ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配 - ตอนที่ 13.4 (เล่มสาม)
ฉีอวิ๋นเยี่ยน
4
คนที่ทำงานแบบอวี่ฉีทุกคนจำเป็นต้องแสดงโฉมหน้าอันอ่อนโยนออกมาก่อนเริ่มจู่โจมเป้าหมายเสมอ ทำให้คนทั่วไปมักมองพวกเธอเป็นนางฟ้าผู้อารีต่อสรรพสัตว์และเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทว่าลับหลังสายตาผู้คน ยุทธวิธีของพวกเธอจะทั้งเฉียบขาดแถมยังโหดเหี้ยม เรียกได้ว่าถ้าจำเป็นละก็ ต่อให้ต้องใช้วิธีสกปรกเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย พวกเธอก็พร้อมจะทำ
อันที่จริงเมื่อมองในบางมุม ฉีอวิ๋นเยี่ยนเองก็เป็นคนแบบนี้เช่นกัน เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่อยากเข้าหา เขาจะถ่อมตัวสำรวมกิริยา ใบหน้ามักยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยเมตตากรุณาเกินใครเทียม แม้ยามเอื้อนเอ่ยวาจาก็มักใช้น้ำเสียงนุ่มนวลและระมัดระวังคำพูดเสมอ ทว่าหากกระชากเปลือกนอกอันงดงามที่ห่อหุ้มเขาออก ก็จะพบว่ามีความเน่าเฟะดำมืดซุกซ่อนอยู่ในนั้น
เบื้องหลังความรุ่งโรจน์นี้หาใช่ความผันผวนในชีวิต แต่เป็นความสกปรกโสมมของผู้มีอำนาจเหนือคนนับหมื่นแต่เป็นรองคนคนเดียว และเก้าในสิบส่วนความเลวร้ายนั้นเกิดจากกองกระดูกนับไม่ถ้วน
เวลาสั้น ๆ เพียงสิบกว่าปี ฉีอวิ๋นเยี่ยนก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจในราชวงศ์ต้าอวี้อย่างเยือกเย็นผ่าเผย ทุกย่างก้าวเกิดปทุม[1] ไม่ว่าจะทำงานใดก็ทำได้รวดเร็วและง่ายดายจนไม่น่าเชื่อ ทว่ากลับไม่มีใครล่วงรู้ว่า ทุก ๆ ย่างก้าวของเขานั้นมีซากกระดูกทับถมอยู่มากเพียงใด เขาเหยียบย่ำดวงวิญญาณเปี่ยมแค้นไปตั้งเท่าไรแล้ว
เขาก็เหมือนปีศาจในตำนาน ทุกครั้งที่หลุบตาลงแย้มยิ้มบาง ล้วนเป็นการล่อลวงให้ผู้คนลุ่มหลงราวกับดูดวิญญาณทั้งสิ้น มีเสน่ห์เย้ายวนอย่างร้ายกาจ ความจงรักภักดีและเคารพเชื่อฟังคือเปลือกอันจอมปลอมที่เขาสร้างขึ้นทั้งนั้น การหลอกลวงและการหักหลังต่างหากถึงจะเป็นปาหี่ที่เขาเชี่ยวชาญที่สุด
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาวางแผนเตรียมเหยียบไหล่จ้าวไทเฮาและองค์หญิงรุ่ยอัน เพื่อเป็นบันไดไปสู่ตำแหน่งคนสนิทของฮ่องเต้หญิง ทว่าเขากลับคาดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะกลับตาลปัตรอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเช่นนี้
ในยามที่เขาเอาตัวไปยุ่งเกี่ยวกับการคัดเลือกราชบุตรเขยนั้น ไม่รู้ว่าถูกจ้าวไทเฮาล่วงรู้ได้อย่างไร
ซือหลี่เจียนจ่างอิ้น[2]และตงฉ่างตูจู่ ต่างเป็นตำแหน่งน่าเกรงขาม ทว่ายิ่งอยู่สูงมากเท่าใดก็ไม่ต่างอะไรกับการร่ายรำอยู่บนขอบผา หากพลาดพลั้งเพียงครั้งเดียวก็เท่ากับตกลงไปสู่หุบเหวลึก ร่างแหลกเละกระดูกป่นแตก ไม่มีหนทางให้หวนกลับคืนได้อีกตลอดกาล
แม้อำนาจในมือฉีอวิ๋นเยี่ยนจะดูมั่นคงแข็งแรงราวกับไม่มีวันเสื่อมสลายได้ก็จริง แต่แท้จริงแล้วนั้นกลับไม่มีสิ่งใดเป็นของเขาอย่างแท้จริง ทุกสิ่งล้วนมาจากต้นไม้ใหญ่ที่เขาพึ่งพิงทั้งสิ้น วันใดต้นไม้ใหญ่ไม่แผ่ร่มเงาหรือถูกโค่นล้มลง เขาเองก็ต้องตายอย่างไร้ที่ฝังกลบ ไม่ต่างจากขันทีทั้งหลายในประวัติศาสตร์ ถึงแม้ในช่วงเวลาหนึ่งพวกเขาจะมีอำนาจมหาศาลแค่ไหน ก็ยังตกตายอย่างน่าอนาถได้เพียงเพราะคำพูดของฮ่องเต้คำเดียวอยู่ดี
เป็นเพียงจิ้งจอกที่อาศัยบารมีเสือ[3] ยามราชาแห่งขุนเขาอย่างพยัคฆาเกิดพิโรธโกรธาขึ้นมาเมื่อใด จิ้งจอกก็ไม่อาจหนีความตายพ้นไปได้
