ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配 - ตอนที่ 12.4 (เล่มสาม)
เฉินมู่ไป๋
4
ท่ามกลางความมืดมิด ถึงเฉินมู่ไป๋จะไม่กล่าวต่อต้านใด ๆ แต่กล้ามเนื้อที่เพิ่งผ่อนคลายลงกลับเริ่มแข็งทื่อขึ้นมาอีกครั้ง จนอวี่ฉีเกือบหลุดหัวเราะออกมา ทว่าเธอก็ยังอดทนและยังแกล้งผู้ติดตามของตนเองต่อไปด้วยการกระแอมกระไอครั้งหนึ่งแล้ววางมาดท่านหญิง “นี่เจ้าจะไม่ทำตามที่ข้าสั่งงั้นรึ?”
ในที่สุดมือที่แข็งเหมือนก้อนหินก็เริ่มขยับได้เสียที เฉินมู่ไป๋ตบแผ่นหลังเธอเบา ๆ ด้วยท่าทางงุ่มง่ามจนน่าขัน หากมารดาทุกคนในใต้หล้ากล่อมลูกเหมือนใช้เท้ากล่อมอย่างองครักษ์ผู้นี้ เห็นทีเกรงว่าทารกในสมัยโบราณที่เดิมมีโอกาสตายสูงอยู่แล้ว คงไม่แคล้วตายง่ายขึ้นไปอีกขั้น
อวี่ฉีปล่อยให้อีกฝ่ายตบหลังอยู่สักพักก็หลุดขำออกมาเบา ๆ อย่างอดไม่อยู่แล้วจริง ๆ “นี่เจ้ากำลังจั๊กจี้ข้าผ่านผ้าห่มอยู่หรือไร?”
เด็กหนุ่มหยุดมือทันที ก่อนจะลองขยับอีกรอบพร้อมเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “นอนเถิดคุณหนู”
น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นทำให้ผู้ฟังที่กำลังคล้อยหลับในยามค่ำคืนรู้สึกสบายใจเป็นพิเศษ อวี่ฉีรู้สึกแปลกใจ คราแรกเธอยังคิดที่จะหยอกล้อเขาต่อ ทว่าไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดมาตอนนี้ความคิดนั้นกลับเจือจางลงไปไม่น้อย กลายเป็นความรู้สึกง่วงงุนพรั่งพรูขั้นมาแทนที่ อวี่ฉีค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนท่ามกลางความมืดมิดอันเงียบสงัด
เดิมทีเธอยังอยากจะกล่าวราตรีสวัสดิ์กับอีกฝ่ายสักคำ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าหลังจากเพิ่งปิดดวงตาทั้งสองข้างไม่ทันไร เฉินมู่ไป๋ก็ลงมือกดนิ้วตรงท้อยทอยเธอสองครั้งเร็ว ๆ โดนไม่บอกไม่กล่าว อวี่ฉีแทบจะหลับปุ๋ยไปในทันทีที่อีกฝ่ายยกนิ้วออก
ความคิดสุดท้ายที่วูบผ่านในหัวของเธอก่อนจะหลับก็คือ ไม่เลว ๆ เจ้าเด็กคนนี้ เห็นดูโง่ ๆ ทึ่ม ๆ ไม่คิดว่าจะรู้จักใช้วิธีเจ้าเล่ห์แบบนี้ด้วย หรือความจริงแล้วเขาจะเป็นพวกซ่อนคม เนื้อแท้เป็นคนที่หลอกไม่ได้ง่าย ๆ กันแน่นะ?
