ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 622 - 2 เพลิงรัก
เซียงเสวี่ยปรนนิบัติเขาสวมใส่อาภรณ์ให้เรียบร้อยด้วยความระมัดระวัง ลูบรีดชุดยาวสีเหลืองทองตัวนั้นเบา ๆ พร้อมเอ่ยเสียงแผ่วเบาออกมาว่า “ใต้เท้า ท่านข่านใหญ่ทรงให้ข้าบอกท่านว่าชุดนี้ต่อให้ไม่พอดีตัว ท่านก็ห้ามทิ้งเจ้าค่ะ!”
แม่หนูนี่กลับบ้าอำนาจ! หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “พอดีตัว พอดีตัวมาก! ข้อเสียเพียงอย่างเดียว อืม ก็คือกางเกงในเล็กไปหน่อย! เจ้าไม่ได้บอกข่านใหญ่ว่าข้าเป็นบุรุษที่กล้าหาญมากหรอกหรือ”
สาวน้อยทูเจวี๋ยสองแก้มแดงซ่าน ส่งเสียงหัวเราะออกมา
เมื่อเดินออกมาจากกระโจมพวกของตู้ซิวหยวนก็เบิกตาโพลงพร้อมกัน พุ่งขวับเข้ามารายล้อม มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ส่งเสียงทอดถอนดังจึ๊จ๊ะการสวมชุดสีทองเช่นนี้เดิมทีเป็นสิ่งต้องห้ามโดยเชื้อพระวงศ์ แต่คนเหล่านี้คือพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา อีกทั้งสถานะของหลินหว่านหรงก็ยังตั้งอยู่ตรงนั้นอีก แล้วผู้ใดยังจะวิพากษ์วิจารณ์
“หวา สมกับคำที่น้องหลินเคยพูดไว้ประโยคนั้นเลย คนอาศัยอาภรณ์ม้าอาศัยอาน หากคิดถึงความสวยงามให้มองหลินซาน!” เหล่าเกาส่ายหน้าส่งเสียงจึ๊ๆ กล่าวด้วยความอิจฉา “ชุดนี้ไปซื้อมาจากที่ใด? ข้าจะไปซื้อมาสักสิบชุด!”
เหล่าหูตบกบาลเขาคราหนึ่งพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “เจ้านี่นะ ค่อยเกิดใหม่ชาติหน้าเอาก็แล้วกัน!”
คุณหนูสวีชำระล้างร่างกายเสร็จตั้งนานแล้วเช่นกัน เรือนผมงามเปียกชื้นแผ่สยาย ริมฝีปากสีชาดเปล่งประกาย ดวงหน้างดงามหมดจด เมื่ออยู่ใต้แสงจันทราอันเย็นเยียบก็ยวนเย้าน่าลุ่มหลงอย่างบอกไม่ถูก
มองดูหลินซานซึ่งโดดเด่นกว่าผู้อื่น สายตาของนางก็เต็มไปด้วยความรัก ป้องปากหัวเราะเบาๆ ออกมาทันที กล่าวตำหนิด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ปิดทองบนร่าง ไม่เหมือนพระโพธิสัตว์ แต่ยังคงเป็นอันธพาลน้อยคนนั้นอยู่ดี!”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ แอบลูบคลำเอวคอดกิ่วอันอ่อนนุ่มของนาง “อันธพาลเข่นข้านี้จะปีนป่ายขึ้นนกเฟิ่งหวงเช่นเจ้า! ฮ่าๆ…”
เขาหัวเราะอย่างชั่วร้าย ขณะที่กำลังจะโอบกอดนาง ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง ‘กรุ๊งกริ๊ง’ ขึ้นในหูเบาๆ เสียงกระดิ่งลมอันไพเราะเสนาะหู ราวกับเสียงวิญญาณที่ลอยล่องท่ามกลางสายลม ลอยเข้ามาอย่างแช่มช้า
