ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 620 หมาป่าทะเยอทะยาน
เป็นเรื่องบังเอิญที่สวยงามมากที่สุดในโลกจริงๆ! เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขาเบาๆ หลินหว่านหรงตัดสินใจว่าจะเงียบ เบือนหน้าไปอย่างเงียบงัน หลบเลี่ยงสายตาของนาง
“อัวเหล่ากง”
“ขอให้เจ้าโปรดเรียกชื่อต้าหัวของข้า!”
“หลินซานอัวเหล่ากง”
จะตายแล้วนะ! เขารีบสูดลมหายใจยาวๆ หมุนกายไปอย่าแช่มช้า ส่ายหน้าด้วยท่าทีจริงจัง “ข่านใหญ่ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าจำเป็นต้องเตือนสติเจ้า! ตอนนี้พวกเรากำลังเจรจากันอยู่ ไม่ได้คุยเรื่องอื่นกัน ขอให้เจ้าโปรดจริงจังสักหน่อย!”
อวี้เจียกัดฟันกรอด หลุบตาลงไปอย่างเงียบงัน “เจ้าอยากเจรจากับข้ามากจริงหรือ”
“ไม่ใช่ข้าอยาก เรื่องนี้แต่เดิมก็เป็นชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้าที่เสนอมา!”
“เช่นนั้นก็ได้” ข่านดาบทองตบโต๊ะอย่างเดือดดาล ผุดลุกขึ้นมา “ตอนนี้ข้าจะตอบเจ้า! ใต้เท้าหลิน เงื่อนไขสี่ข้อที่เจ้าบอกมา ข้าไม่ตกลงสักข้อ!”
“เจ้าแน่ใจ?” หลินหว่านหรงยิ้มหยันเย็นชา
มองดูใบหน้าดำทะมึนนั้นของเขาแล้ว อวี้เจียก็ร่างกายสั่นเทาอย่างรุนแรง “มั่นใจแล้วจะทำไม? ซาเอ่อร์มู่เป็นบุตรชายของข่านผีเจีย การเสียสละเพื่อทุ่งหญ้านั่นถือเป็นเกียรติยศของเขา! เพื่อความสุขของคนในเผ่าเรา อวี้เจียยอมเป็นหยกที่แหลกลาญ แต่ไม่ยอมเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์ ไม่ยอมถูกเจ้าข่มขู่เด็ดขาด!”
มองดูร่างที่ที่สั่นระริกราวกับไม่อาจต้านทานลมได้ของนาง หลินหว่านหรงพลันแหงนหน้าแล้วหัวเราะออกมายาวๆ “ยอมเป็นหยกที่แหลกลาญ แต่ไม่ยอมเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์ที่ดียิ่งนัก! ข่านใหญ่ คำพูดใหญ่โตพวกนี้เอาพูดปลอบใจหลอกราษฎรทูเจวี๋ยของเจ้าน่ะได้ แต่อย่าเอามาเอ่ยต่อหน้าข้า คนแซ่หลินไม่โดนลูกไม้นี้แน่! ข้าขอพูดอย่างไม่เกรงใจเลยก็ได้ หากเจ้ามีความกล้าที่จะละทิ้งซาเอ่อร์มู่ เสด็จพ่อของเจ้าคงไม่เอาภาระอันหนักอึ้งนี้มอบให้เจ้าแล้วล่ะ!”
“เจ้า!” อวี้เจียหน้าซีด กัดฟันจนส่งเสียงดังกรอดกรอด อกงามสะท้อนขึ้นลงอย่างรุนแรง แม้แต่นิ้วมือก็ยังสั่นระริก
หลินหว่านหรงคล้ายมองไม่เห็นสายตาของนาง เดินย่างก้าวพลางส่ายหน้า กล่าวเย้ยหยันออกมาว่า “สมมติว่าต่อให้เสียสละซาเอ่อร์มู่ไปแล้วคนในเผ่าเจ้าจะได้รับความสุขเพราะเหตุนี้หรือ? การรบที่ควรรบก็จะไม่รบ คนที่ควรตายไปก็จะไม่ตาย? ช่างเป็นเรื่องสมมติที่น่าหัวร่อ! คุณหนูอวี้เจีย การหลอกลวงผู้อื่นนั้นย่อมน่าแค้นใจ แต่การหลอกตัวเอง นั่นกลับน่าสงสารและน่าเศร้ามากนะ!”