อวี่ฉีหลับยาวจนถึงเช้าตรู่ของวันต่อมาพร้อมอาการปวดเมื่อยไปทั้งเอว หลังกอดผ้าห่มขยับตัวอยู่ครู่ใหญ่จนอาการบรรเทาแล้วจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่ง หญิงสาวหันมองรอบด้าน แต่ก็ไม่พบเฉินมู่ไป๋ ทว่าหางตากลับเหลือบไปเห็นขนมสองชิ้นที่มีไอร้อนลอยกรุ่นวางอยู่บนโต๊ะแทน
เธอคลี่ยิ้มก่อนจะลุกไปผลัดเปลี่ยนชุด แล้วเอื้อมมือคว้าขนมชิ้นหนึ่งมาใส่ปาก จากนั้นก็เริ่มจัดเก็บข้าวของสำหรับเตรียมหนี อวี่ฉีนำเครื่องประดับมีค่าที่กระจัดกระจายอยู่ตามห้องมารวมกันพอประมาณ แล้วถึงไปเก็บเสื้อผ้าที่ดูธรรมดาเรียบง่ายและทนทานต่อการใช้งานอีกสองตัวใส่เข้าไปในห่อผ้า
แต่แล้วจู่ ๆ เฉินมู่ไป๋ก็ปรากฏตัว เขาเดินอ้อมเธอพลางควักเอามีดสั้นที่ขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือไม่มากกับยาขวดเล็ก ๆ สำหรับห้ามเลือดออกมาจากอกเสื้อแล้วใส่ลงไปในห่อผ้าใบนั้น “ยังต้องเตรียมเสบียงอาหารแห้งกับน้ำบางส่วนด้วยขอรับ”
อวี่ฉีคว้าหมั่นโถวสองลูกในถาดอาหารมาห่อกระดาษซับน้ำมันลวก ๆ แล้วยัดเพิ่มลงไปในห่อผ้า จากนั้นก็เอ่ยถามคนข้างตัวโดยไม่เงยหน้า “เมื่อคืนเจ้ากดจุดนอนหลับข้ารึ”
ร่างของเฉินมู่ไป๋ชะงัก ก่อนจะเหลือบตามองเธอแวบหนึ่งอย่างร้อนตัว พลางยอมรับเสียงเบา
เธอเหล่มองอีกฝ่าย “อือฮึ สังหารก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลังสินะ” อวี่ฉีพิงข้างโต๊ะ แหงนหน้ามองเฉินมู่ไป๋ด้วยใบหน้ายิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ช่วงนี้ข้าคงเมตตาเจ้ามากไปใช่หรือไม่ เจ้าถึงได้ไม่กลัวข้าเช่นนี้”
เฉินมู่ไป๋ได้ยินดังนั้นจึงจ้องมองเธอ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็มองไม่เห็นความใจดีมีเมตตาแบบผู้หลักผู้ใหญ่บนใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นอย่างที่กล่าวอ้างเลยสักนิด องครักษ์หนุ่มจึงเม้มปากอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนเอ่ยแย้งเสียงทุ้มต่ำว่า “ไม่ใช่ขอรับ”
สิ้นเสียง อวี่ฉีก็พลันยืดตัวตรง แล้วโน้มกายไปหาอีกฝ่าย มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “เจ้ายิ้มแล้ว?”
