ท่านอ๋องขวาจะจำข้าได้ ไม่เสียทีที่เราได้สนิทสนมกันในงานแข่งขันชิงแพะรอบหนึ่ง!”
ความคิดแค้นชิงชังทั้งเก่าและใหม่ขึ้นมาในจิตใจพร้อมกัน ถูสั่วจั่วลากขาข้างที่หักบุกเข้ามาราวกับเสียสติ จับซี่ลูกกรงเหล็กที่มีความหนาเท่ากับข้อมือของเด็กทารกพร้อมเปล่งเสียงขู่คำราม “เจ้าชาวต้าหัวผู้ต่ำช้าคนนี้ อวี้เจียเป็นของของข้า นางเป็นของข้า ข้าต้องการสู้ตัดสินกับเจ้า!”
ถ้าสู้ตัดสินกันแล้วแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ เช่นนั้นเรื่องราวบนโลกใบนี้ก็ง่ายดายลงไปมากอย่างไม่ต้องสงสัย หลินหว่านหรงถอนหายใจออกมาคราหนึ่งพลางส่ายหน้าเล็กน้อย ไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจา “หลินซาน เจ้ายังไม่ตายอีกหรือ?!” เสียงเด็กน้อยแว่วเข้ามา ข่านน้อยทูเจวี๋ยที่อยู่ทางนั้นเบิกตาโพลงมองเขาด้วยความเดือดดาล แม้ซาเอ่อร์มู่จะอายุยังน้อย ถึงกระนั้นก็เป็นนายแห่งทุ่งหญ้าในอนาคต เมื่อในอาภรณ์อันยุ่งเหยิง ก็ไม่เห็นความหดหู่ท้อถอยมากเท่าใดนัก สิ่งนี้เกิดจากการสั่งสอนที่เยวี่ยหยาเอ๋อร์มอบให้เขา
หลินหว่านหรงเข้าไปใกล้ ผงกศีรษะแล้วพูดว่า “ใช่ ข้ายังไม่ตาย!”
“เจ้าทำร้ายเสด็จพี่ของข้า เหตุใดเจ้าถึงยังไม่ไปตายอีก?!” ซาเอ่อร์มู่ตวาดด้วยน้ำเสียงมีโทสะ ยื่นมือและเท้าออกมา ออกแรงพยายามจับใบหน้าเขา
ขณะที่หูปู้กุยกำลังจะเข้าไปขวางอยู่เบื้องหน้า หลินหว่านหรงกลับส่ายหน้าออกมาเล็กน้อย “ซาเอ่อร์มู่ เจ้าสาปแช่งให้ข้าไปตายได้ แต่ว่าข้าไม่ได้ทำร้ายพี่สาวเจ้า”
“เจ้าโกหก!” ซาเอ่อร์มู่กล่าวอย่างมีน้ำโหโดยไม่ไว้ไมตรี “เสด็จพี่ของข้าชอบเจ้ามากขนาดนั้น แต่เจ้ากลับแกล้งเป็นใบ้มาหลอกนาง…”
“เช่นนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงต้องเดินทางรอนแรมไปที่เค่อจือเอ่อร์เพื่อแกล้งทำตัวเป็นคนใบ้?” หลินหว่านหรงตัดบทเขา เอ่ยอย่างเย็นชา
“เพราะต้าหัวของพวกเจ้ากับทูเจวี๋ยของเรากำลังรบกันอยู่…”
“แล้วเหตุใดต้าหัวกับทูเจวี๋ยถึงต้องรบกัน?!” หลินหว่านหรงหน้าบึ้ง “เป็นพวกเราชาวต้าหัวรังแกพวกเจ้าชาวทูเจวี๋ยอย่างนั้นหรือ? เป็นพวกเราชาวต้าหัวแย่งของของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?!”
“เพราะ เพราะ…” ข่านน้อยอ้ำอึ้ง พูดไม่ออก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่เด็กอายุห้าหกขวบคนหนึ่งเท่านั้น แนวความคิดเรื่องถูกและผิดหลายอย่างยังไม่มี จำเป็นต้องให้ผู้อื่นกรอกข้อมูลให้เขา
“ซาเอ่อร์มู่ เจ้าเป็นห่วงและเอาใจใส่พี่สาวเจ้า ข้าชื่นชมมาก ข้ารู้เช่นกันว่าเจ้าไม่อยากให้นางถูกทำร้าย” หลินหว่านหรงกล่าวอย่างเย็นชา “เพียงแต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเจ้าชาวทูเจวี๋ยบุกรุกต้าหัว เข่นฆ่าพี่น้องของข้าไปมากเท่าไหร่แล้ว?! เจ้าไม่อยากให้พี่สาวเจ้าถูกทำร้าย แต่เพราะเหตุใดถึงต้องการให้พี่น้องของผู้อื่นถูกทำร้าย?!”