แต่ละคำของเขาล้วนเย็นเยียบดั่งศิลาน้ำแข็ง ทว่ากลับทำให้ความหวังของอวี้เจียสลายไปจนหมดสิ้นภายในชั่วพริบตา
ข่านดาบทองหลับตาลงอย่างหมดแรง นั่งล้มลงบนเก้าอี้ทันที “เจ้า มองจุดตายของข้าออกตั้งแต่แรก!”
“ก็เหมือนกันเท่านั้นนั่นล่ะ เจ้าต้องการคุยส่วนตัวกับข้า นั่นไม่ใช่กำลังหาจุดตายของข้าอยู่หรือ” เขาส่ายหน้าเล็กน้อย ทันใดนั้นก็หัวเราะอย่างขมขื่น “บางที ตอนนี้เจ้าน่าจะเข้าใจแล้วว่าการที่ข้ามีชีวิตอยู่นั้นหาใช่ความสุขของเจ้าไม่!”
“จะใช่ความสุขของข้าหรือไม่ ไม่ต้องให้เจ้ามาถาม!” อวี้เจียกัดฟันกรอดพร้อมตวาดอย่างมีน้ำโห นางเงยหน้าขึ้นมาในทันที ดวงตาผุดประกายเย็นเยียบ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราก็พูดจากเปิดอกกันไปเลย! เงื่อนไขสี่ข้อของเจ้า แต่ละข้อรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ข้า แต่ราษฎรทูเจวี๋ยของข้าก็ไม่มีวันตกลง!”
“ไม่จำเป็น!” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยท่าทางสบายอารมณ์ “ขอเพียงข่านใหญ่นั่งลงคุยกันได้ก็ต้องมีวิธีแก้ไขแน่นอน! ไม่รู้ว่าเจ้าจะยินดีหรือไม่!”
เขานั่งลงไม่เร็วไม่ช้า สายตาจดจ้องร่างเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ไม่ยิ้มแย้มไม่เอ่ยวาจา ท่าทางอันสุขุมลุ่มลึกนั้นทำให้เยวี่ยหยาเอ๋อร์แค้นใจจนกัดฟันกรอดกรอด ใคร่เข้าไปอัดหน้าเขาสักหมัดหนึ่ง
“ข้านับถึงสาม หากเจ้ายังไม่นั่งลง เช่นนั้นก็ไม่ต้องคุยกันแล้ว!” เขาแบมือ พร้อมยิ้มบาง “หนึ่ง! สอง! สาม!”
“เจ้ากล้า?!” ข่านดาบทองตวาดเสียงเจื้อยแจ้วคราหนึ่ง ใบหน้าแดงก่ำ จับเก้าอี้พลิก กลับนั่งหันหลังเขา
การเจรจาแบบนี้บนโลกนี้กลับมีน้อยนัก! เขาส่ายหน้าพร้อมยิ้มขื่น แต่เป็นเช่นนี้กลับตรงกับความต้องการเขา หากเผชิญหน้าอวี้เจียโดยตรง พอพูดถึงประเด็นสำคัญ จะหักใจได้หรือไม่ เขาปราศจากความมั่นใจแม้แต่น้อย
“เงื่อนไขสี่ข้อ พวกเราคุยทีละข้อกันก็ได้! ข้อแรก ข่านใหญ่มีความเห็นค้านหรือไม่?!”
เมื่อเทียบกับอีกสามข้อ ข้อนี้ถือว่าช่างใจกว้างและมีเมตตามาก! อวี้เจียแค่นเสียง กล่าวเย้ยหยันออกมา “หยุดรบข้าเห็นด้วย! เพียงแต่การป่าวประกาศไปทั่วหล้านั้นกลับลำบาก! อีกอย่าง กระดาษแผ่นเดียวจะควบคุมยาวนานถึงห้าสิบปี? ไม่รู้ว่าเจ้าโง่จริงหรือว่าแกล้งโง่กันแน่?!”
“เช่นนั้นเจ้าคิดจะควบคุมไปกี่ปี?!”
“อย่างมากก็สามสิบ” อวี้เจียอึ้ง ทันใดนั้นก็ตบเก้าอี้อย่างเดือดดาล “หลอกให้ข้าพูดอีกแล้ว! เจ้าคนหลอกลวงผู้กลิ้งกลอก!”