เฉินมู่ไป๋อึ้งไป เขารีบเบนสายตาหนีด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนราวกับกระต่ายทึ่มตัวหนึ่งที่กำลังถูกสุนัขดุร้ายไล่ต้อนจนหมดทางหนี
อวี่ฉีจ้องมองเขาสักพักก็หลุดยิ้มออกมา “ก็ถือว่าได้ประโยชน์อยู่บ้าง ถูกเจ้ากดจุดนอนหลับแล้วก็แล้วไปเถอะ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง นาน ๆ จะมีวันที่ดอกไม้บานบนต้นปรงสาคูที่ชอบทำตัวเหมือนก้อนหินของข้าเสียที” อวี่ฉีกระตุกยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจ ก่อนจะเอียงศีรษะมองคนตรงหน้า “มู่ไป๋ เคยมีผู้ใดบอกหรือไม่ว่าเวลาเจ้ายิ้มนั้น เจ้าดูดีมาก ๆ”
คำพูดที่เรียกได้ว่าหยอกเย้านี้ส่งผลให้ผิวขององครักษ์หนุ่มที่ต้องแสงอาทิตย์จนเป็นสีน้ำผึ้งแต่งแต้มไปด้วยสีแดงจางขึ้นมาในไม่กี่อึดใจ เฉินมู่ไป๋เผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ทำท่าจะหนีหายไปในพริบตาอีกรอบ แต่กลับถูกอวี่ฉีขัดขวางไว้ได้อย่างทันท่วงที
“เอาเถิด อย่าเพิ่งรีบร้อนหลบหน้าข้า พวกเรามาวางแผนเดินทางกันก่อน” อวี่ฉีเก็บสีหน้าล้อเลียนกลับไปและเปลี่ยนมาทำสีหน้าจริงจัง ก่อนจะหมุนตัวมานั่งลงหน้าโต๊ะ “ข้าไม่รู้ว่าผู้คุมที่อยู่ด้านนอกทั้งหมดนั้นมีวรยุทธ์เก่งกล้าแค่ไหน ลองบอกมาสิว่า เจ้ามั่นใจเพียงใดว่าจะพาข้าออกไปโดยรอดพ้นจากสายตาของคนพวกนั้นได้”
เฉินมู่ไป๋มองเธอแล้วก้มหน้าเอ่ยยืนยัน “ต่อให้ มากกว่านี้อีกหลายสิบคน ข้าน้อยก็มั่นใจว่าจะพาคุณหนูออกไปได้อย่างปลอดภัยขอรับ” แม้สีหน้าของเขาจะยังคงนิ่งจนคาดเดาอารมณ์ไม่ได้ กระนั้นอวี่ฉีกลับรับรู้ถึงความมั่นใจเต็มเปี่ยมที่ส่งผ่านจากน้ำเสียงของชายตรงหน้าได้อย่างง่ายดาย
แต่เจ้าเด็กน้อยเฉินมู่ไป๋นี่จะหน้าบางเกินไปแล้ว แค่ถูกเธอชมเบา ๆ ไปหนึ่งประโยคก็เอาแต่หน้าแดง มองไปแล้วก็คล้ายกุ้งต้มสุกไม่เบา
ไม่ว่าใครก็ล้วนชอบฟังคำชื่นชมทั้งนั้น ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่งก็ตามที
อวี่ฉีพลิกขยับของด้านในห่อผ้าแล้วเอ่ยปากถามต่อ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คืนนี้ก็ออกจากจวนได้เลยสินะ?”
“ขอเพียงคุณหนูพร้อม ก็สามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อขอรับ” คุณพี่เฉินท่านนี้ ถ้าไม่เงียบกริบพูดน้อย คำพูดของเขาแต่ละประโยคก็ช่างชวนคนสะดุ้งตกใจได้จริง ๆ
อวี่ฉีมองประเมินอีกฝ่ายเงียบ ๆ ในใจก็คิดว่า เด็กคนนี้ดู ๆ แล้วก็เป็นคนสุขุมชวนให้รู้สึกน่าไว้วางใจดี คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีมุมที่กระปรี้กระเปร่าเช่นนี้ด้วย ท่าทางของเขาดูรีบร้อนมากกว่าเธอเสียอีก ไม่รู้จักรอบคอบเอาเสียเลย “ข้าไม่รีบ ค่อยไปตอนฟ้ามืดคืนนี้ก็ได้ หากลอบหนีตอนกลางดึกอย่างน้อยกว่าคนของท่านพ่อจะรู้ตัวก็ผ่านไปอีกหนึ่งคืนเต็ม ๆ แต่หากไปกันตอนนี้เลย อีกเดี๋ยวจะมีคนยกอาหารเข้ามาแล้ว สักพักความคงแตกกันพอดี”
องครักษ์หนุ่มพยักหน้า แล้วหันไปมองหมั่นโถวสองลูกที่ถูกเธอโยนลงไปในห่อผ้า “คุณหนู ท่านนำเสบียงแห้งติดตัวไปน้อยเกินไปนะขอรับ
อวี่ฉีเลิกคิ้ว “น้อยงั้นหรือ? เจ้าหมั่นโถวนี่แห้งจนข้ากลืนไม่ค่อยลง ให้กินทั้งวันยังเหลือเฟือเลยเชียวนะ” หญิงสาวจ้องคนตรงหน้าอย่างใช้ความคิด “มื้อหนึ่งเจ้ากินเท่าใด?”
