ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 621 จิตใจโหดเหี้ยม
พี่สาวอันฝังเข็มพิษลงไปในร่างอวี้เจีย ชีวิตของนางกำลังหดหายไปเรื่อยๆ ทุกวัน มองดูสายตาสิ้นหวังหดหู่ของอวี้เจีย ใจของหลินหว่านหรงคล้ายถูกหินยักษ์หนักพันชั่งกดทับ ลมหายใจสับสนวุ่นวาย ผ่านไปเนิ่นนานไม่อาจเอื้อนเอ่ยวาจาออกมาได้
“อัวเหล่ากง ข้าขอถามเจ้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่” อวี้เจียมองเขาพร้อมเอ่ยถามอย่างเลื่อนลอย
หลินหว่านหรงถอนหายใจ กำหมัดแน่นอย่างเงียบงัน มีโลหิตปรากฏให้เห็นระหว่างซอกนิ้วอยู่รำไร “หากเจ้าไม่เรียกชื่อภาษาทูเจวี๋ยของข้า ข้าตอบเจ้าสิบเรื่องก็ยังได้!”
“ข้าเรียกของข้า เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย? หากเจ้าไม่ชอบ ไม่ต้องตอบก็ได้แล้ว!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์เดือดดาลยิ่งนัก
มองดูดวงตาที่เบิกกว้าง ท่าทางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันของนาง หลินหว่านหรงกล่าวอย่างอับจนปัญญา “ได้ เจ้าถามมาเถอะ!”
อวี้เจียมองเขา ใบหน้าพลันอ่อนโยนลงอย่างหาที่เปรียบมิได้ ก้มหน้าลงพร้อมถามเสียงค่อยออกมา “หากวันหนึ่งข้าตายไปแล้วเจ้าจะคิดถึงข้าหรือไม่”
หลินหว่านหรงหัวใจกระตุกวูบ อดกล่าวด้วยโทสะออกมาไม่ได้ “พูดจาเหลวไหลอะไร เจ้าไม่ตายหรอก!”
“ท่าทางหลอกลวงคนของเจ้าช่างน่าเกลียดเสียจริง!” อวี้เจียยิ้มให้เขาพร้อมหันหน้าไปอย่างเงียบงัน ไหล่อันบอบบางสั่นระริกเป็นระยะ “ข้าตายแล้วห้ามเจ้าคิดถึงข้า! เหมือนช่วงเวลาที่เจ้าตายไปนี้ ข้าไม่คิดถึงเจ้าเลยสักนิด!!”
“ปัง” หลินหว่านหรงตบโต๊ะหนักๆ คราหนึ่ง โลหิตสีแดงสดจำนวนเล็กน้อยที่แทบมองไม่เห็นแปดเปื้อนอยู่บนโต๊ะ “เจ้าคิดถึงข้า ข้าคิดถึงเจ้าอะไรกัน ตอนนี้คือช่วงเจรจา! ยังมีเงื่อนไขอีกสี่ข้อ! จะสงบหรือจะรบ เจ้าคิดเองก็แล้วกัน!”
อวี้เจียเงยหน้าขึ้นมาในบัดดล คราบน้ำตาบนใบหน้ายังไม่แห้ง ถึงกระนั้นสายตากลับลดฮวบจนถึงจุดเยือกแข็ง นางกล่าวอย่างเย็นชาออกมาว่า “เจ้าจะคุมตัวซาเอ่อร์มู่อยู่ที่ต้าหัวสิบปี? ใต้เท้าหลิน ข้าขอโน้มน้าวเจ้าว่าอย่าฝันกลางวันเลย! การลบหลู่เช่นการคุมตัวข่านเช่นนี้ เจ้าคิดว่าอาณาประชาราษฎร์ทูเจวี๋ยจะตกลงหรือไม่? เพื่อศักดิ์ศรีแห่งทุ่งหญ้า พวกเขาต้องรบกับต้าหัวจนตัวตายโดยไม่เสียดายชีวิตตนเองแน่!”
