ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 617 พบกันอีกครา
สวีจื่อฉิงอยู่ใกล้นางมากที่สุด เมื่อเห็นข่านใหญ่ยืนพิงราวกั้น น้ำตาไหลรินอย่างเงียบงัน จอนผมขาวและการตัดพ้อโดย ไร้ซึ่งสรรพสำเนียงนั้น ราวกับว่าแม้แต่ฟ้าดินก็ยังต้องล่มสลายให้
สตรีผู้ซื่อสัตย์จริงใจเช่นนี้บนโลกนี้จะมีสักกี่คนกัน? คุณหนูสวีจมูกร้าวระบม เบือนหน้าไปเล็กน้อย กลับต้องน้ำตาไหลรินเพราะสตรีชนเผ่านอกด่านผู้นี้
ความเงียบงันอันไร้ประมาณราวกับจะทำให้ลมทะเลทรายหยุดชะงัก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ภายในรถบังเกิดเสียงถอนหายใจหนักๆ ขึ้นมาคราหนึ่ง “กลับไปเสียเถอะ ล่วงล้ำพรมแดนมาแล้ว!”
เสียงนี้แม้ว่าจะแผ่วเบา ทว่ากลับเหมือนกระบี่คมที่ออกจากฝัก อวี้เจียร่างสะท้านอย่างรุนแรง น้ำตาไหลรินดั่งสายฝน กลับสะอึกสะอื้นจนไม่อาจพิงร่างกายได้อีกต่อไป “เหตุใดต้องถึงไม่กล้าจุมพิตข้า เพราะอะไร เพราะอะไร?!”
นางใช้สองมือประคองร่างกับเพลารถ นิ้วมือเรียวยาวทั้งสิบนิ้วประหนึ่งจะจิกให้จมลึกลงไปในตัวไม้ ร่างกายสั่นระริกอย่างรุนแรงราวกับกระชอนที่กำลังแกว่งไกว เสียงแทบจะเหมือนนกขมิ้นที่ร่ำร้องจนกระอักโลหิต คล้ายร่ำไห้คล้ายตัดพ้อ ถุงน้ำที่ห้อยอยู่ด้านหลังแกว่งไกวอย่างรวดเร็วตามร่างกายของนาง มุมที่ผ่านการปะชุนนั้นปักเป็นผีเสื้อโบยบินคู่หนึ่งอย่างวิจิตรบรรจง บินวูบไหวไปมา ประหนึ่งบุปผาผีเสื้อที่งดงามที่สุดท่ามกลางลมพายุทะเลทราย
ท่ามกลางความเงียบงัน ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นออกมาจากผ้าม่านอย่างแช่มช้าด้วยอาการสั่นเทาเล็กน้อย รอยฟันลึกบนหลังมือมองเห็นได้อย่างชัดเจน คล้ายจันทร์เสี้ยวอันงดงามบนท้องนภา
อวี้เจียร่ำไห้อย่างเงียบงัน น้ำตาดั่งสายฝน นางรีบยื่นมือน้อยที่สั่นระริกอย่างรุนแรงออกไป สามชุ่น สองชุ่น ห่างกันแค่คืบ ทว่าว่ามือนางกลับค่อยๆ เชื่องช้าลง ร่างกายสั่นสะท้านราวกับหลิวต้องลม น้ำตาเปียกชุ่มสาบเสื้อภายในชั่วพริบตา
มืองามลดลงเบาๆ เมื่อสัมผัสถูกฝ่ามืออันกว้างใหญ่นั้นร่างกายนางก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง นั่งล้มพับอ่อนยวบอยู่บนพื้น นิ้วทั้งห้าจิกเข้าไปในเนื้อฝ่ามือเขาอย่างรุนแรง สัมผัสได้ว่าฝ่ามืออันอบอุ่นของเขานั้นกำลังสั่นเทาไปพร้อมกับจิตวิญญาณของนาง
