จอมใจจ้าวพิษ - ตอนที่ 370 กุ้ยเหริน / ตอนที่ 371 วังหลวง
ตอนที่ 370 กุ้ยเหริน
ถังเฉียนเปลี่ยนชื่อเป็นอาหรูน่า กลายเป็นพระสนมขั้นกุ้ยเหริน แต่หรูอี้บอกว่าเดิมฮ่องเต้ไม่ได้ใส่พระทัยนางนัก เพียงทรงกำชับว่าให้คอยดูแลนางให้ดี โดยเฉพาะหมอหลวง ให้หมอหลวงจางหัวหน้าสำนักหมอหลวงมาดูแลด้วยตนเอง ได้ยินว่านางบาดเจ็บหนักเพราะช่วยฮ่องเต้ จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด จึงทรงแต่งตั้งให้นางเป็นกุ้ยเหรินเป็นกรณีพิเศษ และให้อยู่รักษาอาการป่วยในวังหลวง
“เพราะแลกด้วยชีวิตจึงได้เป็นกุ้ยเหริน ตอนนี้ก็ยังป่วยอยู่ ฝ่าพระบาททรงไม่โปรดนางแน่ เห็นหรือไม่ เสด็จมาประทับเพียงครู่เดียวก็เสด็จกลับเสียแล้ว เกรงว่าวันหน้าคงจะไม่เป็นที่โปรดปราน”
“จริงด้วย นอนป่วยอยู่นานกว่าจะฟื้น แถมยังดูเซ่อซ่า ถ้าพี่มีเส้นสายพระสนมองค์อื่น ช่วยพาข้าไปด้วยนะ”
นางนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ได้ยินนางกำนัลสองสามคนพูดคุยกันอย่างชัดเจน แต่ถึงจะได้ยิน นางเองกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร น้ำมุ่งลงเบื้องต่ำ คนมุ่งสู่เบื้องสูง นางไม่ได้มีใครคอยหนุนหลังแต่อย่างไร
ถังเฉียนกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง แต่นางจำอะไรไม่ได้เลย เนื่องจากร่างนางมีกลิ่นหอมของสมุนไพรแผ่ซ่านออกมาตามธรรมชาติ จึงดึงดูดให้แมลงสีทองตัวหนึ่งชอบติดตามนาง นางจตึงตั้งชื่อมันว่าเสี่ยวจิน
ทุกครั้งที่นางเรียกมัน มักจะรู้สึกว่ามันฟังเข้าใจ ในวังหลวงแห่งนี้นางไม่รู้จักใครเลย ในความทรงจำก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับใคร อดีตเป็นเพียงกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวทั้งยังรู้สึกโหวงเหวงอีกด้วย
ถังเฉียนคิดแล้วก็ถอนหายใจออกมา หรูอี้เข้ามาเห็นเข้าพอดี นางได้ยินสาวๆ ข้างนอกพูดคุยหัวร่อต่อกระซิก จึงกระแอมทันที แล้วพูดว่า
“พวกข้างนอกไม่ทำงานกันหรือ พูดจาเหลวไหล ระวังเถอะข้าจะฟ้องพระสนม ให้ส่งพวกเจ้าไปโรงซักล้าง”
หรูอี้พูดจบ สาวๆ ข้างนอกรีบร้องบอกว่าไม่กล้าทำอีก แล้วแยกย้ายกันไป หรูอี้เข้ามา ยกเตามือ[1]มาให้ถังเฉียน แล้วพูดปลอบว่า
“พระสนมอย่าไปใส่ใจกับคำพูดของเด็กพวกนี้เลยเพคะ คนพวกนี้ไม่ประสีประสา พอว่างก็จับกลุ่มนินทา ท่านเป็นผู้มีพระคุณของฮ่องเต้ ฝ่าพระบาททรงนึกถึงท่านเสมอ แม้แต่หนิงกุ้ยเฟยก็ยังคอยดูแลท่านเพคะ”
คอยดูแล ถังเฉียนยอมรับน้ำใจจากหนิงกุ้ยเฟย ครึ่งเดือนมานี้ฮ่องเต้ไม่ได้เสด็จมาแม้แต่ครั้งเดียว คนนอกคิดว่านางตายแล้ว ไม่ส่งแม้แต่ถ่านสำหรับหน้าหนาวมาให้ หรูอี้ต้องไปขอจากหัวหน้ากรมวัง แต่เขากลับอ้างโน่นอ้างนี้ มักจะพูดว่าขณะนี้กำลังจัดงานพระศพของอดีตฮ่องเต้ ต้องลดค่าใช้จ่ายของวังฝ่ายใน ไม่ก็อ้างว่าด้านหน้าต้องใช้ถ่านจำนวนมากสำหรับเฝ้าพระศพ จึงต้องลดของวังฝ่ายในลง