จบคำถามไปสักพัก อีกฝ่ายถึงค่อยมองเธออย่างประหม่า แล้วยกมือชูนิ้วเรียวยาวทั้งสี่ออกมาให้เธอดูช้า ๆ
“เจ้ากินหมั่นโถวสี่ลูกในมื้อเดียวรึ?”
เฉินมู่ไป๋ผงกหัว สีแดงจางบนใบหน้าที่เดิมทีแทบหายไปหมดแล้วกลับแต่งแต้มขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ทว่าคราวนี้แดงตั้งแต่ลำคอลามไปจนติ่งหูเลยทีเดียว
อวี่ฉีเบนหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงปวดใจ “เจ้าเป็นจอมตะกละหรืออย่างไร? ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป สักวันข้าต้องถูกเจ้าจับกินไปด้วยแน่ ๆ” พูดจบก็แสร้งนวดขมับแล้วอุทานออกมา “สมแล้วที่เป็นเด็กหนุ่ม เหล่าจือท่านนี้ช่างกินเก่งจริง ๆ”
เฉินมู่ไป๋อดทนแล้วอดทนอีก สุดท้ายก็กลั้นต่อไปไม่ไหว แย้งขึ้นมาเสียงเรียบ “คุณหนู เหล่าจือแปลว่าพ่อนะขอรับ”
“ไม่ต้องมาจับผิดข้า เดี๋ยวเจ้าไปหยิบหมั่นโถวมาให้เยอะหน่อย แล้วหาของกินอย่างอื่นในครัวติดมาด้วยก็พอแล้ว” อวี่ฉีพูดจบก็หยิบมีดสั้นที่อีกฝ่ายให้มาควงเล่นบนฝ่ามือ ระหว่างนั้นก็พูดลอย ๆ ขึ้นมาว่า “มู่ไป๋ เจ้ามาเป็นองครักษ์เงาตั้งแต่อายุเท่าใด?”
“ข้าน้อยเข้ามาในจวนและได้รับการฝึกฝนตั้งแต่อายุห้าหนาว และกลายมาเป็นองครักษ์เงาของท่านยามอายุแปดหนาว จนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาสิบปีแล้วขอรับ”
อวี่ฉีพยักหน้า “พูดอีกอย่างก็คือ ตอนนี้เจ้าเพิ่งจะอายุสิบแปด?”
เขามองเธอแวบหนึ่ง ก่อนตีสีหน้าไร้อารมณ์กล่าวเรียบ ๆ ว่า “อายุมากกว่าท่านสามปี”
“เอาเถิดน่า ข้ารู้แล้วว่าเจ้าอายุมากกว่าข้า เหตุใดจึงต้องคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้ด้วย?” อวี่ฉียิ้มอย่างอ่อนใจ ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างเชี่ยวชาญ “ท่านพ่อเคยบอกข้าว่า การจะฝึกองครักษ์สักคนต้องใช้เวลาฝึกอย่างน้อยห้าปี แล้วเพราะเหตุใดเจ้าถึงฝึกเพียงสามปีเท่านั้นเล่า?”
