จอมใจจ้าวพิษ - ตอนที่ 394 เกิดเรื่องมากมาย / ตอนที่ 395 เทพธิดา
ตอนที่ 394 เกิดเรื่องมากมาย
ลงระเบียงเดือนสิบสองใจหมองหม่น
ทั่วมณฑลบุปผาบานสะพรั่ง
เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า แสงสายัหณ์สุดท้ายส่องมายังถังเฉียนทอดเงาลงที่หน้าตำหนัก เพิ่มความลึกลับให้แก่นาง อย่างสุดคาดเดา
หรูอวี้อยู่ข้างๆ มองนางด้วยความกังวลใจ แล้วพูดว่า
“พระสนม เข้าไปเถอะ ท่านยืนอยู่ตรงนี้เกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว ร่างกายท่านยังไม่แข็งแรงดี ขืนยืนต่ออีก อาจจะล้มป่วยได้เพคะ”
ถังเฉียนขยับขาไปมา ความรู้สึกปวดชาถ่ายทอดขึ้นมาจากใจกลางฝ่าเท้าเป็นพักๆ ก้าวย่างของนางไม่มั่นคง ซวนเซไปข้างหน้าเล็กน้อย หรูอวี้รีบเข้ามาพยุงนางไว้
“พระสนม”
ถังเฉียนโบกมือพลางพูดว่า
“ไม่เป็นไร ข้าคงยืนนานไปหน่อย”
นางเกาะหรูอวี้ไว้ กางเท้าออกช้าๆ รอจนความรู้สึกเจ็บแปลบคันและชาที่สุดทนผ่านไปแล้ว จึงพูดว่า
“พอขายืนนาน เลือดไม่ไหลเวียน พอฝืนเดินก็เลยรู้สึกเจ็บ แต่ยังพอทนได้ รอจนเลือดไหลคล่องแล้วความรู้สึกสบายนั้น เวลาปวดเมื่อยเพราะไม่เคลื่อนไหวนั้นไม่อาจเทียบกันได้”
หรูอวี้ไม่กล้าพูดตอบ นางรู้สึกว่าคำพูดของพระสนมเฉียนนี้มีความหมายอื่นที่ลึกซึ้ง นางก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ประคองถังเฉียนไว้ แล้วพูดเบาๆ ว่า
“พระสนม เรากลับกันเถอะ”
ถังเฉียนเกาะมือหรูอวี้ไว้ คำพูดประโยคนั้นของฉู่จิ่งเหยาดังขึ้นข้างหูนาง
“เจิ้นรู้ ที่เจิ้นรอดตายอย่างหวุดหวิดหลายครั้งนั้น อาศัยเลือดเจ้านั่นเอง”
ถ้าเช่นนั้นที่ฉู่จิ่งเหยาเอานางไว้ในวังหลวง ใช้กรงทองขนาดมหึมาที่สร้างจากอำนาจและคำลวงขังนางไว้อย่างแน่นหนา เพื่อนางหรือว่าเพื่อเลือดนางกันแน่
ถังเฉียนนั่งบนเตียงที่อ่อนนุ่ม นางใช้นิ้วจับชีพรอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกว่าเลือดที่กำลังไหลเวียนในร่างเปี่ยมด้วยพลังชีวิต
เสี่ยวจินคลานออกมาจากชายแขนเสื้อ เกาะอยู่บนข้อมือนาง หนวดสัมผัสสีทองสั่นไหวเบาๆ ถังเฉียนลูบคลำมันด้วยปลายนิ้ว
นางยังไม่รู้ว่าระหว่างที่นางนอนหลับสามวัน นางได้กลายเป็นหนามตำตาผู้คนมากมาย
ที่ครัวหลวงเป็นครั้งที่สามที่ฉู่จิ่งเหยาทรงใช้ชายฉลองพระองค์กวาดข้าวของบนโต๊ะอาหารตกกระจายทั่วพื้น น่าตื่นกลัว นางกำนัลและขันทีใกล้ชิดถูกไล่ออกมานอกตำหนัก
มีฎีกาหลายฉบับที่เพิ่งส่งเข้ามาใหม่วางอยู่ บนโต๊ะหนังสือทำจากไม้ประดู่ ใต้ขาเก้าอี้มีเศษกระดาษที่ถูกฉีกขาด
ยังมีฎีกามากกว่านั้นกองอยู่ที่มุมโต๊ะ เนื้อหาล้วนตำหนิที่ฝ่าพระบาทถูกพระสนมปีศาจล่อลวง จนขาดสติ จนละเมิดแบบแผนบ้านเมือง
ฉู่จิ่งเหยาทรงกัดพระทนต์กรอดๆ ตรัสเสียงกร้าวว่า
“สืบดูให้เจิ้น สืบให้เต็มที่ เจิ้นไม่เคยรู้มาก่อนว่าในวังหลวงจะมีคนปากพล่อยมากมายเช่นนี้ หากพวกเจ้าชอบพูดเรื่องเหลวไหล เจิ้นก็จะทำให้พวกเจ้าสมใจ!”
