ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 616 - 1 เจ้ากล้าจุมพิตข้าหรือไม่?
เมื่อกลับมาถึงเมืองดวงดาราก็เต็มท้องฟ้าแล้ว เมื่อส่งคุณหนูสวีกลับไปถึงทางเข้าของค่ายใหญ่ คนทั้งหลายต่างยืนอยู่ไกลๆ ยักคิ้วหลิ่วตาหัวเราะแปลกประหลาด สีหน้าแปลกพิกลอย่างบอกไม่ถูก
สวีจื่อฉิงรีบก้มหน้าลงไป มองตำหนิหลินหว่านหรงเล็กน้อย แก้มขาวกระจ่างใสซับสีแดงระเรื่ออย่างรวดเร็ว “ต้องโทษเจ้าที่มาแกล้งข้า ทำให้พวกเขาหัวเราะเยาะข้า!”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะหลายครั้ง จับมือนางพร้อมประชิดข้างใบหูอันขาวกระจ่างใสแล้วเป่าลมหายใจเซียนเบาๆ พูดเสียงแผ่วเบาออกมาว่า “ให้พวกเขาหัวเราะไปเถอะ วันหลังโอกาสเช่นนี้ยังมีอีกมากมายนัก หัวเราะไปหัวเราะมาเดี๋ยวก็ชินเอง ข้าก็ผ่านมาแบบนี้นั่นล่ะ”
“ขี้เกียจจะพูดกับเจ้าแล้ว ข้ากลับล่ะ!” คุณหนูสวีใบหน้าใบหูแดง ถอนตัวแล้วกำลังจะจากไป
“ไม่รีบๆ” หลินหว่านหรงรีบจับมือนาง หัวเราะร่วนแล้วพูดว่า “มีอยู่เรื่องหนึ่ง เรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่ง ข้ายังไม่ทันได้บอกเจ้าเลยนะ!”
เขาเอ่ยวาจาพลางขยิบตาอย่างมีเลศนัย ทำหน้าตาเหนียมอายแล้วประชิดใบหน้าเข้าไปใกล้
เจ้ามีเรื่องสำคัญอะไรที่ยังไม่ได้ทำอีก?! ดวงตาที่พูดได้คุณหนูสวีเบิกกว้าง มองดูใบหน้าที่อยู่ใกล้แค่คืบของเขา ใจเต้นรัวดังตึกตัก ฝ่ามือมีเหงื่อซึม
หลินหว่านหรงจุมพิตเบาๆ ลงบนดวงหน้าอันงามยวนเย้าที่แดงสดใสราวกับจะหยาดหยดออกมาเป็นน้ำได้ใบหน้านั้น หัวเราะพร้อมพูดว่า “ก็คือเรื่องนี้ เจ้าว่าสำคัญมากไหมล่ะ!”
“เฮ เฮ เอาอีก เอาอีก!” พวกของเกาฉิวผิวปากเสียงดังลั่น เสียงหัวเราะแปลกประหลาดดังสลับกันไปมา
สวีจื่อฉิงสั่นเทาเบาๆ ไปทั้งร่าง ใบหน้าแดงปลั่งดั่งโลหิต หมุนกายแล้วหนีไปราวกับโผบิน “เจ้าคนต่ำช้าคนนี้ ข้าเกลียดเจ้าตายแล้ว!”
“คุณหนูสวี คืนนี้ฝันดีนะ!” หลินหว่านหรงโบกมือพร้อมหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
“ฝันกับผีเจ้าน่ะสิ!” สวีจื่อฉิงหงุดหงิดโมโห หยุดฝีเท้าทันที จากนั้นก็ก้มลงแล้วหยิบทรายขึ้นมาสองกำ หมุนกายแล้วปาส่เขา หลินหว่านหรงร้องอ๊าๆ แปลกประหลาดแล้วกระโดดหลบ สองมือปัดฝุ่นดินเปะปะวุ่นวาย คุณหนูสวีหัวเราะพรวดเบาๆ มองเขาด้วยความรักอันล้ำลึกหลายครา นางหมุนกายแล้วเข้าไปในค่ายอย่างรวดเร็ว
พวกของหูปู้กุยส่งเสียงเอหัวเราะแปลกประหลาดพร้อมเดินเข้ามาหา เหล่าเกาส่งเสียงจึ๊จ๊ะทอดถอนชมเชย “ดูดู นี่ก็คือฝีมือ! ข้าบอกตั้งแต่แรกแล้ว ขอเพียงเป็นเพศเมีย ต่อให้เป็นแมลงวันตัวเมียก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือน้องหลิน! กุนซือสวีก็ตกหลุมพรางเช่นนี้ พวกเจ้าถือว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้วล่ะสิ?!”