“คุมตัว? ข้าบอกว่าจะคุมตัวตั้งแต่เมื่อไหร่?!” หลินหว่านหรงกล่าวเย็นชา “ข่านใหญ่ดูแคลนข้าเกินไปแล้ว! ต้าหัวเรามีคำศัพท์อย่างหนึ่งเรียกว่าการเรียนพร้อมท่องเที่ยว! ข่านน้อยชื่นชมความยิ่งใหญ่และลึกซึ้งของวัฒนธรรมต้าหัว เข้ามาในแผ่นดินภาคกลางด้วยตนเอง เดินทางรอนแรมเพื่อศึกษาหาความรู้ ท่องเที่ยวไปทั่วแผ่นดิน เยี่ยมคารวะอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง สิบปีหลังจากนี้ร่ำเรียนสำเร็จกลับคืนสู่บ้านเกิด แสดงฝีมือที่มีอยู่ทั้งหมด สร้างความสุขให้ราษฎรทูเจวี๋ย! นี่จะเป็นตำนานอันแสนจะงดงามมากเพียงใด!”
อวี้เจียร่างสั่นเทาอย่างรุนแรง กล่าวด้วยความเสียใจระคนเดือดดาล “การละลายประเพณีและวัฒนธรรมบนทุ่งหญ้าของข้า เรียกการค้าเสรี! คุมตัวข่านทูเจวี๋ยเราก็ตั้งชื่อเสียสวยงามว่าเดินทางหาความรู้! ใต้เท้าหลิน เจ้าวางแผนทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว แผนการเยี่ยม ฝีมือเยี่ยม!”
หลินหว่านหรงส่ายหน้าถอนหายใจเบาๆ “การหลอมรวมชนชาติแต่เดิมก็เป็นแนวโน้มที่ต้องเกิดอยู่แล้ว แล้วจะบอกว่าข้าวางแผนได้อย่างไร? เจ้าลองคิดดู หลายปีนี้สองแคว้นเรารบกันไม่หยุด โลหิตไหลนองเป็นท้องธาร แต่การเดินทางทำการค้าใต้ดินระหว่างชนชาตินั้นเคยหยุดหรือไม่?! แม้แต่ในทะเลแห่งความตายก็ยังฝังกลบคู่รักต่างชนชาติที่ร่วมเป็นร่วมตายกันคู่หนึ่งเลย! การทำการค้าแต่งงานเดินทางเชื่อมโยงกันนี้ มีอะไรผิดตรงไหน?”
“อย่างนั้นที่เจ้าคุมตัวซาเอ่อร์มู่ล่ะคืออะไร?” ข่านใหญ่ดาบทองกล่าวด้วยโทสะเสียงดัง “เขาอายุยังน้อย เหมือนหยกที่ยังไม่ได้ผ่านการเจียระไน หากเจ้าสอนพิณหมากอักษรภาพวาด ซือฉือเกอฟู่ สิ่งทอการปลูกสร้าง…”
“สอนเรื่องพวกนี้ไม่ดีหรือ?” หลินหว่านหรงกล่าวเรียบๆ “มีหลายคนที่อยากเรียนก็ยังเรียนไม่ได้เลย!”
อวี้เจียสองตาเบิกโพลง ตวาดเจื้อยแจ้วอย่างมีน้ำโห “หากเรียนเรื่องพวกนี้กับเจ้า ต่อไปพอเขากลับทุ่งหญ้า เกรงว่าแม้แต่ม้าก็ขี่ไม่ได้แล้ว! ซาเอ่อร์มู่เป็นพญาอินทรีสยายปีก เป็นนายแห่งทุ่งหญ้าในอนาคต! เจ้าทำเช่นนี้แล้วจะให้เขาปกครองราษฎรทูเจวี๋ยได้อย่างไร?”
“ปกครองราษฎรนั้นใช้สมอง ไม่ใช่การขี่ม้ายิงธนู! เหตุผลนี้เจ้าเข้าใจมากกว่าข้า!”
“ข้าไม่เข้าใจ ข้าไม่อยากเข้าใจตลอดกาล!” อวี้เจียส่งเสียงดัง พลิกคว่ำโต๊ะตรงหน้า ใบหน้าน้ำตานอง “เจ้าคิดแต่จะทำให้ทูเจวี๋ยของข้าอ่อนแอลง! แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าหากปราศจากซาเอ่อร์มู่ ข่านใหญ่ก็จะมีแต่เปลือกที่ว่างเปล่า หากต้องการรักษาตำแหน่งข่านของซาเอ่อร์มู่ ข้าต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบากมากเพียงใด? ข้าต้องยืนหยัดบนทุ่งหญ้าเพียงคนเดียวถึงสิบปี! สิบปีเชียวนะ ชีวิตคนเรามีกี่สิบปีกัน?! เจ้าเคยคิดแทนข้าบ้างหรือไม่?! เจ้าคนจิตใจโหดเ**้ยมคนนี้นี่!”