ตอนนี้ไม่มีถ่านแล้ว ต้องรอให้ถึงเวลาแล้วค่อยแบ่งให้พวกนาง ที่พูดก็น่าฟังหรอก แต่น่าเสียดายที่ไม่ส่งถ่านมาให้เลยแม้แต่ท่อนเดียว ถ้าขาดแคลนจริง แต่ละตำหนักก็ควรน้อยลง เหตุใดมีเพียงตำหนักของนางเท่านั้นที่ไม่มี
ฉู่จิ่งเหยาได้เป็นฮ่องเต้แล้ว ซูซินเหลียนเป็นหนิงกุ้ยเฟยส่วนจื่อเย่ว์ได้รับการแต่งตั้งเป็นเย่ว์กุ้ยเหริน ถังเฉียนอยู่ที่ตึกหวาเย่ว์ตลอด เป็นบริเวณที่แยกเป็นเอกเทศ คนข้างตัวนางล้วนเป็นคนที่ฉู่จิ่งเหยาทรงเลือกมาเป็นพิเศษ ถามอะไรล้วนบอกว่าไม่รู้ ท่าทางนางที่ดูเซ่อซ่า ทำให้นางถูกคนคอยรังแก
แต่นางไม่ได้โง่ นางรู้ว่าหนิงกุ้ยเฟยฐานะสูงและมีอำนาจมาก พอว่างก็จะไปนั่งที่ตำหนักฟางหวาของนาง จะได้ถือโอกาสไต่ถามทุกข์สุข เวลานี้หิมะตกหนัก หากไม่มีถ่านคงต้องหนาวตายเป็นแน่
คิดไม่ถึงว่าพอหนิงกุ้ยเฟยรู้ว่ามีคนรังแกถังเฉียน ก็สั่งให้ลงโทษหัวหน้าคนนั้นทันที ยังทูลฟ้องฮ่องเต้ด้วย
“หนิงกุ้ยเฟยคนนี้ไม่เลวเลย นางยังมอบรังนกและเก๋ากี้ให้ข้าไม่น้อย เพื่อให้ข้าบำรุงร่างกาย ยังให้กรมวังส่งถ่านมาให้ อย่างไรข้าก็ไม่หนาวตายหรืออดตายแล้ว”
เดิมทีหรูอี้คิดว่านางคงทุกข์ใจมาก คิดไม่ถึงว่านางจะยิ้มอย่างพอใจ มีน้ำร้อนและผ้าห่มอุ่นๆ ก็ดีใจแล้ว
ส่วนฮ่องเต้ฉู่จิ่งเหยาเมื่อทรงได้ข่าวที่ถังเฉียนป่วย ไม่มีคนดูแล พระองค์กลับไม่เสด็จมาเยี่ยม แต่ให้คนนำโสมพันปีต้นหนึ่งมาให้นางบำรุงร่างกาย ผลก็คือเป็นครั้งแรกที่เสี่ยวจินผละออกจากตัวนาง ออกมากินโสมพันปีต้นนั้น
[1] เตาขนาดเล็กใช้ติดตัวเพื่อทำให้อุ่นในหน้าหนาว
ตอนที่ 371 วังหลวง
อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว นับจากที่ถังเฉียนฟื้นขึ้นมา นางยังไม่ได้ออกไปเดินดูอะไรเต็มที่เลย เจ้าแมลงน้อยสีทองได้กินโสมพันปีทำให้สภาพจิตใจดีขึ้นมาก พลอยทำให้จิตใจนางดีขึ้นตามไปด้วย
วันนี้น่าจะใกล้วสันต์ฤดูแล้ว หิมะที่กองพะเนินอยู่นอกห้องก็ละลายไปไม่น้อยแล้ว มีต้นอ่อนสีเขียวโผล่แซมออกมาหรอมแหรม
หรูอี้มองดูใบหน้าที่ซูบผอมของถังเฉียน ก็รู้สึกไม่สบายใจ ระยะนี้ที่อยู่ด้วยกันมา นางมองออกแล้วว่าเจ้านายคนนี้เป็นคนที่จิตใจดีงาม
อย่าเห็นว่าบรรดาสาวใช้ตำหนักนี้จะพูดพล่ามตั้งแต่เช้ายันค่ำ แต่คนที่สายตาเฉียบแหลมล้วนรู้ว่ากุ้ยเหรินตำหนักนี้ไม่ได้ถูกเมินเฉย เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนสำคัญในพระทัยของฮ่องเต้
แม้จะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจนถึงตอนนี้จะทรงมีท่าทีเหมือนไม่ใส่พระทัยนาง แต่แค่มองดูหมอหลวงที่มายังตำหนัก โสมที่พระราชทานให้ ยังรวมถึงก่อนหน้านี้ไม่นานได้ข่าวว่าคนระดับหัวหน้าในกรมวัง ไม่รู้ทำสิ่งใดผิด จึงถูกส่งไปขังคุกนักโทษประหาร
เช่นนี้แล้วทำให้พอจะมองออกถึงตำแหน่งของกุ้ยเหรินในพระทัยฮ่องเต้
หรูอี้ครุ่นคิด นี่ก็เพิ่งเริ่มวสันต์ฤดู กุ้ยเหรินยังไม่ได้เห็นวังหลวงทั่วเลย ถ้าเช่นนั้นวันนี้พากุ้ยเหรินออกไปเดินเล่นดีกว่า