เฉินมู่ไป๋ยังรักษาสีหน้าเช่นเดิมไว้ ทว่าดวงตาของเขากลับเริ่มแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มขึ้นมาราง ๆ ไม่บ่อยนักที่จะเห็นเขาเป็นเช่นนี้ หากไม่สังเกตก็คงแทบมองไม่เห็นด้วยซ้ำ “เพราะพรสรรค์ขอรับ”
อวี่ฉีมองอีกฝ่ายเงียบ ๆ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงสรุปได้ว่าความจริงแล้วเฉินมู่ไป๋ก็หลงตัวเองใช่ย่อย เรื่องนี้ทำเอาเธอหัวเราะร่าจนเผยให้เห็นฟันเรียงสวยสีขาวสะอาดดั่งหิมะ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความภูมิใจกลับไปว่า “เหมือนกับข้าที่หน้าตาสะสวยมาตั้งแต่กำเนิดใช่หรือไม่?”
เฉินมู่ไป๋หมดคำจะกล่าว
——————————–
พระจันทร์เสี้ยวประดับอยู่บนฟากฟ้าอย่างเงียบงัน จวนของอัครมหาเสนาบดีซึ่งอยู่ภายใต้ความมืดมิดยามราตรีนั้นเงียบสงัดไร้ซึ่งเสียงใด ๆ
คืนที่มีแสงจันทร์อ่อนจางแต่ลมพัดแรงเช่นนี้ ไม่เพียงแค่เหมาะที่จะเป็นค่ำคืนแห่งการสังหารเท่านั้น แต่มันยังเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการหนีตามกันด้วย
เฉินมู่ไป๋กดจุดนอนหลับสองผู้คุมโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี เขากระโจนขึ้นไปคุกเข่าข้างหนึ่งตรงบานหน้าต่างอย่างไร้สุ้มเสียง แล้วชะเง้อมองด้านในเอ่ยเรียกเธอ “คุณหนู?”
อวี่ฉีเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดที่องครักษ์หนุ่มจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว มันเป็นชุดสีดำสำหรับเดินทางยามกลางคืน เนื้อผ้าหยาบใส่แล้วหลวมโคร่งไปแทบทุกส่วน ยกเว้นแต่ส่วนใต้ลำคอ เหนือเอวและหน้าท้องเท่านั้นที่รัดแน่นเป็นพิเศษ
เธอไม่ได้จงใจแต่งตัวให้เป็นแบบนี้หรอก แต่ยัยคุณหนูฉินนี่ต่างหากที่บำรุงดีเกินไป เพิ่งจะเป็นสาวอายุสิบห้าปีแท้ ๆ กลับมีรูปร่างเซ็กซี่อกใหญ่เอวบางตามอุดมคติแล้ว นี่มันบ้าชัด ๆ
เฉินมู่ไป๋มองเพียงแวบเดียวก็รีบเบนสายตาหนีพร้อมหูที่แดงขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าน้ำเสียงของเขาก็ยังคงนิ่งสงบเช่นเคย ”ไปกันเถอะขอรับ”
อวี่ฉีลากห่อผ้าสัมภาระพลางกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปข้างหน้าต่าง แล้วออกคำสั่งกับอีกฝ่ายอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ “ลงมาแล้วหันตัวไป”
องครักษ์หนุ่มทำตามอย่างเชื่อฟังโดยไม่ถามใด ๆ ทั้งสิ้น เขาเพียงกระโดดเบา ๆ ก็ลงมาอยู่ตรงหน้าเธอแล้วจากนั้นก็หันหลังให้ตามคำสั่ง
หญิงสาวเขย่งปลายเท้าเล็กน้อย เพื่อนำห่อผ้าน้ำหนักไม่หนักไม่เบาไปคล้องคอคนตรงหน้า จากนั้นจึงยกแขนสองข้างกอดทับตามลงไป ก่อนจะพูดกลั้วเสียงหัวเราะแผ่วเบา “ไปกันเถิด”
ลมเย็นระลอกหนึ่งพัดผ่านยอดไม้ที่อยู่นอกหน้าต่างไป ไม่มีใครในจวนสังเกตเห็นเงาดำเลือนรางที่เคลื่อนตัวผ่านแมกไม้หนาทึบเลยแม้แต่คนเดียว เงานั้นข้ามผ่านรั้วกำแพงกั้นที่สูงทัดเทียมคนสามคนไปอย่างนุ่มนวลและคล่องแคล่ว
เสียงลมอู้ ๆ หวีดดังผ่านใบหู อวี่ฉีแนบร่างติดกับเฉินมู่ไป๋แล้วออกปากถามตรงข้างหูของอีกฝ่าย “เจ้าสามารถใช้วิชาตัวเบาโดยไม่หยุดพักเลยเช่นนี้ไปได้นานเท่าใด?”