“ข้าแค้นเจ้า!” ข่านดาบทองผู้งดงามกล่าวพึมพำกับตัวเอง แนบใบหน้าลงบนฝ่ามืออันอบอุ่นและกำลังสั่นเทาของเขาอย่างช้าๆ น้ำตาไหลลงบนฝ่ามือเขาอย่าเงียบงันทีละหยดทีละหยด ลมทะเลทรายกวาดม้วนเข้ามาทว่ากลับไม่อาจกลบความเปล่งประกายนี้ได้
เมื่อเงียบเช่นนี้ทุกคนจึงไม่กล้าเอ่ยวาจา ด้วยกลัวว่าหากเอ่ยปากก็จะส่งผลกระทบต่อภาพอันแสนจะงดงามที่สุดบนโลกนี้
ลมพายุไม่รู้ว่าหยุดไปตั้งแต่เมื่อใด บนร่างกายและเส้นผมของข่านดาบทองเต็มไปด้วยเม็ดทราย นางนั่งอย่างสงบนิ่งอยู่บนพื้นทรายข้างรถ ใบหน้าแนบอยู่บนฝ่ามืออันกว้างใหญ่นั้น ดวงตาอันงดงามทั้งสองข้างหลับสนิท ขนตาเรียวยาวเต็มไปด้วยหยาดน้ำค้างที่ยังไม่แห้ง ทว่าน้ำตาจะไหลจนเหงือกแห้งไปหมดแล้ว
ราชครูทูเจวี๋ยกับผู้ติดตามสิบกว่าคนทางด้านหลังซึ่งไม่รู้ว่าตามมาทันตั้งแต่เมื่อใดค้อมกายลงเล็กน้อยพร้อมเบาๆ ว่า “ท่านข่านใหญ่ พวกเราควรกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ท่านข่านใหญ่ ท่านข่านใหญ่!”
เขาร้องเรียกอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง ถึงกระนั้นอวี้เจียกลับเหมือนไร้สติ ไม่ตอบแม้แต่น้อย
ลู่ตงจ้านอับจนปัญญา ประสานมือคารวะเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ที่อยู่ในรถ คือใต้เท้าหลิน?!”
“พี่ลู่ พวกเราพบหน้ากันอีกแล้ว!” ใต้เท้าหลินถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง
เสียงนี้ถ้าไม่ใช่หลินซานแล้วจะเป็นใครได้อีก? ราชครูทูเจวี๋ยมองข่านดาบทองที่นั่งขดตัวอยู่บนพื้น ฉะนั้นจึงแค่นเสียงออกจมูกด้วยความหงุดหงิดโมโห “พบหน้า?! ใต้เท้าหลิน ขออภัยที่ข้าต้องกล่าวตามตรง เจ้าหลบอยู่ในรถ เจ้ามองเห็นข้าแต่ข้ากลับมองไม่เห็นเจ้า!”
ลู่ตงจ้านกำลังทวงความยุติธรรมให้ข่านดาบทอง! ใต้เท้าหลินเงียบงันอยู่นาน จากนั้นจึงถอนหายใจ “พี่ลู่ ความรู้สึกของข้าท่านเข้าใจหรือ?!”
จะเข้าใจได้หรือไม่นั้นอยู่ที่ประสบการณ์ของแต่ละคน ลู่ตงจ้านคิดแล้วคิดอีก จากนั้นก็ส่ายหน้าด้วยความอับจนปัญญาเช่นกัน ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี
อวี้เจียร่างสั่นระริกเล็กน้อย เบิกตาโพลงขึ้นมาทันที มองฝ่ามือที่เต็มไปด้วยคราบโลหิตนั้น บนนั้นมีรอยเล็บขนาดเล็กละเอียดกระจัดกระจายสะเปะสะปะจนแทบจะจมลึกลงไปถึงกระดูก คราบโลหิตจางๆ แปดเปื้อนใบหน้านางจนกลายเป็นสีแดง นางพลันกัดฝ่ามือนั้นอย่างรุนแรงด้วยน้ำตาร้อนนองหน้า จากนั้นก็ผละออกไปราวกับสายฟ้าแลบ “เข้าใจอะไร? ข้าไม่เข้าใจ! ข้าแค้นเจ้า ข้าจะแค้นเจ้าตลอดไป!”
