ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 615 - 2 เจ้าตัดสินใจด้วยตัวเอง
สวีจื่อฉิงเงยหน้าในบัดดล น้ำตาคลอเบ้าแล้ว “เจ้าพูดเหลวไหล! ความเป็นความตายสำหรับเจ้าอาจเป็นแค่สัญลักษณ์อย่างหนึ่ง แต่สำหรับบางคน นั่นคือทุกสิ่งทุกอย่างของนาง เจ้าคนต่ำช้าคนนี้ ที่แท้เจ้าเข้าใจบ้างหรือไม่?!”
นางมองเขาอย่างสงบนิ่ง น้ำตาไหลรินไปตามปรางแก้มอันงดงามอ่อนนุ่มทั้งสองข้างอย่างเงียบงัน เม็ดทรายสีเงินหลายเม็ดแปดเปื้อนใบหน้านางพร้อมหยาดน้ำตา งดงามอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก
“คุณหนูสวี…” หลินหว่านหรงถอนหายใจอย่างเงียบงัน จับมือนางอย่างแช่มช้า สวีจื่อฉิงมือสั่นระริก ถึงกระนั้นกลับเบือนหน้าไปอย่างดื้อดึง ซ่อนมือน้อยอยู่ข้างหลัง
หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ มือใหญ่เพียงออกแรงเล็กน้อยก็รวบมืองามอันอ่อนนุ่มของนางอยู่ในมือแน่น ทั้งสั่นเทาทั้งอุ่นร้อน เขาจับมือนางด้วยความอ่อนโยน “…ที่จริง ข้าเข้าใจทุกอย่าง!”
สวีจื่อฉิงร่างสั่นระริกอย่างรุนแรง ทันใดนั้นก็ไม่อาจควบคุมต่อไปได้อีก หันหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กอดเขาพร้อมเปล่งเสียงร่ำไห้ดังลั่น “เจ้าคนใจดำคนนี้ เหตุใดเจ้าถึงทำกับข้าเช่นนี้? ข้าจะแค้นเจ้าจนตาย ข้าจะแค้นเจ้าจนตาย!”
การไปครั้งนี้ก็สามเดือน เป็นตายไม่รู้ ไร้ซึ่งข่าวคราว! วันคืนเกือบร้อยวัน ความคะนึงหา ความเป็นห่วง ความน้อยใจนับไม่ถ้วน ในที่สุดก็ระเบิดออกมาจนหมดสิ้น น้ำตาไหลทะลักดั่งสายฝน อกงามสะท้อนขึ้นลงอย่างเร็วรี่ นางสะอื้นอย่างรวดเร็ว ขดตัวแน่นอยู่ในอ้อมอกเขา ร้องไห้จนเหมือนจะขาดอากาศหายใจ น้ำตาทำให้ชุดบริเวณหน้าอกของเขาเปียกชุ่มในบัดดล
สงครามอันน่ารังเกียจนี้เต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต จากเป็นและจากตาย สู้กันไปสู้กันมาเช่นนี้เพื่ออะไรกันแน่?! หลินหว่านหรงสองตาเปียกชื้น กอดสวีจื่อฉิงแน่น ตบบ่าบอบบางของนางอย่างเงียบงัน ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ลมทะเลทรายพัดพาอย่างบ้าคลั่ง ส่งเสียงหวีดหวิวไม่หยุด ทั้งสองอิงแอบซึ่งกันและกัน ในใจของพวกเขาผืนพิภพกลับเงียบสงัดและอบอุ่น แผ่นไม้ที่อยู่กดใต้กระโปรงสวีจื่อฉิงถูกพัดขึ้นมาเหนือผืนทราย บนแผ่นป้ายปราศจากตัวอักษร เพียงใช้ลายพู่กันจางๆ วาดออกมาเป็นเงาของคนสองคนเท่านั้น หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีอิงแอบแนบชิดกัน สิบนิ้วกุมประสาน ซบกันอย่างเงียบงัน ทรายที่มีอยู่เต็มท้องฟ้าปลิวอยู่ข้างกายพวกเขา ค่อยๆ กลบฝังพวกเขาอย่างแช่มช้า
หลินหว่านหรงนิ่งอึ้ง เมื่อมองเนินทรายสูงตรงหน้าอีกคราเขาก็กะพริบตา พูดขึ้นมาทันทีว่า “นี่คือป้ายสุสานของพวกเราหรือ?!”
