ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 615 - 1 เจ้าตัดสินใจด้วยตัวเอง
“คำถามนี่น่ะเหรอ ไม่ค่อยเหมาะสมสำหรับเด็กอยู่บ้างนะ” หลินซานเหงื่อแตกท่วมร่าง หัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ซาเอ่อร์มู่ เจ้าอายุยังน้อยเกินไป อย่าถามเลยจะดีกว่านะ!”
ซาเอ่อร์มู่แค่นเสียง ใบหน้าของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความดูแคลน “โอ๊ย ชอบก็คือชอบ มีอะไรไม่กล้ายอมรับกัน?! บนทุ่งหญ้าของเรา ขอเพียงเป็นผู้หญิงที่ตัวเองชอบ ต่อให้ต้องแย่งก็ต้องแย่งนางกลับมาที่กระโจมให้จงได้ มาทำตัวลับๆ ล่อๆ หดหัวหดหางเช่นเจ้า อะไรก็ไม่กล้าพูด เป็นสิ่งที่ทำให้คนดูถูกมากที่สุด…เหตุใดเสด็จพี่ถึงชอบผีขวัญอ่อนเช่นเจ้านี้ได้นะ?!”
เจ้าเด็กนี่พอด่าขึ้นมากลับไม่เลอะเลือนนะ! หลินหว่านหรงฉีกปากหัวเราะแห้งๆ หลายครั้ง ฉวยโอกาสช่วงที่คนไม่สนใจแอบปาดเหงื่อเย็น หมุนกายแล้วจากไปด้วยสภาพทุลักทุเล
พวกของหูปู้กุยตามอยู่ข้างหลังเขา พูดโดยฝืนกลั้นหัวเราะออกมาว่า “ท่านแม่ทัพ เจ้าเด็กนี่พูดจาเหลวไหล ท่านก็อย่าใส่ใจเลย พวกมันชาวทูเจวี๋ยไหนเลยจะเข้าใจสัมผัสความสวยงามด้านการเก็บงำความรู้สึกของบุรุษต้าหัวเช่นพวกเราได้?! โดยท่านแม่ทัพ ความอ่อนน้อมถ่อมตนและเก็บงำความรู้สึกนั้นโด่งดังในต้าหัวของเรามากเลยนะขอรับ!”
อ่อนน้อมถ่อมตนเก็บงำความรู้สึก? นี่อยู่ฝั่งเดียวกับข้าด้วยหรือ เจ้าเหล่าหูคนนี้เห็นชัดว่ากำลังฉวยโอกาสแดกดันข้าอยู่นี่นา! เขาค้อนประหลับประเหลือบ หูปู้กุยเกาฉิวสองคนแอบเบือนหน้าไปแล้วหัวเราะเสียงดังทันที
“ใช่แล้วๆ เก็บงำความรู้สึกก็สวยงาม!” ตู้ซิวหยวนรีบพูดแก้สถานการณ์ “ท่านแม่ทัพ จะไปพบเจ้าคังหนิงหรือไม่ขอรับ?! เสี่ยวหลี่จื่อรอที่จะจัดการมันอยู่ทุกวัน!”
หลินหว่านหรงส่ายหน้า โบกมือแล้วตอบว่า “ขี้เกียจไปดู พอเห็นเจ้านี่แล้วก็หงุดหงิด พี่เกา อีกประเดี๋ยวพวกท่านไปไต่สวนมันว่าในมือเจ้านี่ยังกุมของล้ำค่าที่บิดามันเหลือไว้อีกเท่าใด จะต้องขุดออกมาให้ข้าทั้งหมด”
“ได้!” เกาฉิวร้องเสียงดังหลายครั้ง กล่าวระคนหัวเราะอย่างชั่วช้าลามกออกมา “พอดีเลย หลายวันนี้ข้าหายาตัวใหม่มาได้อีก ได้ยินว่าใช้เร่งน้ำนให้วัวตัวเมีย คราวนี้อ๋องน้อยมีบุญแล้ว!”
ตกอยู่ในกำมือเหล่าเกาไหนเลยจะเกิดเรื่องดีได้? หูปู้กุยกับตู้ซิวหยวนขนลุกพร้อมกัน!