นางส่งเสียงร้องคราหนึ่งจากนั้นก็วิ่งโถมตัวเข้าไปในพายุทะเลทราย รวดเร็วดั่งสายลม แม้แต่รองเท้าก็ทิ้งไว้โดยไม่สนใจ นางวิ่งเข้าไปในลมทะเลทรายอย่างเอาเป็นเอาตาย ถุงเท้าสีขาวบริสุทธิ์กลายเป็นสีเหลืองหม่นภายในชั่วพริบตา
“ขอลา!” ลู่ตงจ้านรีบประสานมือคารวะ ควบม้ากลับไปพร้อมกับผู้ติดตามจำนวนสิบกว่าคนนั้น ไล่ตามเงาร่างของข่านดาบทองไป “แม้แต่จุมพิตสักครั้งก็ยังไม่ยอมเลยหรือ?! โจรน้อย เจ้าออกจะใจไม้ไส้ระกำเกินไปแล้ว!” เงาร่างที่วิ่งเปะปะวุ่นวายของอวี้เจียค่อยๆ จากไปไกล หนิงอวี่ซีปล่อยผ้าม่านลง ดวงตาทั้งสองข้างอดเปียกชื้นไม่ได้
เมื่อมองดูฝ่ามือที่มีรอยโลหิตของตน เขามองดูด้วยท่าทีเหม่อลอย ทันใดนั้นร่างก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง หอบหายใจพร้อมส่ายหน้า “พี่สาว ข้าไม่กล้าจุมพิตนางจริงๆ เพราะขอเพียงจุมพิตนางแค่ครั้งเดียว ข้าก็ไม่อาจหักใจอำมหิตได้ตลอดกาล แค่ก…”
เขาไอออกมาอย่ารุนแรง เจ็บปวดจนต้องโน้มตัวลงไป ใบหน้าผุดสีแดงเข้มสดใส เจ็บปวดราวกับอวัยวะภายใจฉีกขาด โลหิตสดๆ ไหลทลักออกมาจากมุมปากราวกับสายฝน
“โจรน้อย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? โจรน้อย…” นางเซียนร้องด้วยความตกใจ รีบกอดเขาเข้าไปในอ้อมอก
โจรน้อยหน้าซีด หน้าอกสั่นสะท้านอย่างเร็วรี่ โลหิตไหลซึมออกมาไม่หยุด ไหลออกมาจากมุมปากไปจนถึงหน้าอก น้ำตาบนใบหน้าไหลพรั่งพรูราวกับคันกั้นแม่น้ำฮวงโหพังทลาย ยิ่งเช็ดก็ยิ่งมากขึ้น ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็หยุดไม่อยู่
“พี่สาว!” เขากอดนางเซียนหนิง ซุกศีรษะเข้าไปในอ้อมอกอันแสนจะอบอุ่นของนาง กลับร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดราวกับเด็กน้อย ยิ่งร้องเสียงก็ยิ่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ ร้องโหยหวนปิ่มว่าจะขาดใจ ตัดทะลุผ่านลมพายุทะเลทราย ดังสะท้อนก้องไปทั่วทุ่งหญ้าและทะเลทรายไม่หยุด
นางเซียนกอดเขา ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาแม้แต่ประโยคเดียว เพียงกอดเขาแน่นเท่านั้น แบ่งปันความทุกข์ระทมอันไร้ประมาณที่มีอยู่ภายในใจเขา