คุณหนูสวีรีบหยุดการร่ำไห้ ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาพร้อมยื่นมือไปแย่งกลับคืนมา “ห้ามเจ้าดู เจ้ารีบคืนมาให้ข้า!”
ป้ายสุสานนี้ยังวางนอนอยู่ หากถึงช่วงที่มันตั้งขึ้น สิ่งที่ฝังอยู่ใต้สุสานนี้ก็คือกองเสื้อผ้าของตนกับดวงวิญญาณอันงดงามของคุณหนูสวีแล้ว
กองเสื้อผ้าของข้า?! เขาเหม่อมองเนินทรายนั้น จากนั้นก็ล้มตัวนอนบนเนินทรายอันอ่อนนุ่มทันที เขาก็แหงนหน้าแล้วหัวเราะออกมายาวๆ
“เจ้าหัวเราะอะไร ห้ามหัวเราะ!” คุณหนูสวีโผเข้าหาด้วยความเดือดดาล ยื่นมือไปจะปิดปากเขา
“ข้าไม่เคยเห็นสุสานของตัวเองมาก่อนเลย!” เขาจับมือสวีจื่อฉิง จมูกร้าวระบม กล่าวด้วยความอ่อนโยนและแน่วแน่ “ข้ารับปากเจ้า ในวันที่พวกเราแก่เฒ่าไปแล้ว ข้าจะสร้างสุสานเช่นนี้ขึ้นมา ทุกคนจะฝังอยู่ในนั้นทั้งหมด พวกเราอยู่ด้วยกันตลอดไป เป็นตายไม่พรากจาก!”
สวีจื่อฉิงน้ำตาไหลพราก ทุบอกเขาพร้อมกล่าวด้วยความหงุดหงิดโมโห “หลอกให้ข้าร้องไห้ทำไม…ในสุสานของเจ้าไม่รู้ว่าต้องฝังคนมากเท่าใด! น่าโมโหตายแล้ว น่าโมโหตายแล้ว!”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “นั่นก็ไม่สำคัญ ขอเพียงเจ้าจับมือข้า ข้าก็รู้ว่าเจ้าคือใคร ไม่ว่าเจ้าจะกลายสภาพเป็นเช่นไร ผู้ใดก็ไม่อาจพรากพวกเราจากกันได้! เจ้าเชื่อข้าหรือไม่?!”
“ข้าไม่เชื่อเจ้า…” สวีจื่อฉิงน้ำตานองหน้า ซบอกเขาอย่างแช่มช้า “…ยังจะเชื่อผู้ใดได้อีก?!”
จะว่าไปก็แปลก ทะเลทรายลมพัดอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาสองคนจับมือกัน นอนอยู่บนสุสานของตนเอง ถึงกระนั้นภายในจิตใจกลับรู้สึกสงบสุขและอบอุ่นอย่างหาที่เปรียบมิได้
หลินหว่านหรงจ้องมองป้ายสุสานนั้น จิตใจสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด “คุณหนูสวี เจ้าทำป้ายสุสานให้ข้าตั้งแต่เมื่อไหร่”
สวีจื่อฉิงแค่นเสียง กล่าวออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาและเลื่อนลอย “ตอนที่พวกหูปู้กุยกลับมาจากทุ่งหญ้าข้าก็ทำแล้ว”
ประโยคต่อไปแม้นางจะไม่พูด แต่หลินหว่านหรงกลับรู้ดี หากตนกลับมาไม่ได้จริง เรื่องเล่าของการฝังทรายนั้นก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง นิสัยดื้อด้านของแม่สาวคนนี้ เขาเข้าใจกว่าผู้ใด ดังนั้นจึงถอนหายใจอย่างเงียบงัน โอบร่างคุณหนูสวีไว้ในอ้อมอกอีกครา
สวีจื่อฉิงเงยหน้าทันที มองเขาด้วยความรู้สึกทั้งเขินอายทั้งไม่พอใจ “เหตุใดตอนนี้เจ้าก็ยังเรียกข้าว่าคุณหนูสวีอีก? ข้าไม่เหมาะสมที่จะถูกเรียกแบบอื่นใช่หรือไม่?!”
หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน ประชิดข้างใบหูนางแล้วพูดว่า “เพราะตอนที่เรียกเจ้าว่าคุณหนูสวี ความรู้สึกนั้นมันพิเศษมากที่สุด ไม่มีใครแทนที่เจ้าได้! ต่อให้อนาคตแต่งงานเข้าห้องหอขึ้นเตียงเป็นภรรยาแล้ว ข้าก็ยังเรียกเจ้าว่าคุณหนูสวีเหมือนเดิม ดีหรือไม่?!”
คำพูดคำจาของเจ้าคนนี้ชอบแฝงความลามก นี่มันเกิดมาพร้อมกับเขาเลยหรืออย่างไร? สวีจื่อฉิงใบหูร้อน ใจเต้นรัวดังตึกตัก ไม่รู้ว่าควรกล่าวเช่นไรดี
“ไอ้หยา นอนอยู่บนสุสานของตัวเองมันช่างสบายเสียจริง!” เขาถอนหายใจอย่างมือความสุข ใช้มือทั้งสองหนุนศีรษะ ม่านราตรีเงียบสงัด ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ท้องฟ้ากลับลายพร้อย ดวงดาราระยิบระยับบัดเดี๋ยวผลุบบัดเดี๋ยวโผล่ แสงหรุบหรู่จางๆ กับทรายสีเงินบนทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาลขับเด่นซึ่งกันและกัน งดงามเหลือคณา
คุณหนูสวีลูบหน้าอกเขาอย่างแช่มช้า การเคลื่อนไหวอ่อนโยนเหลือคนา “ยังเจ็บหรือไม่?!”
“ไม่เป็นไรแล้ว!” หลินหว่านหรงยิ้มแย้ม “ข้าคนนี้เป็นพวกหายเร็วอยู่แล้ว ไม่กลัวได้รับบาดเจ็บ!”
สวีจื่อฉิงถอนหายใจ แนบใบหน้าบนหน้าอกเขาอย่างอ่อนโยน กล่าวเสียงเลื่อนลอยออกมาว่า “ข้าพบนางแล้ว”
“ใคร? เจ้าเคยพบใคร?!”
“ยังจะเป็นใครได้อีก? เจ้ายังมาแกล้งทำไขสือกับข้าอีกนะ!” สวีจื่อฉิงหยิกหลังเอวเขาอย่างแรงคราหนึ่ง
“อ้อ นาง เจ้าพูดถึงนางเหรอ…ใครคือนางกันแน่?!” ยากนักที่จะแกล้งไขสือสักครั้งหนึ่ง เขาทำตาโต ใบหน้าเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ไม่รู้เรื่องราว
คุณหนูสวีฉลาดหลักแหลม ไหนเลยจะมองลูกไม้เขาไม่ออก ดังนั้นจึงมองค้อนเขาด้วยความหงุดหงิดโมโห ถึงกระนั้นกลับอดส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจเบาๆ ออกมาอีกไม่ได้ “มิน่าถึงกวักวิญญาณเจ้าไปจนหมดสิ้น! ข่านใหญ่ทูเจวี๋ยผู้นี้ เกิดมางามพิลาสพราวเสน่ห์ งดงามดั่งบุปผาและหยกงาม! ฝีมือการต่อสู้ก็ดี ตัวคนก็ฉลาด สถานะก็ยิ่งสูงส่งหาใดเปรียบเข้าไปอีก ไม่ว่าจะมองจากด้านใด นางก็ควรค่าให้ภาคภูมิใจ!”