นางยืนอยู่ตรงนั้น เปล่งเสียงร่ำไห้โศกา ปล่อยให้น้ำตาไหลริน สาบเสื้อเปียกชุ่มภายในชั่วพริบตา
“นี่เป็นเรื่องที่ข่านใหญ่ต้องคิด ไม่เกี่ยวกับต้าหัวของข้า!” หลินหว่านหรงกัดฟันกรอด สองตาเปียกชื้นโดยไม่รู้ตัว ก้มหน้าเพื่อหลบประกายน้ำตาของนาง
“อ๊า!” อวี้เจียซึ่งเดือดดาลจนถึงขีดสุดคำรามออกมาอย่างเร็วรี่ จู่ๆ ก็ยกมือขึ้นแล้วตบลงบนใบหน้าเขาอย่างหนักหน่วง!
การโจมตีนี้รวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ เพียงกะพริบตาก็บรรลุถึง! หลินหว่านหรงดวงตาเย็นชา ถึงกระนั้นกลับบังเกิดความรู้สึกเสียใจอย่างไม่อาจจะบรรยายได้ขึ้นมาอย่างหนึ่ง เขาหลับสองตาอย่างแช่มช้า ไม่หลบไม่หลีก ยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ
“เพียะ!” เสียงตบครานี้ทั้งคมทั้งชัด ปะทะใบหน้าเขาตรงๆ ใบหน้าแดงก่ำไปหมด ใบหน้าบวมเป็นก้อนใหญ่ รอยนิ้วมือเรียวยาวห้าสาย มองเห็นอย่างชัดเจน
เขายืนนิ่งอย่างเงียบงัน ราวกับมนุษย์น้ำแข็งที่ไร้ความรู้สึก!
อวี้เจียสายตาชะงักงัน มองเขานิ่งๆ แม้แต่ลมหายใจก็ยังหยุด!
เสียงตบนี้ดังมาก แม้แต่พวกของพวกของเหล่าเกาที่อยู่ข้างนอก ได้ยินอย่างชัดเจน! ด้วยความร้อนใจ ทุกคนไม่อาจทนต่อไปได้อีก ต่างบุกเข้ามา ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ทุกคนตะลึงงันทันที ยังไม่ทันได้สติกลับมา “เพียะ” ร่างคุณหนูสวีดั่งสายฟ้า พุ่งปราดไปข้างหน้าเสียงดังขวับ ตบอย่างหนักหน่วงคราหนึ่ง ฟาดลงบนใบหน้าขาวกระจ่างใสของเยวี่ยหยาเอ๋อร์!
ความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องเกิดขึ้นราวประกายไฟ ยังดูไม่จบก็สิ้นสุดไปแล้ว! เมื่อเห็นข่านใหญ่ถูกรังแก ลู่ตงจ้านกับปาเต๋อหลู่ก็บุกเข้ามาพร้อมขู่คำรามด้วยโทสะ เหล่าเกาหูปู้กุยขวางอยู่เบื้องหน้าพวกมันอย่างเย็นชา
อวี้เจียแข็งทื่อราวกับกลายเป็นหิน บนดวงหน้าที่เหมือนดั่งหยกประทับรอยนิ้วสีแดงก่ำห้านิ้ว ถึงกระนั้นนางกลับปราศจากปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย! ริมฝีปากของนางสั่นระริกอย่างรุนแรง ยื่นมือออกไปอย่างแช่มช้า เข้าใกล้ใบหน้าของเขาทีละนิ้วๆ เห็นๆ อยู่ว่าห่างกันแค่คืบเท่านั้น แค่มือนางกลับสั่นจนสูญเสียทิศทางไป
รอยประทับสีแดงเพลิงเฉกเช่นรอยมือของตน ร้อนแรงดั่งถ่านแดง ท่ามกลางความรู้สึกอันรางเลือน ทันใดนั้นก็นึกถึงนิทานเรื่องลายมือที่เขาเคยเล่าให้ตนฟังขึ้นมาได้ แต่ละเส้นนั้นคล้ายสลักอยู่บนใบหน้าเขา
นางลูบใบหน้าเขาอย่างแช่มช้า ความรู้สึกอบอุ่นซึ่งเหมือนจริงถึงเพียงนี้ลวกมือนางภายในชั่วพริบตา ทำให้นางสั่นเทาไม่หยุด