ข่านดาบทองซึ่งเพิ่งไปถึงเขตพรมแดนร่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรง คล้ายสัมผัสอะไรได้เยี่ยงนั้น นางหมุนกายกลับมาอย่างแช่มช้า ทอดสายตามองไปยังสถานที่อันห่างไกล นั่งล้มพังพาบอยู่บนพื้นอย่างเงียบงัน
“อัวเหล่ากง…” นางร้องเรียกด้วยเสียงอ่อนโยน หัวเราะไปหัวเราะมาน้ำตาก็นองสองแก้ม…
“หากเอ่ยถึงวันนี้ น้องหลินกระอักโลหิตแปดตำลึง เยวี่ยหยาเอ๋อร์หลั่งน้ำตาห้าจิน ทำให้ฟ้าดินหม่นหมอง สุริยันจันทราอับแสง! ลมทะเลทรายคลุ้มคลั่ง ทุ่งหญ้าหิมะโปรย ถือว่าความจริงใจของอวี้เจียทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน ความรักของน้องหลินทำให้ผีสางเทวดาร่ำไห้! ไม่ว่าชนเผ่านอกด่านหรือว่าชาวต้าหัวต่างตื้นตันจนน้ำหูน้ำตาไหล คุกเข่าขอให้สวรรค์คุ้มครองให้คนมีรักสุดท้ายได้สมหวัง”
“เหล่าเกา เจ้าจะพูดให้ช้าหน่อยได้หรือไม่ ข้าจดไม่ทันแล้ว!” ตู้ซิวหยวนเขียนไม่หยุด หมอบยู่บนกระดาษขาวพู่กันเสี่ยวข่ายโบกสะบัดไม่หยุด จดบันทึกเรื่องแต่งของเหล่าเกาไว้ทุกถ้อยคำ
หูปู้กุยหัวเราะพร้อมตบโต๊ะ “จดผายลมน่ะสิ! อย่าไปฟังเจ้านี้พูดเพ้อเจ้อ น้องหลินกระอักโลหิตแปดตำลึงก็ชั่งมันเถอะ เยวี่ยหยาเอ๋อร์หลั่งน้ำตาห้าจิน? นั่นยังไม่ตัวแห้งแล้วหรือ ยังมีลมทะเลทรายคลุ้มคลั่ง ทุ่งหญ้าหิมะโปรย ชนเผ่านอกด่านชาวต้าหัวคุกเข่าอีก เจ้านึกว่านี่คือการบุกโจมตีเค่อจือเอ่อร์หรือไงหา?! เพียงแต่การศึกที่ราชธานีทูเจวี๋ยถึงควรจดบันทึกแบบนี้ได้จริง เหล่าเกาไม่ได้คุยโว! ขอวกกลับมา หลายวันก่อนแม่ทัพหลินกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์กลับมาโดยไม่ได้แม้แต่จะเห็นหน้ากันด้วยซ้ำ เหล่าเกาเจ้ากลับกลับแพร่เรื่องแต่งนี้ไปถึงเหลาสุราโรงน้ำชา นั่นไม่ใช่การชี้นำปวงชนให้เข้าใจผิดหรอกหรือ?”
“ก็แค่เอาหลายเรื่องมาผสมกันก็เท่านั้นเอง ไม่ถึงขั้นทำให้เข้าใจผิด” เกาฉิวกระโดดลงจากโต๊ะ หยิบชาขึ้นมาแล้วกระดกดื่มเสียงดังอึกๆ ราวกับหิวกระหายพร้อมเช็ดมุมปาก หัวเราะร่วนแล้วพูดว่า “วันก่อนไม่ได้พบ พรุ่งนี้ไม่ใช่ว่าจะได้พบหน้ากันแล้วหรือ?! ถือว่าจองเรื่องเด็ดๆ ล่วงหน้าก็แล้วกัน! น้องหลินพูดแล้ว การเจรจาวันพรุ่งนี้เขาจะไปด้วยตัวเอง! ข้าเป็นฝ่ายไปขออนุญาตมาแล้วว่าพรุ่งนี้จะไปด้วย เหล่าหู เจ้าจะไปหรือไม่?!”