หลินหว่านหรงกล่าวเย้ยหยัน “ข่านใหญ่ ทุกคนต่างมีสายตาแจ่มชัด! ใครหลอกใครก็ยังไม่แน่จริงๆ นะ!”
อวี้เจียกัดปากด้วยท่าทีแข็งกร้าว ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “คนหลอกลวงผู้ฉลาดเฉลียว!”
“ป่าวประกาศทั่วหล้าอะไรที่ว่ามันก็แค่การเล่นตัวอักษรเท่านั้น เขียนให้มันยิ่งใหญ่อลังการอย่างหาที่เปรียบมิได้ก็ได้ ข้าไม่เชื่อว่ากับอีแค่ไม่กี่ประโยคนี้เจ้าก็ยังเขียนไม่ออก” หลินหว่านหรงโบกมืออย่างเย็นชา “พูดให้มันตรงไปตรงมาสักหน่อยเถอะ ข้อนี้ ข่านใหญ่ตกลงหรือไม่?”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์ส่ายหน้าหนักแน่น “พูดเงื่อนไขให้หมดก่อน แล้วข้าจะพิจารณาทั้งหมดเอง เจ้ามาถามข้าตอนนี้ไม่มีประโยชน์อันใดทั้งสิ้น!”
นังหนูคนนี้ฉลาดนัก นางจงใจรวมสี่ข้อให้เป็นเรื่องเดียว จากนั้นก็นำหนึ่งในนั้นวนย้อนกลับไปกดดันฝ่ายตรงข้าม บีบคั้นให้เขาถอย
หลินหว่านหรงไม่เปิดโปง กล่าวเรียบๆ ออกมาว่า “เช่นนั้นข้อที่สอง บรรณาการยี่สิบปี!”
อวี้เจียผุดลุกขึ้น หันหน้ากลับมามองเขาอย่างเย็นชา “มากที่สุดคือหนึ่งปี!”
“ยี่สิบปี!”
“หนึ่งปี!” อวี้เจียตบเก้าอี้ด้วยความเดือดดาล!
หลินหว่านหรงกระแทกโต๊ะหนักๆ เสียงดังปัง “ข้าบอกว่ายี่สิบปี! ห้ามขาดแม้แต่ปีเดียว!”
“เช่นนั้นเจ้าฆ่าข้าไปเลย!” อวี้เจียคำรามด้วยโทสะเสียงดังลั่น ใช้เท้าถีบเก้าอี้อยู่ด้านข้างออกไปอย่างมีโทสะ กระแทกโต๊ะเจรจาเสียงดังปังจนแตกหักกระจายปลิวกระเด็น! ทั้งสองเบิกตาโพลงพร้อมกัน ถลึงตามองฝ่ายตรงข้ามด้วยความเดือดดาล ราวกับราชสีห์ที่กำลังโกรธกริ้วสองตัว ไม่มีใครยอมถอยให้ใคร!
ทุกคนที่อยู่ข้างนอกได้ยินเสียงดังลั่นมาจากด้านในปะรำครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งสะเทือนแก้วหู ราวกับจะพลิกคว่ำปะรำให้ถล่มลงมา ไม่เหมือนการเจรจา แต่กลับเหมือนกำลังต่อยตีกันอยู่ เพียงแต่จอมทัพของทั้งสองฝ่ายไม่ได้เอ่ยวาจา ไม่ว่าใครจึงไม่กล้าเข้าไป!
“อย่าเอาท่าทีสังหารคนมาทำให้ข้าตกใจกลัว นั่นไม่ใช่เรื่องที่มีเกียรตินัก!” หลินหว่านหรงถอนหายใจเบาๆ เล็กน้อย!
“แต่ข้าฆ่าเจ้าไปแล้วครั้งหนึ่ง!” อวี้เจียเบือนหน้าไป น้ำตารื้น “ห้าปี! นี่คือขีดจำกัดของข้า!”
“สิบปี! นี่คือขีดจำกัดของข้าเช่นกัน!” หลินหว่านหรงสีหน้าเรียบเฉย ไม่ปล่อยโอกาสให้นางโต้แย้ง “เงื่อนไขข้อที่สาม ทางใต้ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ!”
