ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 618 - 2 พานพบ
แม้จะเป็นยามเช้าตรู่ ทว่าลมทะเลทรายก้ยังพัดพาไม่หยุด ทว่าความรู้สึกกลับต่างไปโดยสิ้นเชิง เมื่อก่อนคือรีบไปออกรบ เผชิญหน้ากับความเป็นความตาย ไหนเลยจะผ่อนคลายสบายอารมณ์เช่นตอนนี้
ทุกคนกินอาหารแห้งจำนวนหนึ่งอย่าลวกๆ ขี่ม้าเอ้อระเหยบนทะเลทราย ทอดสายตามองดวงตะวันสีแดงที่ตัดผ่านไอหมอกในทะเลทรายอยู่ไกลๆ เพียงชั่วพริบตาแสงสุริยาก็สาดส่องไปทั่ว ตกกระทบใบหน้าจนเป็นสีแดง ช่างมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก พวกของหูปู้กุยตู้ซิวหยวนเกาฉิวกลับบังเกิดความคึกคักสนุกสนาน ส่งเสียงร้องวิ่งไล่จับท่ามกลางแสงอรุโณทัย คึกคักยิ่งนัก
กลับเป็นคุณหนูสวีที่มีจิตใจละเอียดถ้วนถี่ เมื่อเห็นหลินหว่านหรงนิ่งเงียบมาตลอดทางจึงรีบกุมมือเขาเบาๆ ความรักอันไร้เสียงนั้นทำให้คนซาบซึ้งใจ
ไม่รู้ว่าเดินทางไปนานเท่าใด ทรายสีเหลืองค่อยๆ เลือนหาย ณ สถานที่อันห่างไกลนั้นพื้นที่สีเขียวมรกตขนาดใหญ่มหึมาตกกระทบม่านจักษุ ในที่สุดเขตรอยต่อระหว่างทะเลทรายกับทุ่งหญ้าก็ปรากฏใกล้เพียงตรงหน้า
“ดูเร็ว!” คุณหนูสวีพลันส่งเสียงตกใจ
ปะรำที่สร้างขึ้นระหว่างเขตรอยต่อของสองแว่นแคว้นล้อมด้วยผ้าโปร่งสีชมพูชั้นหนึ่งตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ ผ้าโปร่งขยับพลิ้วไหวไปตามสายลมทะเลทราย ราวกับเทพธิดาฉางเอ๋อโบกสะบัดแขนเสื้ออย่างเร็วรี่ ทั้งยังเหมือนเมฆาซึ่งกำลังเคลื่อนคล้อยอย่างงามสง่าริมขอบฟ้า
ภายในผ้าโปร่งสีชมพูมีบุปผาสีสันสดใสอยู่เต็มไปหมด ทั้งสีแดง สีขาว สีน้ำเงิน สีชมพู ทั้งรู้จักบ้าง ทั้งไม่รู้จักบ้าง ทั้งหมดล้วนเป็นบุปผาป่าที่เพิ่งจะเด็ดมา ต่างประดับด้วยหยาดน้ำค้างที่ส่องประกายสีสันสดใสงามตา แต่ละช่อต่างประชันกันผลิบาน เมื่อมองไกลๆ ทะเลบุปผาประหนึ่งพรหลากสีสันที่สลักเสาอยู่ ณ ริมขอบฟ้า
ใจกลางกลุ่มบุปผานั้นปูด้วยดอกอีลี่ซา (ดอกกุหลาบ) สีแดงสด ดั่งเมฆาที่เปล่งระกายเรืองรองงดงาม มีสตรีสวมหมวกถักด้ายทองนางหนึ่ง ชุดกระโปรงของชนเผ่านอกด่านแผ่สยาย นางนั่งสงบนิ่งอยู่กึ่งกลางหมู่มวลบุปผาสีแดงเพลิง สีขาดสะอาดที่แต้มข้างจอนผมเป็นสีที่งดงามมากที่สุดท่ามกลางมวลบุปผชาติ
ทุ่งหญ้าสีเขียวจีที่ทอดยาวเชื่อมถึงขอบฟ้า หมู่บุปผาหลากสีสันอันไร้ประมาณ โฉมสะคราญซึ่งปรากฏเพียงในภาพวาดเท่านั้น ไม่เพียงพวกของเหล่าเกา แม้แต่สวีจื่อฉิงก็ยังอดมองจนเหม่อลอยไปไม่ได้
ภาพความงดงามอันยิ่งใหญ่อลังการเช่นนี้ มีแค่สตรีชนเผ่านอกด่านผู้ร้อนแรงไม่รับการผูกมัด กล้ารักกล้าแค้นเช่นนี้เท่านั้นถึงกล้าแสดงความรู้สึกออกมาอย่างเต็มที่ หากเปลี่ยนเป็นสตรีต้าหัว ผู้ใดจะกล้าทำเช่นนี้บ้าง? และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ สวีจื่อฉิงก็รู้สึกอิจฉาสตรีแห่งทุ่งหญ้า รักอย่างร้อนแรง แค้นอย่างเผ็ดร้อน ชีวิตของนางช่างสมบูรณ์นัก ไร้ซึ่งความเสียดายอันใด!