ณ สถานที่อันห่างไกล เสลี่ยงสีทองขนาดกว้างใหญ่หลังหนึ่งซึ่งห่อหุ้มอยู่ใต้ผ้าโปร่งสีชมพูหนาทึบค่อยๆ เคลื่อนที่เข้ามาหาอย่างแช่มช้า ผู้ที่หามมาต่างเป็นนางกำนัลทูเจวี๋ยในวัยกำดัดหน้าตาหมดจดงดงาม พวกนางเยื้องย่างแผ่วเบาแช่มช้า มาด้วยท่าทางสบายอารมณ์ บัดเดี๋ยวยกขึ้นบัดเดี๋ยวย่อลง ผ้าโปร่งบางที่ผ่านการปักเป็นชั้นๆ พลิ้วไปตามสายลมดั่งเมฆาลอยเอื่อย มองเห็นตั่งแดงอันอ่อนนุ่ม ผ้าห่มผ้าแพรสีเหลืองทองที่อยู่ภายในเสลี่ยงได้รำไร กลิ่นหอมสะอาดจางๆ คล้ายมีคล้ายไม่มีลอยเอื่อยเข้ามา
สวีจื่อฉิงเบิกตาโพลงในบัดดล เอ่ยด้วยความตกใจออกมาว่า “นี่พวกนางกำลังทำอะไรหรือ”
“หรือว่าจะรับตัวแม่ทัพหลินเข้าวัง?” หูปู้กุยหัวเราะฮิฮะ ขอเพียงเป็นผู้ที่ผ่านศึกเค่อจือเอ่อร์ มิอาจไม่คุ้นเคยต่อเสลี่ยงนี้ได้ วันนั้นอวี้เจียก็ใช้เสลี่ยงนี้รับผู้กล้าใบ้เข้าวังไป เพียงแต่วันนี้เสลี่ยงนี้มีขนาดกว้างใหญ่ยิ่งกว่า หรูหรายิ่งกว่า ส่วนผู้ที่หามนั้นก็กลายเป็นสตรีชนเผ่านอกด่านวัยกำดัดหน้าตาหมดจดแทน ไม่มีผู้ใดรู้ว่าอวี้เจียต้องการทำสิ่งใด
ผู้ที่มากับเสลี่ยงนี้ก็คือนางกำนัลทูเจวี๋ยที่ชื่อว่าน่าหลานผู้นั้น นางแตะอกเบาๆ พร้อมกล่าวด้วยความเคารพนบนอบ “ท่านข่านดาบแห่งทองทูเจวี๋ยขอเชิญใต้เท้าหลินแห่งต้าหัว มีธุระต้องหารือเจ้าค่ะ!”
เข้าสู่ยามราตรีแล้ว อวี้เจียยังจะหาข้าอีก นางอยากปรึกษาเรื่องอะไร?
หลินหว่านหรงหัวเราะฮิ เอ่ยถามด้วยความสงสัยออกมา “พี่สาวน้อยน่าหลานคนนี้ ไม่ทราบว่าข่านใหญ่อยู่ที่ใด แล้วนางต้องการตามหาข้าเพื่อปรึกษาเรื่องอะไรหรือ ไม่ขอปิดบังเจ้า ข้าเพิ่งชำระล้างร่างกายผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ คงเหมาะแก่การหลับนอนเท่านั้น ไม่เหมาะแก่การออกเดินทาง!”
เหตุผลเฉไฉเช่นนี้ก็มีแค่แม่ทัพหลินเท่านั้นที่คิดออกมาได้ พวกของตู้ซิวหยวนกำลังฝืนกลั้นหัวเราะกันอยู่
พี่สาวน้อยน่าหลานเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เรื่องเกี่ยวพันถึงอนาคตของทูเจวี๋ยและต้าหัวสองแว่นแคว้น สำคัญยิ่งนัก ท่านข่านใหญ่ตรัสว่าขอเพียงใต้เท้าหลินพบพระองค์ก็จะเข้าใจเองเจ้าค่ะ! พระองค์ยังตรัสอีกว่าไปหรือไม่ไปอยู่ที่ความยินยอมของใต้เท้า หากท่านไม่ยินยอม พระองค์ก็ทรงไม่ฝืนบังคับ! ต่อไปเสียใจภายหลังก็อย่าโทษว่าพระองค์ไม่ได้เตือนท่านก่อนเจ้าค่ะ!”