ข่านดาบทองค่อยๆ สงบอารมณ์อันพลุ่งพล่าน นัยน์ตาเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง “เจ้าคิดจะให้ข้าเฉือนแบ่งแผ่นดิน? ข้าขอให้เจ้าอย่าเพ้อฝันถึงดินแดนของชาวทูเจวี๋ยเรา ขอพูดอย่างไม่เกรงใจตามความสัตย์จริง ต่อให้เจ้าได้ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อไป เจ้าคิดว่าจะเฝ้ารักษาได้สักกี่วัน?!”
แม้ใบหน้านางจะดูถูกดูแคลน ถึงกระนั้นสิ่งที่พูดกลับเป็นเรื่องจริง
“จะเฝ้ารักษาได้หรือไม่ นั่นมันเรื่องของข้า ข่านใหญ่ไม่ต้องกังวล!” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ข้าก็แค่อยากเตือนเจ้า ตอนนี้เจ้าไม่มีทางเลือก!”
อวี้เจียเสียใจและเดือดดาลระคนกัน กำหมัดจนแน่น “ข้าขอบอกเจ้าคนใจอำมหิตเช่นเจ้าเหมือนกัน หากตัดแบ่งดินแดนให้เจ้า ข้ากับซาเอ่อร์มู่จะกลายเป็นคนบาปแห่งทุ่งหญ้า ไม่มีหน้ากลับไปพบราษฎรของข้า เสด็จพ่อของข้าได้อีก หากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นไม่สู้ให้กับซาเอ่อร์มู่ตายตกตามกันไปเลยจะดีกว่า!”
คุยมาจนถึงขั้นนี้ เบื้องหน้าเหมือนเป็นทางตัน ไม่อาจหาทางออกได้เลย หลินหว่านหรงพ่นลมหายใจยาว “เอาเถอะ ข้าถอยก้าวหนึ่ง ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อไม่ต้องอยู่นอกอาณัติทูเจวี๋ยก็ได้…”
อวี้เจียนิ่งอึ้ง “เจ้า เจ้าพูดจริงหรือ?!”
เขาผงกศีรษะด้วยท่าทีจริงจัง “เรื่องที่ข้าพูดไปแล้วย่อมคำไหนคำนั้น ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อยังคงเป็นดินแดนของชาวทูเจวี๋ย เพียงแต่ข่านใหญ่ต้องรับปากเงื่อนไขข้าเรื่องหนึ่ง…วันหน้าดินแดนหลายร้อยลี้จากทางใต้ของปาเยี่ยนเฮ่าเท่อยังคงเป็นคงพวกเจ้า แต่เจ้าต้องป่าวประกาศว่าจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นเขตการค้าเสรีระหว่างต้าหัวกับทูเจวี๋ย!”
“เขตการค้าเสรี?” ข่านดาบทองตกใจ “หมายความว่าอะไร?!”
“ภายในเขตการค้าเสรีนี้ ทั้งสองฝ่ายห้ามตั้งกองทัพ เหลือเพียงเจ้าหน้าที่รักษาความสงบสุขโดยเฉพาะก็พอ! ขอข่านใหญ่มีราชโองการ อนุญาตให้พ่อค้าต้าหัวลงทุนและแลกเปลี่ยนสินค้าอย่างอิสระที่นี่ได้ อนุญาตให้ราษฎรสองแว่นแคว้นโยกย้ายสำมะโนครัว ทำการค้าร่วมกัน แต่งงานกัน ส่งพัสดุหากัน เดินทางหากันได้อย่างอิสระ อนุญาตให้ทั้งสองแคว้นเผยแผ่วัฒนธรรมกันอย่างอิสระ! ขณะเดียวกันต้าหัวเราจะส่งเจ้าหน้าที่เฉพาะทางรวมถึงนำประชากรบางส่วนโยกย้ายถิ่นฐานมาที่นี่ เพื่อถ่ายทอดทักษะอันโดดเด่นของต้าหัวเรา อาทิ วรรณศิลป์ภาพวาดจรรยาและดนตรี เพาะปลูกทำเกษตรกรรม การก่อสร้าง ชาวทูเจวี๋ยเองก็ถ่ายทอดทักษะการขี่ม้าให้พวกเรา! นอกจากนี้พวกเราจะสร้างตึกรามบ้านช่องจำนวนมากภายในเขตการค้าเพื่อให้ราษฎรจากทั้งสองแคว้นอยู่อาศัย! ถือเป็นการตอบแทนที่ทูเจวี๋ยมอบพื้นที่ให้ ภาษีที่เก็บได้ภายในเขตการค้าเสรีให้แบ่งตามสัดส่วนแก่ทั้งสองแคว้น!”