“งดงามเหลือเกิน!” ในที่สุดคุณหนูสวีก็ถอนหายใจออกมายาวๆ ในฐานะที่เป็นสตรี การทอดถอนชมเชยนี้ออกมาจากใจจริง เพียงแต่ไม่รู้ว่านางชมเชยบุปผาหรือว่าชมเชยตัวคนกันแน่
เกาฉิวเห็นแล้วก็ทอดถอนใจไม่หยุด ควบม้าไล่ตามหลินหว่านหรงไปสองก้าว เอ่ยเสียงเบาออกมาว่า “น้องหลิน เจ้าดูสิ เยวี่ยหยาเอ๋อร์กำลังรอเจ้าอยู่นะ!”
ข่านดาบทองผู้งดงามเงยหน้าขึ้นมาจากมวลบุปผาสีสันตระการตา สายตาอ่อนโยนพุ่งตรงมาที่ทะเลทราย
เห็นๆ อยู่ว่ามีแต่ทุ่งหญ้าเขียวขจีและบุปผาสีแดงเต็มไปหมด ร้อนแรงยิ่งนัก เพียงแต่สีขาวข้างจอนผมของนางกลับเพิ่มความเศร้าโศกาจางๆ ท่ามกลางความร้อนแรงนี้
หลินหว่านหรงเบ้าตาเปียกชื้น “ใช่แล้วล่ะ นางกำลังรอข้าอยู่!”
เขาพลิกตัวลงจากม้า ริมฝีปากขมุบขมิบหลายครั้ง เท้าคิดจะขยับไปข้างหน้า ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ขาทั้งสองข้างกลับเหมือนกรอกด้วยตะกั่ว ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย
“ไปกันเถอะ!” มือน้อยอันอบอุ่นอ่อนนุ่มข้างหนึ่งกุมมือขาอย่างเงียบๆ เสียงแผ่วเบาของคุณหนูสวีดังข้างใบหู “สตรีในโลกหล้า หากเอ่ยถึงความร้อนแรงยึดมั่นจริงใจ นางถือเป็นอันดับหนึ่ง! ผู้ใดก็ไม่อาจเทียบนางได้!”
หลินหว่านหรงพ่นลมหายใจออกมายาวๆ สงบลมหายใจกระชั้นถี่ครู่หนึ่ง ขยับฝีเท้าแล้วก้าวไปเบื้องหน้าอย่างแช่มช้า
เท้าของเขาย่ำลงไปในทราย เงียบงันไร้สรรพสำเนียง ถึงกระนั้นทุกคนกลับกลั้นลมหายใจ ไม่กล้าปล่อยลมหายใจออกมาแรงๆ
ร้อยจั้ง แปดสิบจั้ง ห้าสิบจั้ง ใบหน้าดำทะมึนนั้นเห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากร่างกายที่ผ่ายผอมลงไปบ้าง แม้แต่รอยยิ้มชั่วร้ายที่มุมปากก็ไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย อวี้เจียกำอีลี่ซาที่อยู่ในมือแน่น ร่างกายสั่นระริกอย่างรุนแรงราวกับกระชอน ปล่อยให้หนามกุหลาบอันแหลมคมทิ่มตำนิ้วมือ โลหิตสดๆ แปดเปื้อนบุปผาอันงดงามนี้ที่ละหยดทีละหยด
พุ่มดอกไม้อันไร้ประมาณงดงามราวกับเทพนิยาย เมื่อย่ำเท้าเข้าไปเบาๆ ก็บังเกิดเสียงดังสวบสาบ มวลบุปผชาติที่มีเต็มพื้นที่กำลังขับขานบทเพลง ทำให้คนหน้ามืดตาลายราวกับไม่ใช่เรื่องจริง
เหนือศีรษะคือท้องนภาสีครามบริสุทธิ์ เบื้องหน้าเต็มไปด้วยสีสันหลากหลาย ราวกับอยู่ในดินแดนแห่งบุปผา ไม่ว่าจะขยับเขยื้อนเช่นไร ทอดสายตามองเช่นไรก็มีแต่สีเขียวสีแดง สีสันสดใสเต็มไปหมด ราวกับว่าโลกนี้หมุนโคจรในดงบุปผา จุดศูนย์กลางของการโคจรก็คือสตรีผู้งามพิลาสยวนเย้าซึ่งกำลังนั่งอย่างสงบนิ่งนางนั้น
เรือนผมงามดั่งเมฆาปล่อยสยายราวกับน้ำตกสีนิลที่ไหลถั่งท้น ท่ามกลางแสงอรุโณทัยสาดส่อง ผิวขาวกระจ่างใสขาวสะอาดบริสุทธิ์ไร้มลทินราวกับหยกงามจากสระสวรรค์ ดวงหน้าอันงดงามอ่อนโยนราวกับสลักเสลาจากหยกงาม ทั้งแข็งแกร่งและอ่อนโยน
เยวี่ยหยาเอ๋อร์! ยังคงเป็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้นั้นดังเดิม!