พวกของหูปู้กุยตู้ซิวหยวนนับถืออย่างศิโรราบ ประสานมือคารวะกันอย่างต่อเนื่อง หลินหว่านหรงส่งเสียงฮึออกมาคราหนึ่งพร้อมกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ประจบให้มันน้อยหน่อย! วันหลังตอนที่ข้ากับคุณหนูสวีคุยเรื่องส่วนตัวกัน พวกท่านห้ามแอบมองข้าแล้ว! ข้าเหลือวิชาท่าไม้ตายแค่นี้ หากถูกพวกท่านเรียนรู้ไปจนหมด แล้วข้ายังจะอยู่ผายลมอย่างไร!”
ทุกคนต่างหัวเราะเสียงดัง ถือว่าสวรรค์ทำให้คนสมหวังเสียที ได้เห็นแม่ทัพหลินกับกุนซือสวีคืนดีกับตาตัวเอง นี่เป็นเรื่องที่ดีงามอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง
พูดคุยกันครู่หนึ่งก็มืดค่ำมากแล้ว หลินหว่านหรงมีเรื่องในใจจึงไม่ได้อยู่ในค่าย เขาโบกมือลาทุกคนแล้วออกมา ท้องฟ้ายามราตรีกระจ่างใส ดวงดาราดารดาษเต็มท้องฟ้า เมืองซิงชิ่งกลางดึกเงียบสงบเป็นพิเศษ มีเสียงสุนัขเห่าเด็กร้องเป็นระยะ ยิ่งทำให้คนรู้สึกว่ามีชีวิตอยู่จริงๆ มากยิ่งขึ้น
เมื่อเดินเข้าไปในลานบ้านขนาดเล็กแห่งนั้นก็มีกลิ่นหอมปะทะจมูกเข้ามา เปลวเทียนเปล่งแสงหรุบหรู่สะท้อนเงาอยู่บนกระดาษกรุหน้าต่าง ขาวสะอาดสงบนิ่ง อ่อนโยนอย่างหาที่เปรียบมิได้
“พี่สาว!” ประตูไม้บานนั้นยังไม่ได้ลั่นดาล เพียงผลักเบาๆ ก็เปิดออกแล้ว เขาเดินเข้าไปด้านในด้วยความยินดี ได้กลิ่นหอมจางๆ ของยา ทว่าภายในบ้านกลับไม่มีผู้ใด
เมื่อเลิกผ้าม่านเข้ามาในห้อง บนโต๊ะวางเตาต้มชาขนาดเล็กซึ่งกำลังต้มยาเดือดปุดๆ อยู่ สตรีนางหนึ่งประชิดไปเบื้องหน้าเตา ริมฝีปากน้อยสีแดงสดเป่าผิวน้ำที่เดือดพล่านเบาๆ ไอน้ำบางลอยวนอยู่เบื้องหน้าใบหน้านาง
นางใช้สองมือประคองชามด้วยความระมัดระวัง เงยหน้าอย่างแช่มช้าแล้วยิ้มให้เขา “โจรน้อย ต้องกินยาแล้ว!”
“พี่สาว…” หลินหว่านหรงจมูกร้าวระบม เบ้าตาแดง เดินก้าวเข้าไปแล้วจะกอดนาง
“กินยาก่อน!” นางเซียนเนตรงามเปล่งประกาย ยิ้มพร้อมดันชามยาส่งไปเบื้องหน้าเขา ขวางฝีเท้าเขาเอาไว้ หลินหว่านหรงอืมคราหนึ่ง จากนั้นก็รับยาไป ไม่สนใจว่ามันทั้งร้อนทั้งขม ดื่มอึกๆ คำโตลงไปหลายอึก
เขาดื่มยาลงไปจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว หนิงอวี่ซีผงกศีรษะเล็กน้อย ตวัดผ้าออกมาจากอก เช็ดคราบที่มุมปากเขาอย่างใส่ใจ หัวเราะพร้อมเอ่ยออกมาว่า “แบบนี้ก็พอใช้ได้ เพียงแต่วันนี้ข้ากลับประหลาดใจอยู่บ้าง เหตุวันนี้เจ้าถึงกลายเป็นคนว่าง่ายเช่นนี้?!”