อวี้เจียเป็นชนชั้นฉลาดหลักแหลมเพียงใด เมื่อได้ฟังไปไม่กี่ประโยคก็หน้าซีด! นางสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ชี้จมูกเขาแล้วพูดว่า “เขตการค้าเสรีที่ดีนักนะ! เจ้า เจ้าหมาป่าทะเยอทะยาน!”
หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างเงียบงัน “คำพูดของข่านใหญ่ข้าไม่เข้าใจ! ข้อเสนอที่ข้าเสนอนี้ทั้งไม่ต้องตัดแบ่งดินแดนเจ้า ทั้งยังเปลี่ยนแปลงชีวิตชาวทูเจวี๋ยให้ดีขึ้น ฟื้นฟูความสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้น ถือว่าเป็นแผนที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แล้วไปเอาหมาป่าทะเยอทะยานมาจากที่ไหนกัน?”
อวี้เจียแหงนหน้าพร้อมถอนหายใจยาว เศร้าใจและเดือดดาลระคนกัน “ตอนนี้ข้าถึงเข้าใจ เจ้าเสนอเรื่องตัดแบ่งดินแดนแล้วยังมาหน้าทำตามีเมตตายอมถอยก้าวหนึ่งอะไรที่ว่า ที่แท้เรื่องนี้เจ้าก็วางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว นับตั้งแต่แรกเจ้าไม่ได้คิดจะครอบครองปาเยี่ยนเฮ่าเท่อเลย เพราะเจ้ารู้ว่ามันไม่อาจครอบครองได้ เจ้าทำเพื่อเขตการค้าเสรีอะไรที่ว่านี่! พูดจาเสียน่าฟัง ลงทุนการค้า เผยแผ่วัฒนธรรมอะไรกัน! เจ้าต้องการให้ชาวทูเจวี๋ยเราร่ำเรียนเขียนอ่าน เพาะปลูกทำการเกษตร อาศัยในบ้านเรือน ครั้นพวกเรายอมรับชีวิตอันสงบสุขเช่นนี้ ผู้ใดยังจะอาวรณ์กระโจมและหลังม้า เลี้ยงสัตว์เร่ร่อนอีก? เมื่อมีประกายแสงจาเขตการค้าแห่งนี้ ทั่วทั้งทุ่งหญ้าก็ไม่มีวันสงบสุข คนในเผ่าจะชื่นชอบชีวิตเช่นนี้มากขึ้นเรื่อยๆ! ขอเพียงพวกเราออกจากหลังม้า ทูเจวี๋ยก็เท่ากับทำลายวิทยายุทธตัวเอง ทุกสิ่งต่อให้ไม่บุกโจมตีก็พังทลายไปด้วยตนเอง!”
“ส่วนไอ้การค้าแต่งงานเดินทางกันได้ที่เจ้าว่ามาก็เพื่อให้ทูเจวี๋ยกับต้าหัวหลอมรวมกัน หลายร้อยปีหลังจากนี้ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อแห่งนี้จะกลายเป็นดินแดนกันชนทางธรรมชาติระหว่างต้าหัวกับทูเจวี๋ย ทหารม้าทูเจวี๋ยเราจะบุกไม่ได้อีกต่อไป! เจ้าคิดลงทุนน้อยได้ผลประโยชน์มาก ตัดภัยร้ายที่จะตามมาตลอดกาล นี่ไม่ใช่หมาป่าทะเยอทะยานแล้วจะเรียกว่า?”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์พูดตรงประเด็น สิ่งที่ร้ายกาจมากที่สุดบนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเกินไปกว่าการรุกรานทางวัฒนธรรมแล้ว! สิ่งนี้สูงส่งยิ่งกว่าการครอบครองดินแดนไม่รู้เท่าไหร่!
“หมาป่าทะเยอทะยาน?” มองดูใบหน้าเศร้าเสียใจและเดือดดาลของข่านดาบทองนั้น หลินหว่านหรงส่งเสียงหัวเราะดังลั่นทันที ส่ายหน้าอย่างต่อเนื่อง
แม้เสียงหัวเราะของเขาจะบ้าคลั่ง ทว่าสายตากลับกระจ่างใสมาก ภายในม่านตาสะท้อนเงาอันงดงามร่างหนึ่ง อวี้เจียมองเขาอย่างเหม่อลอย รู้สึกใจเหมือนมีดกรีดทันที “ห้ามเจ้าหัวเราะ!”