แม้แต่สวีจื่อฉิงที่เป็นศัตรูก็ยังชมไม่ขาดปากแบบนี้ เสน่ห์ของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ไม่อาจดูแคลนได้เลยจริงๆ! ไม่อาจแกล้งทำเป็นไขสือต่อไปได้อีก หลินหว่านหรงหัวเราะแห้งๆ สองครั้ง “เจ้าพูดถึงอวี้เจียหรือ นางไม่เลวจริงๆ เพียงแต่ทูเจวี๋ยมีคนตั้งมากมายขนาดนั้น ต้องมีสักคนสองคนที่ไม่เลวกระมัง นี่มีอะไรน่าแปลก?!”
คุณหนูสวีแค่นเสียง “แค่ไม่เลวที่ไหนกัน ช่างยวนเย้าพราวเสน่ห์ ข้าเห็นก็ยังหลง แม้แต่ข้าที่เป็นสตรีเห็นแล้วก็ยังอดหวั่นไหวไม่ได้ หรือว่าเจ้าไม่อยากจะพบนางอีกหรือ?!”
“คงไม่ใช่ท่านจอมทัพให้เจ้ามาพูดโน้มน้าวหรอกนะ?!” หลินหว่านหรงทำหน้าขึ้นพร้อมส่ายหน้าอย่างเร็วรี่
สวีจื่อฉิงใบหน้าขมขื่น เบือนหน้าไปพร้อมพูดด้วยเสียงหงุดหงิด “ให้เจ้าไปพบกับคนรู้ใจอีกครั้ง สตรีคนใดบ้างที่จะยินดีมาพูดจาโน้มน้าวเช่นนี้?!”
ความขมขื่นร้าวรอนภายในใจคุณหนูสวีกลับไม่อาจเสแสร้ง หลินหว่านหรงตบบ่านาง คิดจะพูดอะไรบางอย่าง พออ้อ้าปากกลับพูดไม่ออกสักคำ
“การเจรจารอบแรกนั้นย่ำแย่เป็นที่สุด ท่าทีของอวี้เจียแข็งกร้าวยิ่งนัก เพียงยอมถอยเล็กน้อยเท่านั้น กระทั่งยังเคยพูดว่าหากพวกเรากล้าเอาข่านน้อยทูเจวี๋ยมาข่มขู่ นางจะยอมสู้ตายตกไปตามกันกับต้าหัวโดยไม่เสียดาย” สวีจื่อฉิงกล่าวแผ่วเบา “หากต้องรบขึ้นมาจริง พวกเราก็ไม่กลัว อย่างไรเสียก็สู้รบกันมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว! เพียงแต่คราวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ชาวทูเจวี๋ยยกกำลังออกมาทั้งรังก็เพราะตั้งเป้าหมายว่าจะแก้แค้นต้าหัว ไม่ว่าจะชิงเมืองได้หรือไม่ แต่ศึกนองเลือด ประชาชนประสบทุกข์ภัย นั่นเกรงว่าคงไม่อาจหลีกเลี่ยง!”
หลินหว่านหรงส่งเสียงเฮ้อคราหนึ่ง ขมวดคิ้วมุ่น ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
“สามวันหลังจากนี้การเจรจารอบที่สองก็จะเริ่มอีกครั้ง ด้วยนิสัยของอวี้เจียผู้นี้ นี่น่าจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายแล้ว!” คุณหนูสวีแนบใบหน้าลงบนหน้าอกเขา ฟังเสียงหัวใจเต้นดังตึกตักของเขา กล่าวน้ำตานองด้วยเสียงอันอ่อนโยน “จะมาหรือไม่มา ให้เจ้าตัดสินใจเอาเอง!”