อยู่ที่ความยินยอมอะไรกัน นี่คือการข่มขู่มัดมือชกกันอย่างโจ่งแจ้งชัดๆ คาดโทษใหญ่โตแล้วยังจะให้ข้าไม่ไปได้อีกหรือ? หลินหว่านหรงเกาศีรษะ คุณหนูสวีรีบจับมือเขา พูดเสียงเบาออกมาว่า “จงระวังว่ามีแผนการ!”
“ท่านข่านใหญ่ยังตรัสอีกว่าหากใต้เท้าหลินไม่เชื่อพระองค์ เช่นนั้นก็ไม่ต้องไปแล้ว!” อวี้เจียคล้ายคาดเดาถึงเรื่องนี้ได้ ประโยคเบาๆ เพียงประโยคเดียวก็ทำให้คนอับจนคำพูด
หูปู้กุยกล่าวด้วยความตึงเครียดอยู่บ้าง “ทำอย่างไรดี จะไปหรือไม่ไปกันแน่?!”
หลินหว่านหรงมองสวีจื่อฉิงแวบหนึ่ง คุณหนูสวีแค่นเสียงแล้วเบือนหน้าไป “เจ้าอย่ามาถามข้า เจ้าอยากไปก็ไป ต่อไปหากเสียใจภายหลังจะได้ไม่ต้องมาโทษว่าวันนี้ข้าขัดขวางเจ้า!”
“ขอใต้เท้าหลินโปรดขึ้นเสลี่ยงเจ้าค่ะ!” นางกำนัลทูเจวี๋ยคล้ายได้รับคำสั่งมา ไม่ยอมให้เขามีโอกาสขบคิดมากเท่าใดนัก
หลินหว่านหรงสูดลมหายใจลึก กัดฟันกรอดในทันที เขาย่างก้าวออกไปแล้วย่ำเท้าขึ้นบนเสลี่ยงสีเหลืองทองนั้น
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องไป!” คุณหนูสวีถอนหายใจแผ่วเบา ทว่าเสียงกลับเบาจนแม้แต่ตนเองก็ยังไม่ได้ยิน
บรรดาสาวน้อยทูเจวี๋ยขยับหมุนร่างกายอย่างแช่มช้า เสลี่ยงขนาดยักษ์ถูกยกขึ้นสูง แกว่งไกวไปมาเล็กน้อยกลางอากาศ เคลื่อนที่ไปยังเขตพรมแดนของสองแคว้น เพิ่งนั่งลงบนตั่งอันอ่อนนุ่มนั้น กลิ่นหอมอันคุ้นเคยก็ลอยปะทะจมูก ผ้านวมหนาอ่อนนุ่มเรียบลื่น เฉกเช่นผิวอันกระจ่างใสของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ อบอุ่นอ่อนนุ่มจนทำให้ร่างของคนสั่นเทิ้ม เขาล้มตัวนอนลงบนเตียงอย่างแช่มช้า เมื่อทอดสายตามองท้องฟ้ายามราตรีที่ขยับวูบไหวอยู่ในผ้าโปร่งซึ่งกำลังแกว่งไกวไปมานั้นก็รู้สึกจิตใจปลอดโปร่งล่องลอย ไม่รู้ว่าโบยบินไปที่ใด
ผ้านวมหนาค่อยๆ ขยับเคลื่อนไหว ทันใดนั้นร่างอันอ่อนนุ่มงดงามร่างหนึ่งก็ดีดออกมาราวกับสายฟ้า ยึดลำคอเขาเหมือนแม่เสือดาวผู้ปราดเปรียว เสียงแผ่วเบาอ่อนโยนทว่าเย็นชาดังข้างใบหูเขา “เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฆ่าเจ้า?”