“ข้าเป็นคนแบบนี้มาตลอดอยู่แล้วนี่นา” เขาหัวเราะร่วนพร้อมนั่งลงบนขอบเตียง มองดวงหน้าอันงามพิสุทธิ์ของนางเซียนพร้อมเอ่ยอย่างอ่อนโยน “พี่สาว ข้ากอดท่านได้หรือไม่?! เชื่อข้า ที่บริสุทธิ์ใจแบบนั้น!”
นางเซียนหนิงหน้าแดงสดใส นี่กลับประหลาดนัก หรือว่าโจรน้อยจะเปลี่ยนสันดานไปแล้วจริงๆ ก่อนหน้านี้เขาไหนเลยจะมีมารยาทเช่นนี้ อย่าว่าแต่บริสุทธิ์ใจเลยต่อให้เป็นเรื่องแย่กว่านี้เป้นร้อยเท่า เขาก็ใช่ว่าจะไม่เคยทำมาก่อน
“เจ้ามาถามข้าทำไม” หนิงอวี่ซีก้มหน้า เอื้อนเอ่ยออกมาเบาๆ “มีครั้งใดบ้างที่ยังไม่ตามใจเจ้าอีก?!”
โจรน้อยหัวเราะร่วนพร้อมใช้ศีรษะดันไปที่หน้าอกนาง ออกแรงเสียดสีอยู่หลายครั้ง นางเซียนร่างร้อนรุ่ม ใจเต้นเร็วรี่ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากกลับรู้สึกว่าคนที่อยู่ในอ้อมอกตนคนนั้นกลับหยุดการเคลื่อนไหว เพียงกอดนางแน่นเท่านั้น ราวกับจะต้องการจะหลอมละลายเข้าไปในร่างนาง
นี่เป็นอะไรไปน่ะ เขากลับทำตัวเรียบร้อยขึ้นมาจริงๆ? หนิงอวี่ซีรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง นางก้มหน้ามอง เห็นว่าโจรน้อยเบิกตากว้าง ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งประกายสุกสกาว กำลังมองนางอย่างเหม่อลอย ความอ่อนโยนที่มีอยู่ภายในดวงตานั้นต่อให้เป็นดาบเหล็กอันแข็งแกร่งก็ถูกเขาหลอมละลาย
นางเซียนใจเต้นเร็วรี่ ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งความทุกข์และความสุขต่างเอ่อท้นขึ้นมาภายในใจ น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้างภายในชั่วพริบตา
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเจ้าถึงมองข้าเช่นนี้?”
หัวเราะทั้งน้ำตา ยื่นมืองามเรียวยาวออกไปแล้วค่อยๆ ปัดทรายที่เปื้อนเส้นผมเขาเบาๆ
หลินหว่านหรงตะกายร่างขึ้นมาแล้วจับมือนางแน่น มองนางอย่างเหม่อลอย “พี่สาว เมื่อเช้าตอนที่เจอพวกหูปู้กุย ข้ารู้สึกดีใจมาก แต่พอหันกลับมาแล้วทำไมกลับไม่เห็นท่านเลย!”
นางเซียนหัวเราะพร้อมส่ายหน้า “เจ้ากับพวกเขาได้พบกันอีกครั้ง กำลังสรวลเสเฮฮากันอยู่ ข้าอยู่ข้างกายเจ้าจะไม่สะดวก ดังนั้นจึงย่อมหลบไป! ทำไม เจ้ายังกลัวว่าข้าจะหนีไปอีกหรือ?!”
หลินหว่านหรงถอนหายใจแผ่วเบา กล่าวเบาๆ ออกมาว่า “ไม่ขอปิดบังพี่สาว ข้ากังวลว่าท่านจะจากข้าไป หากเป็นเช่นนั้นก็จะไม่มีใครโอ๋ให้ข้ากินยา กอดข้านอน ไม่มีใครแอบฝังเข็มให้ข้ากลางดึกอีก ข้าไม่มีพัด ไม่มีหมอน ไม่มีพี่สาวนางเซียน แล้วชีวิตนี้ยังจะมีความหมายอะไรกันอีก?!”
นางเซียนหนิงเช็ดน้ำตาบริเวณหางตาของเขา แล้วกล่าวระคนหัวเราะอย่างอ่อนโยน “พูดเหลวไหล ข้าไม่ได้รอเจ้า อยู่ที่นี่มาตลอดหรอกหรือ?! เมื่อก่อนอาจยังลังเลอยู่บ้าง แต่นับตั้งแต่ตอนที่เจ้าเอาตัวมาขวางอยู่หน้าข้า ข้าก็รู้แล้วว่าทุกภพทุกชาติไม่อาจสลัดคำสาปร้ายเช่นโจรน้อยอย่างเจ้านี้ได้อีกแล้ว! ให้ข้าไปจากเจ้า คงได้แต่เอาชีวิตข้าไปแล้วล่ะ!”
