จอมใจจ้าวพิษ - ตอนที่ 288 ให้รางวัล / ตอนที่ 289 จุดมุ่งหมาย
ตอนที่ 288 ให้รางวัล
รางวัลที่ฮ่องเต้ทรงเอ่ยถึงคือการมอบตำแหน่งให้แก่นาง เป็นตำแหน่งที่ไม่ใหญ่ไม่เล็ก เทียบเท่าตำแหน่งบิดานางในอดีต แต่โลกนี้ไม่มีเรื่องดีใดๆ ที่ได้มาง่ายๆ เป็นเพราะฮ่องเต้ทรงเจอเรื่องที่ทำให้ทรงปวดพระเศียร เกิดโรคประหลาดในแถบหมู่บ้านใกล้กับเสิ้งจิงซึ่งเป็นเขตของชาวฮั่นทางภาคเหนือ ฮ่องเต้ทรงส่งหมอหลวงหลายคนไปตรวจรักษา แต่หมอหลวงเหล่านั้นล้วนไปแล้วไม่มีใครกลับมาอีกเลย
หมอหลวงเหล่านี้ไม่ได้อยู่ต่อที่นั่นเพื่อรักษาชาวบ้านที่ประสบภัย แต่เพราะรักษาไม่ได้ผล ถูกชาวบ้านที่นั่นตัดศีรษะบวงสรวงฟ้าดิน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีหมอหลวงคนไหนกล้าไปที่นั่นอีก
ได้รับตำแหน่งแล้วจะอย่างไร ไม่มีบุญวาสนาที่จะเสพสุข เรื่องนี้ถูกฮ่องเต้เก็บไว้เป็นความลับอย่างมิดชิด คนนอกไม่รู้ข่าวเลยแม้แต่น้อย แต่คนสำนักหมอหลวงไม่ได้โง่ ถังเฉียนได้ยินมาก่อนแล้วว่าดินแดนเสิ้งจิงเป็นชนเผ่าที่ดุร้าย คนเหล่านี้นับถือฟ้าดินและธรรมชาติ ร่างกายใหญ่โตแข็งแรง ยังมีเมฆาดำกว่าร้อย ไร้หน้าไร้กาย ฟันแทงไม่เข้า ถูกฟ้าผ่าไฟเผาก็ไม่ตาย
ถ้ามีใครบังอาจลอบผ่านด่านฉงหยาง จะถูกสุนัขล่าเนื้อของพวกเขาไล่ตามกลิ่นจนเจอแล้วฆ่าตาย
ถังเฉียนได้รับรางวัลเช่นนี้ ไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี แต่นางทำได้เพียงถวายบังคมขอบพระทัยในพระเมตตา จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น พยายามทำใจให้สงบแล้วเดินออกจากวังหลวง หวังหลงรออยู่นอกวังด้วยความร้อนใจ แต่เขามั่นใจว่าถังเฉียนมีวิธีเอาตัวรอดกลับออกมาได้
“ท่านหมอ ไม่เป็นไรใช่หรือไม่ขอรับ”
ถังเฉียนขึ้นนั่งบนรถม้าแต่ไม่พูดอะไร หวังหลงรู้สถานการณ์ ช่วยขับรถม้าออกจากถนนใหญ่เมืองเจาหยาง พอเลี้ยวไปยังจวนอ๋อง ถังเฉียนจึงพูดว่า
“ฝ่าพระบาททรงมอบตำแหน่งให้ข้า ให้ข้าใช้ชื่อหมอหลวงไปรักษาโรคที่เสิ้งจิง เจ้ารออยู่ที่เมืองหลวงหากท่านอ๋องกลับมา บอกท่านว่าถ้าข้าตายแล้วเป็นเพราะอันกุ้ยเฟยกับมหาเสนาบดีทำร้ายข้า ท่านอ๋องจะได้ไม่ถูกเผ่าหมอผีตำหนิ เรื่องนี้เป็นข้าดิ้นรนเอง ไม่เกี่ยวกับท่านอ๋อง อย่าให้เถิงเฟิงบาดหมางกับเขา เกรงว่าจะทำลายรากฐานท่านอ๋องที่เหมียวเจียง”
เรื่องนี้ถังเฉียนตัดสินใจเอง นางไม่ต้องการทำให้คนอื่นพลอยเดือดร้อนไปด้วยเพราะเวลานี้นางกำลังช่วงชิงทำเพื่อตัวเอง นางทำเรื่องที่ต้องทำให้ท่านอ๋องเสร็จแล้ว
หวังหลงรู้ว่าถังเฉียนต้องการสร้างความชอบ อยากอยู่ข้างพระวรกายฮ่องเต้ แต่…