ใต้แสงจันทรา นางสวมเพียงเสื้อคลุมนอนเบาบางตัวหนึ่งเท่านั้น เรือนผมงามที่เปียกชุ่มแผ่สยายราวกับน้ำตกสีนิล ผิวกระจ่างใสดั่งหยกงามจากสระสวรรค์ ดวงตากระจ่างใสทั้งเย็นชา นางมองเขาอย่างเย็นชา เส้นโค้งอันงดงามกรีดเป็นระลอกคลื่นอันงามพิลาส อกขาวกระจ่างใสเปล่งประกายวับวาว ท่อนขาเรียวยาวกดท้องเขาอย่างหนักหน่วงดั่งเปลวเพลิงที่กำลังแผดเผา
หลินหว่านหรงไอออกมาหลายครั้งอย่างเร็วรี่ เขาทอดสายตามองนางพร้อมเอื้อนเอ่ยเบาๆ “ครั้งหน้าตอนที่ฆ่าข้าโปรดจำไว้ว่าให้ใช้ดาบได้หรือไม่?”
ดวงตาเย็นเยียบของอวี้เจียพลันมลายกลายเป็นสายฝน ตกกระทบใบหน้าเขาอย่างเงียบงัน
“อ๊า!” นางตวาดเสียงเจื้อยแจ้ว พยายามออกแรงกดเขาอย่างแรง เงื้อมืองามขึ้นแล้วกระแทกลงบนบ่าและแขนของเขาทีละกำปั้นอย่างหนักหน่วง แต่ละกำปั้นล้วนกระแทกอย่างหนักแน่น เสียงตุบตับได้ยินอย่างชัดเจน แม้แต่ม่านกระโจมขนาดมหึมานั้นก็ยังเหมือนเริ่มขยับวูบไหว บรรดาสาวน้อยที่หามเสลี่ยงต่างเบิกตาโพลง งุนงงไม่เข้าใจ
หลินหว่านหรงกัดฟันกรอด ไม่ส่งเสียงแม้แต่แอะเดียว
เมื่อเห็นรอยนิ้วสีแดงสดบนใบหน้าและริมฝีปากที่เขากัดจนโลหิตไหลริน ดวงตาสุกใสของเยวี่ยหยาเอ๋อร์พร่าเลือน ความรักและความเจ็บปวดที่มีภายในดวงตาประหนึ่งดาวหางที่สว่างวูบ นางทุบลงไปทีละกำปั้น ถึงกระนั้นกลับยิ่งเบาแรงลงไปเรื่อยๆ เบาจนไม่รู้สึก
“เหตุใดเจ้าถึงไม่เอาคืน? ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าสงสารข้า เจ้าต้องตีข้า รีบตีข้าสิ!” นางซบอยู่บนหน้าอกเขาอย่างหมดแรง เท้าน้อยออกแรงถีบเตะ น้ำตาดั่งสายฝน ร้องไห้จ้าเสียงดัง
หลินหว่านหรงส่ายหน้า ถอนหายใจยาวๆ ออกมาคราหนึ่ง “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้สงสารเจ้า ข้าก็แค่ไม่ชินกับการตีผู้หญิง!”
อวี้เจียร่างสั่นเทาอย่างรุนแรง นางออกแรงสะบัดแขนเขาออกไป ขณะที่น้ำตาพร่างพรมก็เหยียดสองนิ้วออกไป ทั้งรวดเร็วและรุนแรง แทงไปที่ตาทั้งสองข้างของเขา
“เจ้าจะทำอะไรน่ะ!” ด้วยความโมโหและตกใจ หลินหว่านหรงคว้าจับข้อมือขาวสะอาดของนาง ถึงกระนั้นกลับรู้สึกว่าแม่สาวน้อยคนนี้มีเรี่ยวแรงมหาศาล แทบจะจับนางไม่อยู่
อวี้เจียจับมือเขาแน่น จากนั้นก็กัดหลังมือเขาอย่างแรง ทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ออกมา “ข้าอยากเห็นเจ้าปวดใจและสงสารข้า! โลกนี้หากปราศจากความปวดใจของเจ้า ข้ายอมมีชีวิตอยู่ในความมืดมิด!”
“บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว!” เขาพึมพำกับตัวเอง น้ำตาคลอดเบ้า
“ข้าไม่ได้บ้า เป็นเจ้าที่บ้า!” อวี้เจียกระเด้งขึ้นมาทันที กางนิ้วทั้งห้าแล้วจับใบหน้าเขา “เหตุใดเจ้าต้องเสแสร้ง เหตุใดเจ้าถึงทำกับข้าเช่นนี้? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าโหดร้ายทารุณเพียงใด! ข้าตีเจ้า ข้าตีเจ้าให้ตาย!”
มือทั้งสองข้างของนางดั่งสายลม เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็มาถึงข้างใบหน้าเขา หลินหว่านหรงเบี่ยงหลบเล็กน้อย นิ้วทั้งห้าของนางไปอยู่ที่หน้าอกเขา คว้าจับด้วยความเดือดดาล เสียงแควกเร็วรี่ดังขึ้น สาบเสื้อตรงหน้าอกถูกดึงจนขาด
นางร่างสั่นสะท้าน นิ่งชะงักงันทันที!
รอยแผลขนาดเท่าข้อมือแยกเขี้ยวกางกรงเล็บ หน้าตาบิดเบี้ยว ประทับลงบนหน้าอกเขา ประทับลงไปถึงกระดูก
เกาทัณฑ์ที่ลั่นฟ้าสะเทือนดินนี้จะเจ็บปวดฝักลึกตราตรึงเช่นไร เขาไม่เคยพูดมาก่อน!
“ตีเลย เหตุใดเจ้าถึงไม่ตี ตีเลยสิ!” หลินหว่านหรงเหมือนราชสีห์ที่กำลังเดือดดาล ออกแรงบิดมือทั้งสองข้างของนางออกพร้อมตวาดคำรามใส่นางเสียงดัง น้ำตาร้อนไหลพร่างพรูลงบนใบหน้า
มองดูรอยประทับฝังลึกนั้นอย่างเงียบงัน อวี้เจียใช้มือปิดปาก ร่างกายสั่นระริกเร็วรี่ น้ำตาดั่งน้ำทะลักเขื่อน สะอึกสะอื้นจนแทบขาดลมหายใจ
“ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากเห็นข้ามากหรอกหรือ ไม่ใช่ว่าเจ้าบีบให้ข้ามาที่โต๊ะเจรจาหรอกหรือ ตอนที่ข้ามายืนตรงหน้าเจ้า เจ้าเคยคิดถึงจุดจบของพวกเราหรือไม่?! ข้าชอบเจ้า ดังนั้นข้าถึงไม่อาจมอบอนาคตที่ไร้จุดจบแก่เจ้าได้! เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าข้ากำลังพูดอะไรอยู่ เจ้าเข้าใจหรือไม่?!” เขาตวาดเสียงดังลั่น แหบแห้งด้วยความเดือดดาล เขายกแขนเสื้อเช็ดน้ำตา ถึงกระนั้นยิ่งเช็ดก็ยิ่งมาก ทำให้อาภรณ์เปียกชุ่มไปหมด
“อัวเหล่ากง!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขา ยินดียิ่งนัก นางหัวเราะเบาๆ ออกมาทันที น้ำตาแปดเปื้อนใบหน้า ประหนึ่งดอกหลีที่งดงามมากที่สุด
“ไม่ต้องเรียกข้า!” เขาจิตใจสับสนลนลาน โบกแขนเสื้อด้วยความโมโห