ไม่ใช่แค่หูปู้กุย แม้แต่สวี่เจิ้นหลี่อู่หลิงที่ฟังอยู่ด้านข้างก็ร้อนใจ ส่วนตู้ซิวหยวนก็ยิ่งตบพู่กัน “พวกเราจะไปด้วย!”
การเจรจารอบที่สองเกิดเหตุพลิกผัน แปรเปลี่ยนเหนือความคาดหมาย ยังไม่ทันเริ่มก็จบลงแล้ว เมื่อวานเช้าชาวทูเจวี๋ยส่งสารซึ่งเขียนโดยข่านดาบทองมาให้อีกครั้ง นัดหมายการเจรจาครั้งที่สามในวันพรุ่งนี้ ทว่าความจริงทุกคนต่างรู้ดีว่านี่คืออวี้เจียต้องการนัดแม่ทัพหลิน! ผู้ที่มีประสบการณ์ร่วมเป็นร่วมตาย ทุกข์สุขพบจากร่วมกับพวกเขา ใครบ้างจะไม่อยากดูให้ถึงที่สุด? ส่วนชะตาของทูเจวี๋ยและต้าหัวค่อยตัดสินหลังจากนี้
เกาฉิวผงกศีรษะ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไปหมดย่อมดีแน่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของน้องหลินเป็นเช่นไรแล้ว?!”
“เรื่องนี้ทุกคนวางใจได้” หลี่อู่หลิงกล่าวระคนหัวเราะ “มีฝีมือทางการแพทย์ของท่านน้าสวี ทั้งยังมีนางเซียนผู้ลึกลับคนนั้นอีก เกรงว่าตอนนี้พี่หลินคงมีความสุขจะตายแล้ว ไม่อย่างนั้นอีกประเดี๋ยวพวกเราไปแอบฟังกันก็ได้?!”
หูปู้กุยส่งเสียงจึ๊ๆ ตบกบาลเสี่ยวหลี่จื่อคราหนึ่ง “เจ้าเด็กนี่เพิ่งอายุเท่าไหร่ เหตุใดมีแต่ความคิดพิเรนทร์เต็มไปหมดเหมือนเหล่าเกาได้?!”
เหล่าเกาเต้นผาง หลี่อู่หลิงระเบิดโทสะ ทุกคนต่างหัวเราะกันขรม
“เจ้าพวกนี้โหวกเหวกอะไรกัน?!” ผู้บาดเจ็บนอนอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะครื้นเครงจากกระโจมที่อยู่ไกลๆ ก็อดขมวดคิ้วมุ่นพร้อมแค่นเสียงไม่ได้ “กำลังพูดนินทาข้าอยู่หรือเปล่า? ท่านย่ามัน โบยสามร้อยไม้ให้หมด! คุณหนูสวี ข้าลุกจากเตียงได้หรือไม่? ตอนนี้ข้ารู้สึกมีเรี่ยวแรงทั้งร่าง ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!”
กุนซือสวีมองค้อนเขาอย่างจนใจ นั่งลงหน้าเตียงเขาเบาๆ “ร่างกายนี้ของเจ้าเปลือกนอกดูดีมาก ทว่าภายในกลับต้องพักฟื้น มิเช่นนั้นหากเลือดลมไม่สงบ ความกลัดกลุ้มทำร้ายจิตใจจนกระอักโลหิตออกมาหลายคำเช่นวันก่อน ชีวิตนี้ของเจ้าเกรงว่าคงลุกมาใช้กระบองฟาดคนไม่ไหวแล้วล่ะ”
ลุกใช้กระบองไม่ได้? ปัญหานี้หนักหนาเกินไปแล้ว คนป่วยตกใจจนหน้าซีด หุบปากไม่พูดไม่จา
คุณหนูสวีหัวเราะพลางส่ายหน้า ควักกล่องผ้าแพรขนาดเล็กออกมาจากอกแล้วส่งใส่มือเขา “ให้เจ้า”
บนกล่องผ้าแพรนั้นปักหัวหมาป่าสีทองหัวหนึ่ง หลินหว่านหรงใจสั่นสะท้าน รีบพูดขึ้นมาว่า “นี่คืออะไร?”