เพียงแต่สีขาวผุดผ่องสองข้างที่เพิ่มมาใหม่นั้นเฉกเช่นหิมะที่ไม่มีวันหลอมละลาย ประดับอยู่ที่จอนผมนาง ทำให้ไม่อาจลืมเลือนไปทุกภพทุกชาติ
ใจเขารู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ร่างชะงักค้างราวกับมนุษย์ไม้ ผ่านไปเนิ่นนานถึงจะก้าวไปข้างหน้าอย่างแช่มช้าทีละก้าว ทีละก้าวด้วยร่างกายอันสั่นเทา บุปผาไร้ประมาณที่อยู่ใต้เท้าเขาส่งเสียงสวบสาบเบาๆ สีแดงสีเขียวลอยล่อง กลิ่นหอมจางๆ ฟุ้งขึ้นมา แต่เขากลับไม่รู้สึกแม้แต่น้อย
อวี้เจียร่างค่อยๆ สั่นระริก นางไม่เปล่งวาจา จ้องเขาเขม็ง ภายในดวงตาอันล้ำลึก ไอน้ำที่เบางบางดั่งผ้าโปร่งค่อยๆ เอ่อขึ้นมา กลีบริมฝีปากสีแดงสดทั้งสองขมุบขมิบพึมพำกับตนเองไม่หยุด
เมื่อเห็นสายตาดุจลูกเกาทัณฑ์นั้นของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ หลินหว่านหรงลำคอแห้งผาก ระยะทางเพียงไม่กี่จั้งนี้แต่ละย่างก้าวล้วนหนักอึ้งราวพันชั่งย่างเห็นได้ชัด ทำให้เขาบังเกิดความรู้สึกว่าอยากหันหัวกลับแล้ววิ่งหนีไปด้วยสภาพทุลักทุเล เขาสร้างความแข็งแกร่งให้ตนเองด้วยการสูดลมหายใจ ย่างก้าวด้วยความยากลำบาก ท่ามกลางความเงียบสงัด เขาได้ยินเสียงลมหายใจกระชั้นถี่ของอวี้เจียกับเสียงหัวใจเต้นโครมครามของตัวเองว่ามีจังหวะเดียวกันอย่างชัดเจน
ยากลำบากยิ่งกว่าย้ายขุนเขาเสียอีก เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาทีละก้าว ย่ำลงบนดวงดอกกุหลาบสีสันสดใสนั้น แต่ละย่างก้าวอันหนักแน่นเหมือนกระแทกลงบนจิตใจตน ยิ่งเข้ามาใกล้ ประกายกระจ่างใสที่มีอยู่ในดวงตาเขาก็เห็นอย่างชัดเจน อกงามของเยวี่ยหยาเอ๋อร์สะท้อนอย่างรุนแรง หลั่งน้ำตาอย่างเงียบงัน
“อ๊า!” เสียงตะโกนดังลั่น ในที่สุดข่านดาบทองผู้เงียบงันก็ระเบิดอารมณ์ มือทั้งสองข้างของนางมีโลหิตไหลริน คว้าดอกกุหลาบสีแดงสดที่อยู่ข้างกายมาอย่างรวดเร็ว ใช้เรี่ยวแรงทั่วทั้งสรรพางค์กาย ปาใส่คนที่เดินย่างก้าวเข้ามาหาอย่างแช่มช้าอย่างรุนแรง
ทีละช่อทีละกำพร้อมน้ำค้างและโลหิต กระแทกใบหน้าและร่างกายเขาประหนึ่งฝนบุปผาที่ร่วงหล่นจากท้องฟ้า จากนั้นก็ร่วงหล่นอย่างเงียบงัน กลิ่นหอมปะทะจมูก ทว่าจิตใจกลับร้าวรอนอย่างหาที่เปรียบมิได้
สีแดงเพลิงเต็มพื้น กลีบบุปผาเต็มพื้น ท่ามกลางน้ำตาพร่ามัว นางไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ใช้สองมือคว้าอย่างเร็วรี่ สีแดงเพลิงพร้อมเสียงลมหวีดหวิวรุนแรงกระแทกใบหน้าและหน้าอกเขาราวกับคนเสียสติ ดอกไม้ที่มีอยู่เต็มไปหมดนี้กลายเป็นอาวุธที่ใช้โจมตีของนาง
กลางดงบุปผาอันงดงาม กลีบบุปผาลอยล่อง เฉกเช่นพิรุณสีแดงเพลิงตกกระทบใบหน้าเขา แผ่วเบาและอ่อนโยน ราวกับมือของอวี้เจีย