“เพราะอะไร เพราะอะไรเจ้าถึงทำแบบนี้กับข้า!” นางพึมพำกับตนเอง ที่มุมปากมีโลหิตไหลซึมออกมาอย่างแช่มช้า ลูบไล้ใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยนและเงียบงัน ดวงตาเผยประกายอ่อนโยนราวกับวารี
“เงื่อนไขสี่ข้อที่ต้าหัวเราเสนอออกไป หวังว่าข่านใหญ่จะพิจารณาให้ถ้วนถี่! คนแซ่หลินจะรออยู่ตรงนี้สามวัน เลยเวลาแล้วจะไม่รอ!” หลินหว่านหรงแววตาหม่นหมอง สาวเท้าเดินออกจากปะรำโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไป
สามวัน? อวี้เจียนั่งร่างอ่อนยวบอยู่บนพื้น มองดูรอยฝ่ามือสีแดงสดบนโต๊ะ นางหลั่งน้ำตาดั่งสายฝนออกมาทันที
…
ตะวันยามสนธยาสีโลหิตค่อยๆ ร่วงหล่น ณ ริมขอบฟ้า ทรายปลิวฟุ้งทั่วท้องนภา ประหนึ่งผ้าคลุมหน้าสีเหลืองหม่นที่ช่วยปิดบังโฉมหน้าให้มันชั้นหนึ่ง กระโจมสีขาวสะอาดหลายกระโจมกระจัดกระจายอยู่ในทะเลทราย ถูกคลุมด้วยทรายละเอียดสีเหลืองทองภายในชั่วพริบตา
ทอดสายตามองเงาร่างอันว้าเหว่ ณ บริเวณที่ดวงอาทิตย์ลาลับอยู่ไกลๆ พวกหูปู้กุยสามคนเจ้ามองข้าข้ามองเจ้า ทอดถอนใจออกมาพร้อมเพรียงกันทันที ส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา
เหล่าหูถอนหายใจลึกๆ คราหนึ่ง “เห็นๆ อยู่ว่าทั้งสองคนคุยกันส่วนตัว คุยกันหวานชื่น อี๋อ๋อกันไปสักหลายประโยค ทุกอย่างก็จบแล้วไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ลุกลามจนเป็นแบบนี้ ต่อไปจะทำเช่นไร? บนโลกนี้มีสตรีคนใดที่กล้าตบแม่ทัพหลินบ้าง เฮ้อ หรือว่าสวรรค์จะทำร้ายคนมีความรักจริงๆ?”
ตู้ซิวหยวนผงกศีรษะเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ภารกิจสำคัญของกองทัพและบ้านเมืองทั้งยังระคนด้วยบุญคุณความแค้นของคนรักอีก เป็นเรื่องที่ลำบากใจอันดับหนึ่งในแผ่นดินนับแต่โบราณมา เกรงว่าคงแก้ไขไม่ง่ายดายขนาดนั้น!”
เหล่าเกาแค่นเสียงอย่างดุดัน “บุญคุณความแค้นบ้านเมืองอะไรนั่นล้วนเป็นแต่เรื่องจอมปลอม มีแค่ความรักระหว่างชายหญิงเท่านั้นถึงจะจริงแท้มากที่สุด! หากทำให้น้องหลินกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์ต้องเสียดายไปทั้งชีวิต นั่นสวรรค์ถึงจะไม่มีตา!”
พวกเขาสามคนเดือดดาลรู้สึกไม่เป็นธรรม ปรึกษากันอยู่ครึ่งค่อนวันกลับหาวิธีการไม่ได้สักอย่างเดียว คงไม่ใช่ต้องบังคับมัดตัวเยวี่ยหยาเอ๋อร์มาหรกนะ! ต่อให้มัดตัวมาได้ แม่ทัพหลินก็ไม่แน่ว่าจะต้องการ! เรื่องความรู้สึกชายหญิงนี้ แต่เดิมก็สลับซับซ้อนหาใดเปรียบอยู่แล้ว เมื่อบวกสถานะของคนทั้งสองกับบุญคุณความแค้นของสองแคว้นเข้าไปอีกก็ยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่!