หลินหว่านหรงกวาดสายตามองนางคราหนึ่ง กล่าวด้วยท่าทางสบายอารมณ์ “ข่านใหญ่ เมื่อก่อนเจ้าเคยพูดกับข้า ทูเจวี๋ยบุกโจมตีต้าหัวก็เพราะสวรรค์ไม่ยุติธรรม มอบดินแดนอุดมสมบูรณ์ให้ต้าหัว ดังนั้นพวกเจ้าจึงต้องการยึดแผ่นดินต้าหัว ให้ราษฎรของเจ้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุข นั่นไม่ใช่หรืออย่างไร?”
“นั่นแล้วจะทำไม?” เยวี่ยหยาเอ๋อร์กัดฟันกรอด
“ใช้ก็ดี” หลินหว่านหรงยิ้มเย็นชา “ข้าอยากถามคำหนึ่ง ข่านใหญ่เจ้าเคยคิดหรือไม่ หากมีวันหนึ่งพวกเจ้ายึดแผ่นดิน ต้าหัวได้จริง เจ้ากับคนในเผ่าเจ้าจะมีชีวิตเช่นไร? พวกเขายังจะขี่ม้า ยิงธนู อยู่กระโจมในทุ่งหญ้าเหมือนเมื่อก่อนหรือไม่?!”
อวี้เจียครุ่นคิดเล็กน้อย หน้าซีดทันที
“ไม่กล้าตอบ?!” เขาหัวเราะเสียงดังอย่างเดือดดาล “ให้ข้าบอกเจ้าก็แล้วกัน เมื่อเข้าด่านพวกเจ้าก็ต้องร่ำเรียนเขียนอ่าน เพาะปลูกทำการเกษตร อยู่ในตึกรามบ้านช่อง เสพสุขกับชีวิตอันแสนจะสงบสุขนั้นอยู่ดี! ความฝันที่พวกเจ้าไล่ตามหามาหลายร้อยปีนี้ ชีวิตที่มีความสุขที่เจ้าอยากให้ราษฎรของเจ้ามีอะไรที่ว่า ข้าไม่ต้องใช้อาวุธสักชิ้นเดียวก็ให้เจ้าตอนนี้ได้แล้ว! แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่กล้ายอมรับอีก? ตบหน้าตัวเองมันสนุกมากนักหรือ?”
ข่านดาบทองอายและโมโหระคนกัน ถึงกระนั้นกลับไม่อาจโต้เถียง ด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่านจึงใช้เท้าเตะเศษเก้าอี้ไม้ตัวนั้น กระแทกไปที่เขาอย่างหนักหน่วง
“หงุดหงิดและอายจนโมโหก็ไร้ประโยชน์” หลินหว่านหรงหน้าตาถมึงทึง กล่าวอย่างแช่มช้าออกมาว่า “อย่าหาว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้า! ข้าถอยก้าวหนึ่งให้แล้ว จะตัดแบ่งดินแดนหรือว่าสร้างเขตการค้าเสรี เจ้าเลือกเอาเอง!”
เส้นทางสองสายนี้ล้วนเป็นกับดักที่เขาวางไว้ทั้งสิ้น ไม่มีทางเลือกแม้แต่น้อย! อวี้เจียเงยหน้าด้วยความหงุดหงิดโมโห ประกายน้ำตาภายในดวงตาวูบไหว “หากข้าไม่เลือกทั้งสองอย่างล่ะ?!”
เขาพูดเบาๆ “การเจรจาส่วนการเจรจา แต่ความอดทนของข้าก็มีขีดจำกัดเช่นกัน! หวังว่าข่านใหญ่จะเข้าใจ!”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้ารู้สึกเช่นไร?!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขาอย่างเงียบงัน หน้าซีดเผือดขึ้นเรื่อยๆ “เมื่อก่อน ข้าอยากเห็นเจ้าทุกวัน ฝันก็ยังอยากคุยกับเจ้า! แต่วันนี้เมื่อยืนอยู่หน้าเจ้า ข้ากลับหวังว่าตัวเองจะตายโดยเร็ว! มีเพียงเช่นนี้เจ้าถึงไม่รังแกข้า!”