“เจ้าเป็นคนโง่ที่โง่ยิ่งกว่าข้าเสียอีก!” นางหัวเราะไปหัวเราะมาแล้วก็ร้องไห้ ร้องไห้ไปร้องไห้มาก็หัวเราะอีก ทว่ากลับไม่รู้ว่าสภาพจิตใจใดถึงเป็นสภาพจิตใจที่แท้จริง
มองดูดวงหน้างดงามลายพร้อยของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม จอนผมขาวดั่งหิมะ อารมณ์เขาพลันสับสนวุ่นวายในบัดดล ไม่อาจเบือนหน้าหนีไปได้เลย
อวี้เจียยื่นมือออกไปอย่างแช่มช้า สั่นระริกพลางลูบไล้ใบหน้าเขา ใช้ฝ่ามืออันอบอุ่นและอ่อนโยนมากที่สุดหลอมละลายคราบน้ำตาที่อยู่ใบหน้าเขาทีละหยด ทันใดนั้นนางหัวเราะด้วยความอายระคนยินดีออกมาทันที “อัวเหล่ากง ข้าอยากกัดเจ้าทีหนึ่ง!”
“ไม่ได้ เจ้ากัดเจ็บเกินไป ข้าโดนมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว!” เขาปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
อวี้เจียหัวเราะเบาๆ “เจ้าวางใจ คราวนี้ข้าต้องอ่อนโยนมากแน่นอน..ข้าจะกัดเจ้าให้ตาย!”
นางโผเข้าไปด้วยความเดือดดาล ไหล่งามเปลือยเปล่าคู่นั้นกระหวัดรัดลำคอเขาอย่างแน่นหนาประหนึ่งอสรพิษน้อยขาวสะอาดตัวหนึ่ง จากนั้นก็กัดหน้าผาก หางคิ้ว จมูก ริมฝีปากเขาอย่างรุนแรง…
ร่างยวนเย้าที่กำลังสั่นระริกของนางถือเป็นตัวยาชั้นดี สร้างความสั่นสะเทือนภายในชั่วพริบตา เพลิงรักไร้ประมาณแผดเผารุนแรงดั่งฟืนแห้งที่แตกระเบิด พัดผ่านทะเลทรายและทุ่งหญ้าราวกับสายลม
“อ๊า!” ความอัดอั้นทั้งหมดระเบิดออกมาจนหมดสิ้นภายในเสี้ยววินาทีนี้ หลินหว่านหรงพลิกมือโอบ กดนางไว้ใต้ร่างอย่างหนักหน่วงประหนึ่งนักมวยปล้ำที่เสียสติ แทบจะบดขยี้เอวคอดกิ่วอ่อนนุ่มนิ่มของนางจนแหลกลาญ ปากใหญ่อันร้อนระอุของเขาประทับลงบนริมฝีปาก ลำคอ และหน้าอกนางราวกับสายฝน
ใต้เสื้อคลุมเรียบลื่นว่างเปล่า ร่างเปลือยเปล่าเปล่งประกายเย็นใต้แสงจันทร์อันงดงามและเศร้าสร้อย เทือกเขาสูงชันขยับขึ้นลงรุนแรง กระจ่างใสราวกับโฉมสะคราญที่สลักเสลามาจากหยก!
น้ำตาไหลริน เยวี่ยหยาเอ๋อร์กอดเขาอย่างบ้าคลั่ง รัดร่างเขาดั่งอสรพิษ ไม่ให้เขาเงยหน้า ไม่ให้เขาหายใจ ต้องการให้เขาจมหายไปในอ้อมกอดตน
“อึ๊” เสียงร้องเจ็บปวดเบาๆ ดังขึ้นมาคราหนึ่ง คล้ายมนตราในการจากลาวัยของสาวน้อย นางร่างสั่นระริกเล็กน้อย ห้วงสมองขาวโพลน น้ำตาคลอเบ้า เงยหน้าขึ้นมาทันที จากนั้นก็ตบหน้าเขาอย่างแรง “ใครใช้ให้เจ้ารังแกข้า!”