สีพระพักตร์แข็งกร้าว ทอดพระเนตรฎีกาที่กางอยู่บนโต๊ะ แล้วตรัสว่า
“ไปหาคนที่พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมาให้เจิ้น พวกที่ชอบพูดจาเหลวไหล ดึงลิ้นคนพวกนี้ออกมา สับให้ละเอียด แล้วให้พวกนั้นกินลิ้นของตัวเองกลับเข้าไป!”
เพลิงพิโรธของฉู่จิ่งเหยาไหม้ลามไปทั้งตำหนักใหญ่จนพากันอกสั่นขวัญแขวน ยังลามไปจนถึงฝ่ายใน
เช้าวันนี้ ฎีกาที่ถวายขึ้นมาล้วนกล่าวหาว่าพระสนมเฉียนใช้วิชาปีศาจ ทำให้ฝ่ายในวุ่นวาย ระหว่างพระราชพิธีพระศพยังยั่วยวนฝ่าพระบาท ทำให้มัวเมาในอิสตรี ทำลายแบบแผนบ้านเมือง
ฉู่จิ่งเหยาทรงคิดไม่ถึงว่าถังเฉียนแค่เอาขนมมาถวาย กลับต้องแบกรับชื่อเสียงที่เลวร้ายถึงขั้นนี้ จู่ๆ ก็กลายเป็นพระสนมปีศาจที่ทำลายบ้านเมือง
พอพระองค์ทรงคิดถึงที่มหาเสนบดีซูนำเหล่าขุนนางวิตกกังวลแทนประเทศชาติ สีพระพักตร์เคร่งขรึมลงทันที
ทรงคาดไม่ถึงว่าการเตือนครั้งก่อน ผ่านไปไม่ถึงสองวัน จิ้งจอกเฒ่าตัวนี้กดหางไว้ไม่อยู่ อวดบารมีออกมา
แต่ทรงเตือนไว้แล้ว อย่ายุ่งกับคนที่ไม่ควรยุ่ง มหาเสนาบดีซูกลับไม่ฟัง อย่าโทษว่าพระองค์โหดเ**้ยมก็แล้วกัน
ตอนที่ 395 เทพธิดา
วันนี้ถังเฉียนออกมา ต้องประหลาดใจที่พบว่านางกำนัลที่เคยหวาดกลัวและคอยเลี่ยงตนกลับมองดูตนด้วยสายตาเคารพยกย่อง
เมื่ออกมาเดินเล่นข้างนอกก็ได้ยินบ่าวสองคนที่กำลังซักผ้าพูดคุยกัน
“เจ้ารู้หรือไม่ ที่จริงพวกเราเข้าใจพระสนมเฉียนผิดไป พระนางไม่ใช่นางปีศาจ ที่สามารถเป็นคนโปรดของฝ่าพระบาทได้เพราะพระนางมียอดวิชาติดตัว!”
“ใช่เลย ข้ายังได้ยินว่าก่อนหน้านี้ที่พระสนมเฉียนทำให้อันไท่เฟยเสียโฉมนั้น เพราะอันไท่เฟยคิดร้ายต่อพระนาง แมลงพิทักษ์สีทองของพระสนมเฉียนจึงเล่นงานอันไท่เฟยเพื่อป้องกันพระสนม!”