“ยา!” สวีจื่อฉิงถอนหายใจแผ่วเบา “ยาที่ชนเผ่านอกด่านส่งมาให้!”
นั่นไม่ใช่อวี้เจียส่งมาให้หรอกหรือ? หลินหว่านหรงพ่นลมหายใจออกมายาวๆ เปิดกล่องผ้าแพรนั้นออกอย่างแช่มช้า ภายในกล่งใช้ผ้าสีทองห่อยาลูกกลอนขนาดเล็กไว้เม็ดหนึ่ง สีขาวปลอดทั้งเม็ด ส่งกลิ่นหอมสะอาดออกมาเป็นระยะ ด้านข้างยังมีมนุษย์ต้นหญ้าขนาดจิ๋ววางไว้ตัวหนึ่งอีกด้วย
ไม่เห็นมานาน มนุษย์หญ้าตัวนี้กลับสวมชุดอันวิจิตรบรรจง ถักทอด้วยผ้าไหม เพียงหน้าตาเจ้าเล่ห์นั้นกลับยากจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดกาล
กุมมนุษย์หญ้าตัวนั้นอยู่ในมือ ผ่านไปเนิ่นนานอารมณ์เขาก็ยากจะสงบลงได้ เจ้าของชิ้นนี้กับถุงน้ำและหนังแพะหลายแผ่นต่างเป็นสิ่งที่นางเซียนหนิงค้นออกจากตัวอวี้เจียก่อนที่จะลบความทรงจำ จากนั้นก็ห่ออย่างดีพร้อมฝังไว้ริมทะเลสาบอูซูปู้นั่วเอ่อร์ คิดไม่ถึงว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์จะตามหาทั้งหมดกลับมาได้!
จมูกร้าวระบม เขาบีบเม็ดยานั้นอย่างแรง แหงนหน้าแล้วเอาใส่ปาก เม็ดยาไม่รู้ว่าทำมาจากสิ่งใด พอเข้าปากก็ละลายทันที ในความเย็นแฝงกลิ่นหอม ทั้งยังหวานอีกด้วย
แม่หนูนั่นรู้ว่าข้ากลัวขมด้วยหรือ? เขาถอนหายใจยาวงเงียบๆ
“หรือว่าเจ้าไม่กลัวว่านางจะส่งยาพิษให้เจ้า?” สวีจื่อฉิงขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถามแผ่วเบา
หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ “คุณหนูสวีต้องตตรวจสอบด้วยตัวเองแล้วแน่นอน แล้วข้ายังจะกลัวอะไรกันอีก?”
คุณหนูสวีหน้าแดงเล็กน้อย แค่นเสียงด้วยความโมโหออกมา “เจ้ากลับเชื่อใจนางมากนักนะ! ธนูที่นางยิงใส่เจ้าดอกนั้น เจ้าไม่ใส่ใจสักนิดเลยหรือ?!”
คำถามนี้ถามได้ตรงประเด็น เขาคิดแล้วคิดอีก จากนั้นจึงจับมือสวีจื่อฉิงพร้อมยิ้มแย้ม “ยิ่งใส่ใจก็ยิ่งวางไม่ลง! เจ้าอยากให้ข้าใส่ใจหรือไม่ใส่ใจ?!”