“ไม่พบกันหลายวัน พี่เกาก็ยังชอบศึกษาค้นคว้าเหมือนเดิมนะ!” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ “เพียงแต่พวกท่านอย่างลงมือหนักเกินไปก็แล้วกัน เหลือครึ่งชีวิตให้อ๋องน้อย ใช้ครึ่งชีวิตอยู่บนเตียงก็พอแล้ว! เฮ้อ ช่วงนี้นับวันข้าก็ยิงมีเมตตามากขึ้นเรื่อยๆ ต้องทบทวนตัวเอง ต้องทบทวนตัวเองให้ดีๆ!”
ขลุกอยู่ในค่ายใหญ่มาตลอดเที่ยง เมื่อนึกถึงสวีจื่อฉิงซึ่งจากไปพร้อมโทสะ ใจเขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพียงแต่ตามหาจนทั่วอยู่ครึ่งค่อนวันกลับไม่พบแม้แต่เงาของนาง
พวกของตู้ซิวหยวนทนเหงาไม่ได้ ต้องลากเขาไปพูดคุยสารทุกข์สุกดิบ บรรดาพี่น้องทั้งหลายต่างพูดคุยหัวเราะสนุกสนานกลับมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เพียงแต่ทุกครั้งที่เอ่ยถึงการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่ายที่แนวหน้า การเจรจาชะงักงัน ทุกคนก็มักมองเขาหลายครั้งคล้ายเจตนาคล้ายไม่เจตนา สีหน้าคาดหวังปรากฏให้เห็นโดยไม่ต้องเอ่ยวาจา
แสงสายัณห์ปกคลุมเต็มท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว เขาเดินออกมาจากค่าย เพิ่งพ่นลมหายใจยาวๆ ก็เห็นม้าตัวหนึ่งวิ่งห้อตะบึงอย่างรวดเร็วมาแต่ไกล ขุนพลหนุ่มน้อยที่นั่งอยู่ด้านบนเพิ่งมีอายุสิบสี่สิบห้าปี กลับเป็นหลี่อู่หลิง
“เสี่ยวหลี่จื่อ เสี่ยวหลี่จื่อ…” เขารีบยิ้มแย้มโบกมือทักทาย ทว่าหลี่อู่หลิงกลับหน้าตาเย็นชา ถลึงตามองเขาอย่างดุร้าย ฝีเท้าม้าไม่หยุดยั้ง พุ่งขวับผ่านหน้าเขาไป
นี่มันอะไรกัน ตอนที่เจอข้ายังไม่ใช่ดีอกดีใจอยู่หรอกหรือ?! หลินหว่านหรงนิ่งอึ้ง เขามือไวตาไว คว้าบังเ**ยนเอาไว้ ม้าศึกตัวนั้นร้องฮี้คราหนึ่งพร้อมยืนตัวตรง ส่ายหน้าส่ายหาง ร้องเสียงดังไม่หยุด หลี่อู่หลิงร่างฟุบอยู่บนหลังม้า แค่นเสียงลมหายใจคราหนึ่งพร้อมเบือนหน้าหนีไป
“โอ้ เสี่ยวหลี่จื่อ นี่เป็นอะไรไปน่ะ?” เขาหัวเราะร่วนพร้อมดึงม้าศึกเอาไว้ ลูบแผงคอที่พลิ้วไสวอย่างแช่มช้า “ทำหน้าตาบึ้งตึงขนาดนั้น พี่หลินไม่ได้ทำผิดต่อเจ้านะ!”
“ท่านไม่ได้ทำผิดต่อข้า” หลี่อู่หลิงถลึงตาใส่เขา กล่าวด้วยความหงุดหงิดโมโห “ท่านรังแกท่านน้าสวีของข้า!”
“คุณหนูสวี?!” หลินหว่านหรงตกใจ “นาง นางเป็นอะไร? ข้าไม่เคยคิดรังแกนางนะ!”
หลี่อู่หลิงโมโหจนเช็ดน้ำตาตลอดเวลา กล่าวอย่างมีน้ำโหว่า “ท่านน้าสวีหายตัวไปแล้ว ท่านยังกล้าพูดว่าไม่ได้รังแกนางอีกหรือ?”