ถังเฉียนอึดอัดอยู่ในตำหนักมาตลอด แม้ความจำจะหายไปหมดสิ้น แต่อย่างไรก็ต้องทำเรื่องแปลกใหม่บ้าง หลังจากฟื้นขึ้นมาจำได้เพียงความฝันที่มืดดำ
แม้นางจะเป็นคนที่เปิดเผยร่าเริง แต่ในใจรู้ถึงความทรงจำที่หายไปได้อย่างเลือนราง อาจเป็นเพราะตัวเองจงใจที่จะไม่นึกถึงมัน
แต่ทุกคืนภาพในฝันที่หนักอึ้งทำให้นางแทบหายใจไม่ออก กดทับจนนางรู้สึกว่าแทบทนไม่ไหว
เมื่อเป็นเช่นนี้นางจึงเห็นด้วย พอหรูอี้มีความคิดเช่นนี้ ถังเฉียนจึงตอบตกลงทันที
ดูเหมือนแมลงสีทองตัวน้อยจะพลอยอารมณ์ดีไปด้วย มันบินออกมาจากชายแขนเสื้อของถังเฉียน บินวนรอบตัวนาง
หรูอี้พานางเดินอ้อมตำหนักของหนิงกุ้ยเฟย เดินไปตามทางสายเล็กเลี้ยวไปยังอุทยานหลวง
ตามทางยังมีหิมะที่ละลายไม่หมด เดินย่ำลงไปเกิดเสียงดังสวบๆ น่าสนุก ทำให้ถังเฉียนอยากเล่นสนุกขึ้นมาทันที แล้วเริ่มเดินวกไปเวียนมาคอยแอบซ่อน
เดิมถังเฉียนแบกภาระไว้มากเกินไป บัดนี้เมื่อสูญเสียความทรงจำ จึงทำให้แสดงความใสบริสุทธิ์เฉกเช่นเด็กสาวออกมา
นางวิ่งเหยาะๆ ไม่ใส่ใจเสียงเตือนของหรูอี้ ไม่มองแม้แต่ทาง สีหน้ายิ้มระรื่น ทิ้งเสียงหัวเราะที่ใสกังวานราวกับระฆังเงินไว้ตามทาง
ฉู่จิ่งเหยาทรงเลี่ยงออกจากบรรดาผู้ติดตาม ทรงแย้มพระสรวลทอดพระเนตรดูนกสาลิกาปากดำอย่างลืมพระองค์ แล้วชนกับคนที่ผ่านมา
ถังเฉียนถูกชนจนมึนงง ร่างที่แข็งแกร่งตรงหน้าทำให้นางเจ็บจมูก แล้วก้าวถอยหลังโดยไม่ต้องคิด แต่ถูกแขนที่แข็งแรงโอบกอดไว้
นางได้ยินเสียงหรูอี้หายใจหอบอย่างเลือนราง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหวาดผวา “บ่าวถวายบังคมฝ่าพระบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปีเพคะ”
จากนั้นก็มีเสียงทุ้มทำมีเสน่ห์ดึงดูดดังอยู่เหนือศีรษะนาง พร้อมกับรอยยิ้ม รวมทั้งทรวงอกที่ใบหน้านางแนบอยู่สั่นไหวเล็กน้อย
“อาหรูน่าของเจิ้น เหตุใดวันนี้ดีใจเป็นพิเศษกันนะ”
ถังเฉียนตั้งสติได้อย่างเชื่องช้า แล้วรู้ตัวว่าคนตรงหน้าคือฮ่องเต้ นางจึงหยุดดึงตัวถอยหลัง แล้วโผเข้าอ้อมกอดของฉู่จิ่งเหยาตามแรงกอดของพระองค์
จากนั้นจึงทูลอย่างอ่อนหวานว่า “วันนี้พบฝ่าพระบาทโดยบังเอิญ หม่อมฉันย่อมดีใจเป็นพิเศษเพคะ”
ถังเฉียนอาศัยในวังมาระยะหนึ่งแล้ว ในใจยังคงว่างเปล่า แต่นางรู้ว่าฝ่าพระบาทคือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวัง ถ้าอยากใช้ชีวิตในวังอย่างราบรื่น นี่คือเป้าหมายสำคัญที่สุดที่นางต้องประจบเอาใจ
แม้นางจะไม่ปรารถนาลาภหรือยศถาบรรดาศักดิ์ แต่ที่ต้องการคือการที่จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายขึ้น มีชีวิตดีขึ้น
ฉู่จิ่งเหยาทรงฟังเช่นนี้ ก็จ้องมองนางด้วยพระเนตรที่เคร่งขรึม
ควงตาคู่นี้ยังเป็นดวงตาที่คุ้นเคย เวลานี้ใสบริสุทธิ์ราวกับทารกแรกเกิด มีเงาของพระองค์ทอดอยู่ในนั้น
ฉู่จิ่งเหยาถอนพระทัย แล้วยื่นพระหัตถ์ไปบังดวงตานางไว้ แล้วทรงได้ยินเสียงพูดเบาๆ ราวกับเพ้อฝัน
“ถ้าเจ้าเป็นเช่นนี้ตลอดไปก็คงจะดีหรอก”