ชายหนุ่มคิดอยู่สักพักก่อนจะประเมินความสามารถของตัวเองออกมา “สองชั่วยามขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าได้เตรียมม้าหรือรถม้าเอาไว้ก่อนจะหนีหรือไม่?”
“ไม่ได้เตรียมขอรับ”
อวี่ฉีรัดแขนที่คล้องคออีกฝ่ายแน่นขึ้น จู่ ๆ ก็ชักอยากจะหันหัวกลับห้องขึ้นมาตงิด ๆ แต่สุดท้ายเธอก็ได้แต่สูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อสงบใจ “หากผ่านพวกโรงเตี๊ยมหรือเหลาสุรา เจ้าก็หยุดพักชั่วคราวก่อนเถอะ”
“ขอรับ”
โชคดีที่มีโรงเตี๊ยมเยว่หลาย[1] ตั้งอยู่ในจุดที่ห่างออกไปไม่ไกล แต่เฉินมู่ไป๋ไม่ได้พาเธอเข้าไปทางประตูหน้า กลับกระโจนขึ้นไปบนหลังคาโรงเตี๊ยมแห่งนั้นแทน ไม่รู้ว่าที่ทำเช่นนี้เป็นเพราะต้องการจะแอบฟังความเป็นไปด้านในก่อนหรือไม่
บนกระเบื้องเต็มไปด้วยตะไคร่สีเขียวที่ทั้งลื่นทั้งเปียก อวี่ฉีเกือบจะลื่นถลาตกลงไปยามเหยียบเท้าลงบนนั้น หญิงสาวจำต้องรีบตะครุบแขนของคนข้างตัวเอาไว้จึงประคองร่างกายขึ้นมาได้ “เจ้าพาข้าขึ้นมาเพื่อสิ่งใด เป็นเพราะทิวทัศน์บนนี้งดงามกว่าด้านล่างงั้นหรือ?” กล่าวจบเธอก็พลันนึกขึ้นได้ว่าทิวทัศน์ด้านบนก็ต้องดีกว่าด้านล่างอยู่แล้ว จึงรีบกระแอมชี้นิ้วไปทางคอกม้าหลังโรงเตี๊ยมเพื่อเปลี่ยนเรื่อง “พวกเราไปจูงม้าสักตัวจากตรงนั้นมาขี่กันเถอะ”
เฉินมู่ไป๋ขานรับก่อนใช้แขนหนีบเอวเธอพาลงจากหลังคา
อวี่ฉีต้องตาต้องใจม้าดำรูปร่างสูงใหญ่และดูดีตัวหนึ่ง ขณะกำลังเตรียมจะจับปลาในน้ำขุ่น[2] จูงมันไปแล้วนั่นเอง เฉินมู่ไป๋ผู้มีหน้าที่ดูลาดเลาอยู่ด้านนอกก็พลันถามขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “จะนำเงินให้เจ้าของม้าได้อย่างไรดีขอรับ?”
อวี่ฉีปลดเชือกบังเหียนอย่างระมัดระวังพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นมา “หากข้ามีเงินให้เจ้าของม้า เจ้าคิดว่าข้าจะยังมาทำเรื่องลับ ๆ ล่อ ๆ เช่นนี้อยู่ที่นี่รึ?”
[1] 悦来客栈 โรงเตี๊ยมที่มีหลายสาขาและสร้างขึ้นมานานมากแล้ว
[2] 浑水摸鱼 ถือโอกาสฉกฉวยประโยชน์ในตอนที่กำลังชุลมุนวุ่นวาย