เพิ่งสัมผัสใบหน้าเขา รอยนิ้วสีแดงสดก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้า นางแววตาอ่อนโยนลง ไม่ลงมือต่อไปอีก ประคองใบหน้าเขาอย่างเงียบงัน น้ำตาไหลรินพร้อมเอื้อนเอ่ยออกมาเบาๆ “อัวเหล่ากง ขอเจ้าจงรุนแรงกับข้าอีกนิด แรงอีกนิด! อัวเหล่ากง ข้าต้องการให้เจ้ารักข้า รักข้าอย่างรุนแรง!”
นางกอดเขาทันที อกอวบอิ่มเรียบลื่นดั่งหยกมันแพะเบียดชิดหน้าอกเขา กัดเขาอย่างบ้าคลั่ง ทิ้งรอยประทับของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ไว้ที่ลำคอ หน้าอก และบาดแผลเขาจนหมดสิ้น
ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่เสลี่ยงจอดสงบนิ่งอยู่บนเส้นแบ่งเขตแดน สั่นกระเพื่อมอย่างรุนแรง เบื้องหลังผ้าโปร่งบางเบานั้นคือภาพแห่งวสันต์อันไร้สิ้นสุด บรรดาสาวน้อยที่หามเสลี่ยงล้วนมีใบหน้าแดงก่ำ ประกายตากระเพื่อมไหว คิดจะมองแต่กลับไม่กล้ามอง
เหล่านางกำนัลรีบดึงผ้าม่านโปร่งสีชมพูลงทีละชั้น คล้ายหมอกควันสีชมพูที่ลอยฟุ้งอย่างแช่มช้า ล้อมเสลี่ยงขนาดมหึมานั้นไว้ภายใน น่าหลานกับเซียงเสวี่ยสาวน้อยที่เป็นหัวหน้าสองคนใบหน้าดั่งแสงอาทิตย์อัสดง พาเหล่านางกำนัลน้อยคุกเข่าหน้าเสลี่ยงอย่างแช่มช้า ใจเต้นขาสั่น ถึงกระนั้นกลับไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้นขึ้นมา
ทอดสายตามองเสลี่ยงที่สั่นกระเพื่อมไม่หยุดอยู่ไกลๆ เกาฉิวรีบขวางอยู่เบื้องหน้าสวีจื่อฉิง ส่งเสียงด้วยความตกใจออกมาว่า “เอ๊ะ เหมือนจะแผ่นดินไหวแล้ว! เหล่าหู เจ้ารู้สึกหรือไม่?”
“ไม่ใช่แค่แผ่นดินไหว แถมไหวอย่างรุนแรงอีกด้วย แม้แต่เสื้อผ้าก็ไหวก็หลุด!” เหล่าหูยืนข้างเหล่าเกา เสียงหนักอึ้ง สีหน้าเคร่งขรึมอย่างหาที่เปรียบมิได้
“ที่ร้ายกาจมากที่สุดก็คือเขาไหวได้นานมาก!” ตู้ซิวหยวนยืนเคียงข้างพวกเขาสองคน ทั้งสามมีสีหน้าเคร่งขรึม ไม่หัวเราะไม่ยิ้มแย้ม กลายเป็นกำแพงมนุษย์อันแข็งแกร่งผืนหนึ่ง ขวางสายตาสวีจื่อฉิงไว้พอดี
คุณหนูสวีสีหน้าบัดเดี๋ยวเขียวบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวซีด ทอดสายตามองผ้าโปร่งสีชมพูที่ขยับวูบไหวนั้น นางขยับฝีเท้า มีหลายครั้งที่ทนไม่ไหวคิดจะบุกเข้าไป ลังเลอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ขยี้เท้าอย่างแค้นใจ หมุนกายแล้วจากไป