“เจ็บหรือไม่?!” คุณหนูสวีนั่งข้างกายหลินหว่านหรง ลูบใบหน้าเขาเบาๆ เมื่อเห็นรอยนิ้วสีแดงสดบนใบหน้าเขาก็ทั้งปวดใจและหงุดหงิด
หลินหว่านหรงส่ายหน้าเล็กน้อย หัวเราะร่าพลางพูดว่า “เดิมทีก็เจ็บอยู่บ้าง เพียงแต่พอคุณหนูสวีนวดให้ข้าไปหลายที นั่นมันช่างสบายเหลือแสน ต่อให้เป็นบาดแผลที่ใหญ่กว่านี้ก็ไม่เป็นไรแล้ว!”
สวีจื่อฉิงใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเขา กล่าวอย่างมีน้ำโห “เจ้ายังมีหน้าหัวเราะออกมาได้อีกนะ เจรจากันอยู่ดีๆ เหตุใดถึงตบตีขึ้นมาได้? อีกอย่าง ด้วยฝีมือของเจ้า นางจะตีเจ้าได้อย่างไร?”
“คนมีเสียตัว ม้ามีเสียก้นนี่นา!” เขาหัวเราะร่วน “เจ้าไม่ได้ช่วยข้าแก้แค้นแล้วหรือ ฝ่ามือนั้นของเจ้า เกรงว่าคงทำให้นางจำไปทั้งชาติแล้วล่ะ!”
คุณหนูสวีหยิกเอวเขาอย่างแรงด้วยความโมโหพร้อมพูดตำหนิ “สงสารนางก็พูดมาตามตรง! อย่านึกว่าข้าไม่รู้ เพราะเจ้าบีบคั้นนางโหดเ**้ยมเกินไปเลยรู้สึกผิด ดังนั้นถึงจงใจถูกนางกระทำทีหนึ่งเพื่อให้สบายใจ! มิเช่นนั้นด้วยนิสัยของเจ้า หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นตีเจ้า มันคงตายไปร้อยรอบตั้งแต่แรกแล้ว!”
หลินหว่านหรงกล่าวอย่างจนใจ “คุณหนูสวี เรื่องบางอย่างทำเป็นเลอะเลือนไปบ้างไม่ดีกว่าหรือ ทำไมต้องแก้ผ้าข้าล่อนจ้อนด้วย? ตอนนี้ฟ้ายังไม่มืด พวกเหล่าเกาดูอยู่นะ!”
คุณหนูสวีหน้าแดงพลางร้องเหอะ ทุบหน้าอกเขาเบาๆ สองครา ซบหน้าอกเขาอย่างเงียบงัน
ฝั่งตรงข้ามห่างออกไปหลายร้อยลี้คือเขตแดนของชาวทูเจวี๋ย กระโจมขาวสะอาดสิบหลังเบ่งบานอยู่บนทุ่งหญ้าราวกับบุปผาน้อยที่สะอาดผุดผ่อง มองไม่เห็นเงาร่างของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ไม่รู้ว่าตอนนี้นางอยู่ที่ใด และไม่รู้ว่านางกำลังทำอะไรอยู่
คุณหนูสวีสายตาเลื่อนลอย มองกระโจมที่เป็นจุดกระจัดกระจายนั้น ทันใดนั้นก็พูดเสียงเบาออกมาว่า “บางครั้งข้าก็เห็นใจเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้นี้มากจริงๆ! คนที่งดงามและฉลาดหลักแหลมเช่นนั้นกลับชอบอันธพาลต่ำช้าคนหนึ่งได้ แถมเจ้าอันธพาลคนนี้ดันเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่ของนางสุดอีกด้วย! ความสุขอันยิ่งใหญ่มากที่สุดกับความทุกข์อันยิ่งใหญ่มากที่สุดบนโลกนี้มาให้นางเผชิญจนหมดสิ้น!”
หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะ “อันธพาลต่ำช้าอะไรกัน! ให้มันรวบรัดสักหน่อย พูดชื่อข้าออกมาเลยก็ได้ ข้าไม่มีทางปฏิเสธ! เพียงแต่ข้ากลับรู้สึกแปลกใจ เจ้าที่เป็นไหน้ำส้มใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดพออยู่ต่อหน้าอวี้เจียกลับละลายกลายเป็นน้ำได้?! นางมีเสน่ห์มากขนาดนั้นเชียวหรือ!”