“ท่านหมอรู้หรือไม่ ดินแดนเสิ้งจิงไม่ใช่ที่ที่จะบุกฝ่าได้ง่ายๆ แม้ฮ่องเต้จะทรงปิดข่าว แต่หวังหลงได้ยินว่าขณะนี้ที่นั่นมีคนป่วยตายด้วยโรคระบาดไม่น้อย หากท่านไปที่นั่นแล้วหาวิธีรักษาไม่ได้ เกรงว่าคนพวกนั้นจะไม่ยอมปล่อยท่านง่ายๆ ท่านหมอต้องคิดหาทางถอยให้ดีนะขอรับ”
ที่ถังเฉียนขณะนี้คิดง่ายมาก ขอเพียงนางยังมีเลือดพอให้หลั่งได้ อย่างน้อยยังพอรักษาชีวิตตนเองได้ จากนั้นค่อยรักษาโรคช่วยคน นี่เป็นภาระหน้าที่ที่ใหญ่สุดของนางในฐานะหมอ
นางยังจำบทแรกที่อาจารย์สอนตอนนั้นได้ ทั้งยังสาบานต่อหน้ารูปปรมาจารย์ด้วย เวลานั้นนางมักรู้สึกว่ามีเลือดร้อนระอุพุ่งพล่านอยู่ในทรวงอก ทั่วตัวเปี่ยมด้วยพละกำลัง หัวใจเหมือนถูกเติมเต็มด้วยอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่
เป็นหมอชั่วชีวิต ทำเพื่อผู้อื่นตลอดไป ช่วยเหลือผู้คน รักษาโรคภัยไข้เจ็บ
ถังเฉียนมีโอกาสที่จะปฏิเสธ แต่นางคิดเสมอว่าตัวเองน่าจะลองไปดูบ้าง ไม่ควรเพียงเพราะกลัวตาย แล้วจึงเพิกเฉยชีวิตคนป่วย ทุกชีวิตล้วนควรค่าแก่การเคารพ
“ข้าคิดดีแล้ว ข้าจะไป หวังหลง ข้ารู้ว่าเจ้ากลัวว่าจะเกิดเหตุร้ายกับข้า แต่ข้าอยากให้เจ้าจำไว้ว่าข้าเป็นหมอ เมื่อรู้ว่ามีคนเจ็บป่วยอยู่ ต้องทุ่มเทช่วยชีวิตพวกเขา เหมือนแม่ทัพของพวกเจ้า เมื่อได้รับคำสั่งให้เฝ้ารักษากำแพงเมืองไว้ ต่อให้ต้องสละชีวิตก็ต้องรักษาเมืองตามหน้าที่
ตอนที่ 289 จุดมุ่งหมาย
ถังเฉียนจัดเตรียมสัมภาระ แล้วเอาดินเหลืองที่หน้าประตูบ้านไปกำมือหนึ่ง ใส่ลงในกล่องผ้า พร้อมกับใส่เมล็ดพันธุ์เม็ดหนึ่งลงไป จากนั้นก็ออกเดินทางพร้อมกับหมอหลวงอีกสามคน
หมอหลวงทั้งสามอายุยังไม่มาก แต่กลับยกให้เด็กสาวอายุสิบสี่อย่างถังเฉียนเป็นพี่ใหญ่ ทั้งสี่นั่งบนรถม้าคันหนึ่ง ตามหลังด้วยรถม้าที่บรรทุกยาและสัมภาระของพวกเขา ฮ่องเต้ยังจัดกองทหารราชองครักษ์หน่วยหนึ่งคุ้มกันส่งพวกเขาไปยังเสิ้งจิง
รถม้าแล่นมาถึงปากประตูเมืองกลับหยุดลง มีคนสวมชุดยาวสีดำกระโดดขึ้นมาบนรถ
“ท่านนักพรตหัน”
ถังเฉียนได้ยินเสียงร้องเรียกจึงเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็คือนักพรตที่ปรากฏตัวที่คุกในวันนั้นและยังช่วยถังเฉียนด้วย เห็นคนอื่นพากันคารวะเขา จึงรู้ว่าคนผู้นี้ฐานะไม่ธรรมดา
“ท่านหมออาหรูน่า ข้าหันเทียนซวี่ เป็นนักพรตแห่งหอเด็ดดารา ฝ่าพระบาททรงกังวลว่าท่านหมอไปยังเสิ้งจิงจะมีปัญหาเรื่องภาษา จึงมีพระบัญชาให้ข้ามาเป็นล่าม ขณะเดียวกันโรคระบาดครั้งนี้เกี่ยวพันถึงชะตาบ้านเมืองและชีวิตราษฎร ฝ่าพระบาททรงกังวลมาก จึงให้ข้าตามไปด้วยเผื่อมีอะไรพอที่จะช่วยเหลือได้บ้าง”