“คุณหนูสวีหายตัวไปแล้ว?!” เขาตกใจจนกระโดดตัวโยนทันที “เรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?! มิน่าข้าถึงหานางไม่เจอเลย!”
“ก็พอเจอหน้าท่าน นางก็หายไปไหนไม่รู้ ข้าตามหามาตลอดบ่ายก็ไม่เห็นเงาของนาง!”
สวีจื่อฉิงเป็นคนหนักแน่น ไหนเลยจะหายตัวไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น? หลินหว่านหรงครุ่นคิดอยู่นาน ทันใดนั้นก็หัวเราะฮิออกมาพร้อมพลิกตัวขึ้นมา “เสี่ยวหลี่จื่อ ขอยืมม้าศึกสักหน่อย!”
“นี่ ท่านทำอะไร?! นี่พี่หลิน!” หลี่อู่หลิงตะโกนเรียกเสียงดัง หลินหว่านหรงกลับหวดแส้อย่างเร็วรี่ ม้าศึกตัวนั้นยกเท้าอย่างสุดแรง หายลับไปกับฝุ่นดิน
พวกหูปู้กุยเดินออกมาจากค่ายด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ชะเง้อคอมองฝั่นดินที่คละคลุ้งอย่างรวดเร็วกลุ่มนั้น จากนั้นก็อดชูนิ้วโป้งกล่าวชมเชยไม่ได้ “เสี่ยวหลี่จื่อ ก็ยังเป็นเด็กอย่างเจ้าที่มีความคิดแผลงๆ อยู่มากมาย!”
“นั่นมันแน่นอน” หลี่อู่หลิงส่ายหน้าดุกดิกไปมาพร้อมหัวเราะร่วน “ท่านน้าสวีดีกับพี่หลินมากขนาดนั้น แต่เขากลับชอบคิดถึงสตรีคนอื่น ไม่ทำให้เขาร้อนใจเสียบ้าง เขาก็ไม่รู้คุณค่าของท่านน้าสวีของข้า!”
เกาฉิวส่ายหน้าถอนหายใจ พูดด้วยความเห็นใจอย่างยิ่ง “หากพูดถึงน้องหลินก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ อวี้เจียคนหนึ่งก็ทรมานจนเขาปวดเศียรเวียนเกล้า หน้าก็ยังไม่กล้าเจอ! แถมยังเพิ่มกุนซือสวีคุณหนูสวีอีก วันคืนหลังจากนี้จะอยู่ได้อย่างไร! เฮ้อ ผู้ชายพอมาถึงขั้นนี้ แค่คำว่าน่าอนาถยังจะพออีกหรือ?!”
น่าอนาถหรือ?! หูปู้กุย ตู้ซิวหยวน หลี่อู่หลิงมองเขาด้วยโทสะพร้อมกัน ชีวิตที่ ‘น่าอนาถ’ แบบนี้ ทำไมถึงไม่มาถึงข้าบ้าง?!
“ถือว่าข้าไม่ได้พูด ถือว่าข้าไม่ได้พูด!” เมื่อตกเป็นเป้าของทุกคน เหล่าเกาจึงหดคอกลับไปอย่างว่าง่าย หัวเราะแหะๆ “ที่จริงข้าก็อยากจะมีชีวิตน่าอนาถแบบนี้มากเช่นกัน จริงๆ นะ ยิ่งน่าอนาถเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น!”