“วางใจๆ ไม่มีผู้ใดทำร้ายพี่สาวได้!” โจรน้อยจับมือนางอย่างหน้าชื่นตาบาน กล่าวด้วยความหนักแน่นออกมาว่า “ข้ารู้ เพราะท่านเป็นอาจารย์ของชิงเสวียนเลยไม่เคยมีความสุขอย่างแท้จริงมาก่อน ดังนั้นท่านถึงคิดกลับไปที่ยอดเขาเชียนเจวี๋ย! แต่ว่าพี่สาวโปรดวางใจ ข้าต้องจัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อย! ท่านคิดดู ข้าเป็นใครกัน? ข้าคือหลินซานผู้มีชื่อเสียงโด่งดังนะ! เจียงหนานเจียงเป่ย ทั้งนอกและในฉางเฉิง มีใครบ้างที่ไม่รู้ความสามารถของพี่หลินซาน ฮิฮิ!”
นางเซียนเช็ดน้ำตา หัวเราะพร้อมส่ายหน้า “กลับรู้จักแต่คุยโว! หากเจ้ามีความสามารถก็จัดการเรื่องของข่านใหญ่ทูเจวี๋ยนั่นให้ได้ก่อน ข้าถึงจะเชื่อเจ้า!”
นี่มันช่างไม่อยากพูดถึงเรื่องไหนก็พูดถึงเรื่องนั้นเสียจริง จิตใจอันฮึกเหิมเมื่อครู่มลายไปสิ้นภายในชั่วพริบตา หลินหว่านหรงส่ายศีรษะด้วยหน้าตาอมทุกข์ ถอนหายใจยาวคราหนึ่ง “พี่สาวไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ เรื่องของข้ากับเยวี่ยหยาเอ๋อร์เกี่ยวพันถึงบ้านเมือง ถือว่าต้องจากเป็นจากตาย ทั้งรักทั้งแค้น สิ่งที่ท่านคิดได้ก็มีเกือบหมด แล้วไหนเลยจะแก้ไขได้ง่ายดายขนาดนั้น? หากข้าไปเจรจากับนางจริง จะรักก็ไม่รัก จะแค้นก็ไม่แค้น ทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ ทั้งยินดีทั้งเสียใจแบบนี้จะเจรจาออกมาเป็นสภาพเช่นไรได้?!”
โจรน้อยพูดจามีเหตุผลอยู่บ้าง สถานการณ์ที่ตัดไม่ขาด จัดการก็ยิ่งยุ่งแบบนี้ เกรงว่าจะทำให้แนวโน้มยากจะจัดการมากขึ้นมากกว่า!
นางเซียนผงกศีรษะเล็กน้อย “วุ่นวายอยู่บ้าง เพียงแต่ ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะดีกว่าสถานการณ์ตอนนี้กระมัง! ตอนนี้สองแคว้นกำลังประจันหน้าไม่ยอมกัน หากไม่ระวังก็จะสูญเสียทั้งสองฝ่าย ประชาชนทุกข์เข็ญ! ถึงเวลาก็จะสั่งสมความแค้นยากหวนคืน สองฝ่ายเป็นเหมือนน้ำกับไฟ จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล้มตายถึงจะเลิกรา สถานการณ์เช่นนั้นปราศจากผู้ได้รับผลดี!”
หลินหว่านหรงเงียบงันไปนาน จากนั้นจึงเอ่ยออกมาเบาๆ “พี่สาว ความหมายของท่านคือข้าควรไป?!”
“มีเรื่องบางอย่าง หากเอาแต่หลบหนีนั่นกลับไม่อาจสบายใจได้ ไม่สู้เปิดอกเผชิญหน้า จะเป็นหรือตายก็ต้องรู้ให้แน่ชัดจะดีกว่า!” หนิงอวี่ซีลูบไล้เส้นผมเขาเบาๆ พร้อมกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่อาจมีผลกระทบต่อปณิธานของเจ้าได้ ทุกอย่างเจ้าต้องเป็นคนตัดสินใจถึงจะถูก”
ไปหรือไม่ไปดี?! หลินหว่านหรงพ่นลมหายใจออกมายาวๆ รู้สึกว่าความทุกข์ยากในชีวิตมนุษย์ไม่อาจมีสิ่งใดเหนือกว่านี้แล้ว!!