ถังเฉียนรู้ดีว่าเขาพูดตามมารยาท เหมือนคราวก่อนที่ฮ่องเต้ทรงส่งเขามาคอยเฝ้าดู คราวนี้เกรงว่าเขามาเพื่อคอยตรวจดูความเคลื่อนไหวของนาง ดูแล้วคงเพราะฮ่องเต้นั้นด้านหนึ่งทรงไม่วางพระทัยอันกุ้ยเฟยอีกด้านหนึ่งก็ไม่วางพระทัยฉู่จิ่งเหยา ทั้งยิ่งไม่วางพระทัยคนต่างเผ่าอย่างถังเฉียน
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านนักพรตหันแล้ว”
ถังเฉียนเพียงพูดเช่นนี้กับหันเทียนซวี่จากนั้นนางก็หลับตาลง นั่งอยู่กับที่ ทำสมาธิเงียบๆ คอยดูดรับไอทิพย์ ระยะนี้นางหย่อนยานกับการฝึก ไม่ฝึกหนึ่งวันตัวเองรู้ ไม่ฝึกสามวันอาจารย์รู้ การบำเพ็ญเพียรเป็นวิถีทางที่นางเลือกเอง ก็ควรเดินไปตามทางนี้ให้ดี จิตใจไม่ควรวอกแวก
คนอื่นไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ขณะที่ถังเฉียนจมอยู่ในโลกของตนอย่างสมบูรณ์ ดวงตาหันเทียนซวี่เจิดจ้าขึ้นเล็กน้อย มองดูนางด้วยสายตาลึกล้ำ แต่หลังจากเหลือบมองแว่บนึงแล้ว ก็ไม่มองนางอีกเลย ดังนั้นนางจึงไม่สังเกตเห็นความผิดปกติของเขา
เส้นทางไปยังเสิ้งจิงไกลมาก ทั้งห้าคนนั่งเบียดกันในรถม้า เลี่ยงการกระแทกถูกกันได้ยาก อาจเป็นเพราะความรู้สึกท้อแท้ทำให้หมอหลวงสองคนซึ่งปกติดูเป็นคนซื่อๆ เกิดชกต่อยกัน
คราวนี้ถังเฉียนได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ คาดไม่ถึงว่าหมอหลวงสองคนจะต่อสู้กัน ถึงกับเกือบฆ่ากันตาย ถังเฉียนยืนอยู่ห่างๆ นางกลัวว่าจะถูกลูกหลง เด็กสาวอ่อนแออย่างนางไม่สามารถแยกพวกเขาออกจากกันได้
“ท่านหมอ รีบคิดหาวิธีเถอะ พวกเขาสู้กัน หากเกิดพิการหรือตาย ท่านคงแก้ตัวยาก”
หมอหลวงสามคน มีสองคนวิวาทกัน อีกคนไม่ห้าม กลับมาคาดหวังให้ถังเฉียนเป็นคนไกล่เกลี่ย แม้นางจะไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ไม่ได้นึกกลัว นางเห็นทหารราชองครักษ์ที่อยู่ใกล้ล้วนนิ่งเฉย ไม่แม้แต่มองมาทางนี้ จึงพูดขึ้นว่า
“สู้กันเลย ใครตายก็ฝังตรงนี้เลย เราจะได้ไม่ต้องแย่งที่ว่างกัน รถม้าใหญ่เท่านี้เอง”
นางหันหลังแล้วเดินผละไป ทิ้งให้หมอหลวงคนนั้นยืนอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าจะห้ามปรามอย่างไร หรือควรจะเอาอย่างถังเฉียนทำเป็นมองไม่เห็น หันเทียนซวี่ตักน้ำกลับมา ยื่นให้ถังเฉียน จากนั้นจึงยิ้มแล้วถามว่า
“สองคนนั้นสู้กันเกือบถึงชีวิตแล้ว ท่านจะจัดการหรือไม่”
ถังเฉียนมองดูทหารราชองครักษ์สองสามคนนั้นแล้วพูดว่า
“พวกนั้นคงอยากเห็นสองคนนั้นตายระหว่างทาง สองคนนั้นจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ที่สองคนนั้นทะเลาะกันในเวลานี้ เห็นได้ว่าปกติถ้าไม่เกลียดขี้หน้ากันก็คงจะเป็นยอดฝีมือที่ใจกล้ามาก ถ้าเป็นยอดฝีมือจริงก็ดีหรอก เมื่อไปถึงเสิ้งจิงหวังว่าเขาจะคอยคุ้มครองพวกเราที่เป็นบัณฑิตอ่อนแอ”