“เพราะรู้สึกเห็นใจ” สวีจื่อฉิงกอดเขา กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “เมื่อลองคิดว่าช่วงเวลาที่เจ้าเข้าทุ่งหญ้าแล้วข้ามีความรู้สึกเช่นไร ข้าก็เข้าใจว่าหลังจากที่นางพลั้งมือฆ่าเจ้าไปแล้วจะรู้สึกอย่างไร และนางได้พบเจ้าอีกครั้งตะตื่นเต้นยินดีเช่นไร! อันธพาลน้อย เจ้าลองคลำหัวใจข้า เจ้าก็จะรู้!”
หัวใจอันอบอุ่นของคุณหนูสวีสั่นระรัวดังตึกตัก ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ เขาก็นึกถึงจอนผมขาวของอวี้เจีย รู้สึกขาดอากาศหายใจในบัดดล
สวีจื่อฉิงเอ่ยเสียงเบา “พอข้าเห็นสัญญาที่เจ้าเขียน ข้ามักรู้สึกว่าอวี้เจียตบเจ้าหนึ่งครั้ง นั่นถือว่าสงสารเจ้าแล้ว! นางฆ่าเจ้าก็ไม่เกินเลย! ไม่รู้ว่าคนใจคอโหดเ**้ยมเช่นเจ้าหักใจทำลงไปได้อย่างไรจริงๆ?!”
แม้แต่กุนซือหญิงก็ยังเรียกร้องความเป็นธรรมให้อวี้เจีย เห็นได้ว่าบีบคั้นนางจนต้องทุกข์ระทมเกินไปแล้วจริงๆ ด้วย! หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างเงียบงัน คลายมือออกไปอย่างแช่มช้า ประกายสีเงินกระจ่างวูบ ในมือเขากุมเข็มเงินคมกริบสองเล่ม ปลายเข็มนั้นแทงลึกเข้าไปในนิ้วมือเขา โลหิตซึมเต็มฝ่ามือ
“เจ้า!” สวีจื่อฉิงตกใจอย่างยิ่ง รีบสาละวนช่วยเขาห้ามเลือดมือเป็นระวิง น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว “นี่เจ้าทำเพื่ออะไรกัน?!”
หลินหว่านหรงถอนหายใจยาว “ข้าบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าข้าไม่ควรนั่งอยู่ที่โต๊ะเจรจา! หากไม่บีบคั้นตัวเอง ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าจะคุยกับนางแล้วออกมามีสภาพเป็นเช่นไร!”
คุณหนูสวีถอนหายใจทั้งน้ำตา โมโหจนทุบหน้าอกเขาอย่างแรงหลายครั้ง “ตอนนี้ข้าหึง หึงมาก! ชีวิตนี้ของเจ้ามีเพื่อข้าเช่นนี้!”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง โอบนางเข้าสู่อ้อมอก “วางใจได้ ตอนนี้เจ้าเป็นเมียข้า สถานะสูงส่งขึ้นหนึ่งขั้น ข้าจะมีแต่ดีกับเจ้ามากขึ้น มากขึ้นมากขึ้นเท่านั้น! อ๊ะ นึกออกแล้ว เมื่อไหร่พวกเราจะกลับไปคลำหาปลาที่ทะเลสาบเวยซาน คลำที่ห้องของหนิงเอ๋อร์ คราวนี้รับประกันว่าไม่มีทางพลาดแน่!”
“ลามก!” กุนซือร้องเหอะเบาๆ แล้วรีบเบือนหน้าหนีไป ทว่ารอยยิ้มเอียงอายและยินดีกลับผุดขึ้นเต็มใบหน้า
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน เหล่าเกาที่อยู่ทางนั้นก็วิ่งปรี่เข้ามาหาพร้อมชี้ไปยังสถานที่อันห่างไกล “น้องหลิน คุณหนูสวี ทางทูเจวี๋ยมีคนมาแล้ว!”
มีคนมา? หรือว่าจะมาส่งข่าวให้เยวี่ยหยาเอ๋อร์? นี่เพิ่งจะไม่กี่ขั่วยาม นางก็ตัดสินใจเร็วขนาดนี้แล้ว?! หลินหว่านหรงรีบเงยหน้าขึ้นมา ทอดสายตามองไปก็เห็นว่า ณ เส้นแบ่งเขตแดนมีรถม้าขนาดกว้างใหญ่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาอย่างแช่มช้าคันหนึ่ง อาชาพ่วงพีสี่ตัววิ่งเคียงคู่ ก่อเป็นฝุ่นทรายเบาๆ
“ใครกัน?!” หลินหว่านหรงกระโดดเข้าไปหาพร้อมตวาดเสียงดังด้วยโทสะ