นี่ควรตอบเช่นไร?! คุณหนูสวีลังเลอยู่นาน จากนั้นจึงส่ายหน้าด้วยความอับจนปัญญาพร้อมถอนหายใจเบาๆ “เยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้นี้รวบรวมความฉลาดปราดเปรื่องและสติปัญญาทั่วทั้งแผ่นดินไว้กับตนจริงๆ ให้ความสำคัญกับความรักและคุณธรรม ความรักหนักแน่นยิ่งกว่าทองคำ หากข้าเป็นบุรุษ ข้าก็ไม่อาจหักใจทอดทิ้งนางเช่นกัน เพียงแต่เจ้าต้องจำไว้ บนโต๊ะ เจรจา นางมิใช่เยวี่ยหยาเอ๋อร์ แต่เป็นข่านใหญ่ทูเจวี๋ย เจ้าเผชิญหน้าอย่างเปิดเผยกับนางได้จริงหรือ?!”
หลินหว่านหรงส่งเสียงอืม ครุ่นคิดอยู่นาน แย้มยิ้มพร้อมตอบว่า “น่าจะได้กระมัง ไม่อย่างนั้นเลือดหลายกระอักเมื่อวันก่อนจะไม่เสียเปล่าหรอกหรือ? หรือว่าต้องให้ข้ากระอีกอีกรอบ?!”
“พูดเหลวไหล!” คุณหนูสวีรีบกดปากเขาเอาไว้
หลินหว่านหรงกะพริบตา อาศัยจังหวะจุมพิตที่นิ้วมืออันเรียวยาวของนางเบาๆ สวีจื่อฉิงใบหน้าใบหูแดง รีบหดมือกลับไป
“เจ้าดูสิ ของพวกนี้คือชุดใหม่ รองเท้าถุงเท้าใหม่ที่ส่งมาจากเมืองหลวงให้เจ้า พวกนางแต่ละคนต่างทำให้เจ้าสองชุด! ยังมีอีก จดหมายจากทางบ้านตั้งมากมายนี้ล้วนส่งมาให้เจ้าทั้งนั้น!” คุณหนูสวีหยิบห่อผ้าขนาดยักษ์ออกมาห่อหนึ่ง กลับเป็นอาภรณ์ที่ส่งมาจากเมืองหลวงทั้งสิ้น จดหมายจากทางบ้านหนาเตอะนั้นก็กองพะเรอ ในช่วงสามเดือนที่เข้าออกห้วงความเป็นความตายนี้ สวีจื่อฉิงเก็บรวบรวมและจัดระเบียบให้เขาทั้งหมด
ดึงจดหมายติดมือออกมาฉบับหนึ่ง กลับส่งมาตั้งแต่ร้อยวันก่อนแล้ว บนกระดาษจดหมายขาวสะอาดวาดรูปสตรีที่กำลังหัวเราะงามเฉิดฉันเบาๆ นางหนึ่ง ท้องน้อยที่นูนขึ้นแอ่นขึ้นสูง ดวงหน้าอันงามพิลาสเปล่งประกายอ่อนโยน บนกระดาษจดหมายเขียนสั้นๆ เพียงสองคำ “หลินหลาง…” ที่เหลือนั้นคือคราบน้ำตาเป็นดวงๆ
เขากำกระดาษจดหมายนั้นอยู่ในมือ ผุดลุกขึ้นมาทันที กลับทำให้คุณหนูสวีตกใจสะดุ้งโหยง “เป็นอะไรไป?!”
เขาเช็ดหางตาที่เปียกชื้น มองดูราตรีอันมืดสนิทนั้นพร้อมเอื้อนเอ่ยเบาๆ “เจรจา! เจรจาเดี๋ยวนี้! เจรจาเสร็จแล้วพวกเราก็กลับบ้าน! เมียข้าคลอดลูกให้ข้า ข้าต้องเฝ้าอยู่ข้างกายนาง!” ยากเย็นนักกว่าจะได้อยู่ร่วมกันอีก ยากเย็นนัก เขาทอดถอนใจคราหนึ่ง