ดวงตะวันค่อยๆ เคลื่อนคล้อยจมลงเส้นขอบฟ้า ณ ขอบฟ้าอันห่างไกล แสงสายัณห์อันงดงามประหนึ่งอาภรณ์สีแดงชิ้นสิ้นท้ายของผืนพิภพ ลมทะเลทรายพัดอย่างบ้าคลั่งพร้อมเสียงหวีดหวิว ไอร้อนอันแสบร้อนพุ่งปะทะใบหน้า ทำให้ลมหายใจร้อนระอุในบัดดล
หลินหว่านหรงห้อตะบึงอย่างเร็วรี่ วิ่งออกจากเมืองพร้อมม้าเพียงลำพัง จากนั้นก็ยืนอยู่บนเนินลาดทอดสายตามองออกไปทั่วทุกสรารทิศ ดวงตะวันยามเย็นสีแดงโลหิต ลมพายุรุนแรงที่หมุนวน ทรายสีเงินที่มีอยู่เต็มไปหมด สิ่งเหล่านี้ทำให้คนลืมตาไม่ขึ้น ไหนเลยจะมองเห็นเงาของสวีจื่อฉิง
นิสัยของแม่สาวคนนี้ช่างนิสัยดื้อด้านเสียจริงเลยนะ เจอกันครั้งแรกก็เป็นแบบนี้! เขาถอนหายใจยาว ดวงหน้าเศร้าโศกระคนยินดีของคุณหนูสวีที่ได้เห็นเมื่อเช้าตรู่ผุดอยุ่ตรงหน้า เขาอดส่ายหน้าเล็กน้อยไม่ได้ เมื่อจำแนกทิศทางได้ก็ควบม้าขึ้นเหนือ เดินทางไปสี่ห้าลี้ภายในอึดใจเดียว
เสียงลมหวีดหวิว ทรายสีเงินสาดกระทบใบหน้าไม่หยุด เจ็บปวดยิ่งนัก ณ ดินแดนขนาดเล็กแห่งหนึ่ง มีจุดดำขนาดเล็กไม่เคลื่อนที่จุดหนึ่ง นั่งอยู่บนพื้นอย่างเงียบงัน เรือนผมสีนิลพลิ้วไสวปามสายลม กระโปรงยาวอันงดงามประหนึ่งธงที่โบกไสว ลมทะเลทรายอันไร้ขอบเขตพัดผ่านร่างกายอันอวบอิ่มของนาง กลายเป็นระลอกคลื่นที่แสนจะแปลกพิสดาร นางนั่งสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อน ดวงตาเปี่ยมล้นด้วยความอ่อนโยน
“คุณหนูสวี!” หลินหว่านหรงนั่งลงอย่างรวดเร็ว ใช้ฝ่ามือตบก้นม้า ให้ม้าศึกวิ่งห้อตะบึงท่ามกลางลมทะเลทราย
เสียงลมบ้าคลั่งดังหวีดหวิว ทว่ากลับไม่อาจกลบเสียงของเขาได้ สวีจื่อฉิงร่างชะงักงันเล็กน้อย พูดอย่างเย็นชาโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา “เจ้ามาทำอะไร?!”
“ข้ามาหาเจ้าน่ะสิ!” เขาหัวเราะร่าพลางเดินเข้าไปหา นั่งข้างกายนางอย่างแช่มช้า เบื้องหน้าคุณหนูสวีมีเนินทรายที่พูนขึ้นสูงเนินหนึ่ง คล้ายเกิดจากการใช้มือทำ น่าจะทำมาหลายวันแล้ว นางถือแผ่นไม้อยู่ในมือแผ่นหนึ่ง ทว่ากลับซ่อนอยู่ใต้กระโปรง มองไม่เห็นว่าใช้ทำอะไร
สวีจื่อฉิงเบือนหน้ากลับมาพร้อมมองเขาอย่างเย็นชา ดวงตาโตอันแสนจะงดงามบวมแดงเล็กน้อย “มาหาข้าทำไม? มีสาวงามเคียงข้างแล้วก็ไม่ต้องออกรบ เจ้าไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีอิสรเสรีแล้วหรอกหรือ?! ข้าจะเป็นหรือตายมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”
หลินหว่านหรงเงยหน้าพลางหัวเราะร่วน “เจ้าเป็นหรือตายเกี่ยวอะไรกับข้า? เช่นนั้นความเป็นความตายของข้า เจ้าสนใจหรือไม่?! หากเจ้าไม่สนใจ ข้าตายไปก็ได้!”
“ถุยๆ!” สวีจื่อฉิงตวาดเจื้อยแจ้วด้วยความเดือดดาล “เป็นตายอะไร เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน?!”
หลินหว่านหรงส่ายหน้าเล็กน้อย ถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “สำหรับคนที่ตายไปแล้วครั้งหนึ่งเช่นข้านี้ ความเป็นความตายมันก็แค่สัญลักษณ์อย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องยึดติดมากเกินไป”