“ยังมีอีก…”
ทีแรกที่ถังเฉียนฟังยังคิดว่าบรรดาบ่าวกำลังพูดถึงบุคคลในตำนาน ฟังถึงตอนหลังจึงพบว่ากำลังพูดถึงตนเอง
ถังเฉียนฟังแล้วแปลกใจมาก คิดไม่ถึงว่าเพียงชั่วเวลานอนหลับไปคืนเดียว ความเห็นของคนในวังต่อนางจะพลิกกลับเช่นนี้ จากนางปีศาจกลายเป็นเทพธิดา
ไม่เพียงเท่านี้ ระหว่างทางยังเห็นบ่าวในตำหนักหย่างซินถูกคุมตัวไว้ คนเหล่านี้ถูกมัดด้วยเชือก ต่างร้องไห้ฟูมฟาย ดิ้นรนพลางพูดอ้อนวอน
หรูอวี้เดินมาหาทหารองครักษ์คนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ข้างๆ พอสอบถามจึงได้ความว่าอดีตฮ่องเต้ทรงนึกถึงคนเก่าซึ่งทรงคุ้นเคย เมื่อคืนได้เข้าฝันตรัสกับฮ่องเต้องค์ใหม่ ฮ่องเต้องค์ใหม่ทรงกตัญญู จะทรงให้บรรดานางกำนัลและมหาดเล็กตำหนักหย่างซินถูกฝังร่วมในพระสุสาน
ถังเฉียนฟังแล้วขนลุกซู่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ของตำหนักหย่างซิน รวมกันแล้วอย่างน้อยก็เกือบครึ่งร้อย คนเป็นๆ เหล่านี้ เวลานี้ต้องเสียชีวิตทั้งหมดเพราะความฝันซึ่งไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ
นางยืนดูอยู่ข้างๆ จนกระทั่งนางกำนัลคนหนึ่งดิ้นหลุดจากการควบคุมของทหารองครักษ์ โผมาหมอบที่เท้านาง
“พระสนม พระสนมช่วยผู้ตกทุกข์ได้ยากด้วยเถอะ โปรดช่วยชีวิตบ่าวด้วย! บ่าวจะไม่ลืมพระคุณเลย จะตอบแทนสุดชีวิต…”
ถังเฉียนยังไม่ทันพูดอะไร ทหารองครักษ์ข้างหลังก็วิ่งมาลากตัวนางกำนัลผู้นั้นกลับไป ระหว่างที่ยื้อยุดกันอยู่ก็มีเสียงผ้าถูกฉีกขาดดังแคว้ก นางกำนัลที่กอดเท้าถังเฉียนไว้ ถูกลากตัวไป ในมือยังกำเศษผ้าไว้แน่น
“พระสนม พระสนมเป็นอะไรหรือไม่เพคะ” หรูอวี้รีบตรงเข้ามายืนขวางหน้าถังเฉียน บังไม่ให้นางกำนัลที่เหลือโผเข้ามาหา
ถังเฉียนตกตะลึงยังตั้งสติไม่ได้ นางมองจนตาค้าง ดวงตาสิ้นหวังซึ่งพยายามไขว่คว้าแสงสายหนึ่งไว้ ค่อยๆ หมองลงไปในสายตาของนาง จนกระทั่งตายดับไป
“พระสนม อย่าดูอีกเลย”
หรูอวี้ทนดูต่อไปไม่ไหว ใช้ร่างบังนรกบนดินซึ่งอยู่ด้านหลัง
“ในวังหลวง ยิ่งเป็นสถานที่ที่ยิ่งสูงยิ่งหนาว ท่านเห็นเพียงสภาพที่น่าเวทนาของคนพวกนี้ แต่ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาพวกเขาเหิมเกริมโหดเ**้ยมอย่างไรบ้าง”
“พระสนม ในวังแห่งนี้ไม่มีผู้บริสุทธิ์หรอกเพคะ”
เมื่อถังเฉียนถูกเรียกตัวไปยังวังที่ประทับ นางยังรู้สึกสับสน นางได้รับการต้อนรับอย่างนอบน้อมตลอดทางไปยังวังที่ประทับ พอเข้าไปในตำหนักก็เห็นหมอหลวงยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ
พอเห็นนางเดินเข้ามา นางกำนัลนางหนึ่งเดินออกมาจากห้องด้านใน แล้วนำถังเฉียนเดินเข้าไป เหล่าหมอหลวงมองดู มองสำรวจนางอย่างใช้ความคิด จากนั้นก็กระซิบกระซาบแสดงความเห็นกัน
หลังจากนางเข้ามาในห้องใน นางกำนัลที่เดินนำมาก็ถอยออกไป ในห้องจุดกำยานกลิ่นประหลาด นางเหลือบมองบนเตียง เห็นฉู่จิ่งเหยาทรงประทับนั่งเอนอยู่ที่หัวเตียง สีพระพักตร์ห่อเ**่ยว ขาวซีดไร้สีพระโลหิต
“ฝ่าพระบาทพระองค์…”
“ชู่ว์…”
ฉู่จิ่งเหยายื่นพระหัตถ์ออกมา ดึงจนถังเฉียนเซถลา ล้มไปข้างหน้าเข้าหาอ้อมกอดของพระองค์
ถังเฉียนยันตัวขึ้นอย่างยากเย็น นางเงยหน้าขึ้น มองดูฉู่จิ่งเหยาด้วยความโมโห แต่พบว่าสีพระพักตร์แย้มยิ้ม
“อาหรูน่า เจิ้นไม่เป็นไรหรอก แต่เจิ้นต้องการให้เจ้าช่วยเจิ้นแสดงละคร…”