“ข่านน้อย อย่าไปฟังมัน มันกำลังหลอกลวงพระองค์ เป็นมันที่ทำร้ายเสด็จพี่ของพระองค์!” ถูสั่วจั่วพลันพูดเสียงดังด้วยภาษาทูเจวี๋ย เหล่าหูแปลกลับมา หลินหว่านหรงเดือดดาลอย่างยิ่ง “ตบปากเจ้าสุนัขตัวนี้!”
เหล่าเกาพุ่งเข้าไปตบปากอย่างหนักหน่วงดังเพียะๆ หลายครั้ง ถูสั่วจั่วล้มหนักๆ ลงกับพื้น ฟันและโลหิตปลิวกระเด็น
ข่านน้อยเงยหน้าขึ้นมาอย่างดื้อดึง “เรื่องเหล่านี้ที่เจ้าพูด เสด็จพี่ของข้าไม่เคยบอกข้ามาก่อน ข้าไม่เชื่อ!”
ต้นตอของโลกก็ยังอยู่ที่ตัวของนังหนูอวี้เจียคนนี้อยู่ดีล่ะนะ! หลินหว่านหรงถอนหายใจ “ซาเอ่อร์มู่ ตัวเจ้าก็มีตา แล้วเห็นอะไรถึงไม่ไปดูด้วยตัวเอง? จากอู่หยวน เฮ่อหลานซาน จนมาถึงซิงชิ่ง ที่ใดบ้างไม่มีร่องรอยของไฟสงคราม? ที่ใดบ้างไม่มีโครงกระดูกของสหายร่วมอุทรชาวต้าหัวของข้า? หรือว่านี่จะเป็นเรื่องโกหก? นี่ไม่ใช่สิ่งที่ชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้าทำหรอกหรือ?”
ข่านน้อยคิดแล้วคิดอีก คิดจะโต้เถียง ถึงกระนั้นกลับพูดไม่ออก ผ่านไปเนิ่นนานถึงแค่นเสียงออกจมูก พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ถ้าอย่างนั้นเหตุใดเสด็จพี่ถึงไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กับข้ามาก่อนเลย?”
หลินหว่านหรงมีแผนอยู่ในใจ นี่ก็เหมือนกับการเขียนตัวอักษรลงบนกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง ใครเขียนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเขียนว่าอะไร
“คำถามนี้วันหลังถ้ามีโอกาสเจ้าก็ไปถามพี่สาวเจ้าด้วยตัวเองเถอะนะ” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ
ข่านน้อยเบิกตาโพลงด้วยความตื่นเต้นยินดี “หลินซาน ที่เจ้าพูดนี่จริงหรือ? ข้ายังกลับไปพบเสด็จพี่ของข้าได้อีกหรือ?!”
“นั่นมันแน่นอน ข้าไม่ใช่คนเลวเสียหน่อย!” หลินหว่านหรงหัวเราะพลางผงกศีรษะ “เจ้าแค่วางใจก็พอ ข้าไม่มีทางสร้างความลำบากให้เจ้าแน่นอน! วันหลังถ้ามีโอกาส ข้ายังจะพาเจ้าไปเดินเตร็ดเตร่ให้ทั่ว ไปดูว่าพวกเราชาวต้าหัวดีดสีตีเป่า แต่งโคลงกลอนวาดภาพ เย็บปักถักร้อย สร้างสิ่งปลูกสร้างและบ้านเรือนอย่างไร ข้ายังจะสอนเจ้าอ่านตำรารู้หนังสืออีกด้วย ให้อ่านตำราภาพสีจำนวนมากของต้าหัวเรา…อืม เป็นของที่ข้าชอบอ่านมากที่สุดทั้งหมด!”
สูงส่ง ช่างสูงส่งเสียเหลือเกิน! พวกของเหล่าหูได้ยินแล้วก็ตาโตอ้าปากค้าง ถ้าข่านน้อยเรียนรู้การดีดสีตีเป่าเขียนโครงกลอน การก่อสร้างและเย็บปักถักร้อย อ่านตำราภาพสีเหล่านี้ได้ แถมยังมีใต้เท้าหินเป็นผู้สั่งสอนด้วยตนเองอีก…โอยๆ พอกลับไปทุ่งหญ้า เขายังจะยกดาบได้อีกหรือ?!
“หลินซาน เจ้าดีกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เล็กน้อย!” สีหน้าของข่านน้อยเหมือนไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์มากขนาดนั้นแล้ว “ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามเจ้าคำถามหนึ่ง!”
“อืม เชิญตามสบาย!” หลินซานใบหน้าประดับรอยยิ้มที่เป็นมิตรมากที่สุด
ข่านน้อยเอนคอมองเขา “เจ้าชอบเสด็จพี่ของข้าหรือไม่?!”