หนทางเก้าสายล้วนนำไปสู่ความตาย ทางรอดเดียวคือการเปลี่ยนต้นไม้ใหญ่ที่พึ่งพา ฮ่องเต้หญิงเยาว์วัยพระองค์นั้นคือตัวเลือกหนึ่งเดียวที่สามารถพึ่งพิงได้ในยามนี้ ถึงแม้พระองค์จะขึ้นครองราชย์ไม่นานและยังเยาว์วัยอยู่มาก แต่ก็เป็นผู้สืบทอดโดยชอบธรรม ต่อให้ไม่ช่วยเหลือก็ยังสามารถคานอำนาจจ้าวไทเฮาเอาไว้ได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าเบื้องหลังของนางยังมีขุนนางใหญ่กุมอำนาจสี่ท่านที่คอยสนับสนุนอยู่อีก ขอเพียงนางยื่นมือเข้ามาช่วยคุ้มครอง ไม่ว่าอย่างไรก็สามารถปกป้องเขาเอาไว้ได้แน่
แต่ปัญหากลับอยู่ที่ตรงจุดนี้เอง…ยังไม่แน่ว่าฝ่าบาทจะยอมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
วังหลวงคือสถานที่อันโหดร้ายที่สุดในแผ่นดินนี้ ไม่ว่าใครก็คิดถึงแต่เรื่องของผลประโยชน์ หาใช่เรื่องของความรู้สึก แม้ว่ายามนี้เขาจะมีโอกาสร้องขอความเมตตาจากฝ่าบาท แต่ก็ใช่ว่าจะมีเหตุผลเพียงพอให้พระองค์ทรงยอมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ หากมองในมุมองค์ฮ่องเต้ การปล่อยให้เขากับจ้าวไทเฮาฟาดฟันกันจนเจ็บตัวทั้งสองฝ่าย นับเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดที่สุดเสียด้วยซ้ำ
แม้ฉีอวิ๋นเยี่ยนจะอ่านสถานการณ์ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาก็ไม่คิดยอมตายโดยไม่สู้ดูสักตั้งอยู่ดี
ก่อนจะให้คนสนิทที่ไว้ใจเดินทางไปยังพระตำหนักเฉียนชิงเป็นการด่วน เขายืนอยู่บริเวณหน้าต่างแกะสลัก หลุบตาต่ำสั่งการเสียงเข้มว่า “ฝ่าบาทจะต้องทรงหยิบยื่นเงื่อนไขออกมาแน่นอน ถ้าสามารถตอบรับได้ก็ให้ตอบรับ หากไม่สามารถรับปากได้…ก็ให้รับปากไปก่อนชั่วคราว”
เว่ยจือเอินค้อมกายขานรับคำสั่ง ใบหน้าเคร่งเครียดจริงจังปรากฏชัดอย่างที่ไม่เคยพบเมื่อก่อนหน้านี้ ไม่เพียงแต่เขา ขันทีรับใช้ฝ่ายในทั้งหมดที่อยู่บริเวณนั้นก็ล้วนก้มศีรษะงุดไม่กล่าววาจา ทั้งที่เป็นช่วงคิมหันตฤดู ทว่าไอเย็นอันมืดครึ้มของลมฝนที่โชยมากลับปกคลุมไปทั่วหน่วยซือหลี่เจียน กดทับจนทำให้ผู้คนแทบหายใจไม่ออก
ฉีอวิ๋นเยี่ยนหมุนแหวนหยกบนนิ้วพลางหลุบตาครุ่นคิดเงียบ ๆ ตามความเคยชิน แพขนตาสีดำสนิทก่อให้เกิดเงาขนาดใหญ่สีเข้มใต้เปลือกตา ขับเน้นดวงหน้าให้ดูซีดเซียวยิ่งกว่าเดิมจนคล้ายกับปีศาจ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ค่อย ๆ หลับตาลง ริมฝีปากสีแดงสดขยับเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบาราวกับทอดถอนหายใจ “เมื่อไปถึงตำหนักเฉียนชิงแล้ว ให้กราบทูลฝ่าบาทว่าฉีอวิ๋นเยี่ยนยินยอมเป็นม้ารับใช้ของฝ่าบาท ถ้าหากวันนี้สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ต่อให้เป็นภูเขาดาบทะเลเพลิงก็ยินดีฝ่าฟัน”
เว่ยจือเอินรับคำสั่งแล้วค้อมกายเร่งฝีเท้าเดินไปยังตำหนักเฉียนชิง ภายในวังหลวงที่มีกฎเกณฑ์มากมายนั้นไม่อนุญาตให้วิ่งได้ กระทั่งวิ่งเหยาะ ๆ ก็ไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาที่เป็นขันทีจึงต้องฝึกทักษะการเดินเร็ว ซึ่งเมื่อเทียบกับการวิ่งเหยาะ ๆ แล้วถือว่ามีความเร็วแทบไม่ต่างกัน
คนสนิทของเขาเพิ่งจะออกไป ขันทีผู้ดูแลตำหนักสือหนิง[4]ก็มาถึงด้วยตนเอง กล่าวว่าไทเฮามีพระกระแสรับสั่งเรียกตัวให้เข้าเฝ้า
นี่เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมาย ฉีอวิ๋นเยี่ยนจึงรับคำเสียงเบา ไม่ได้กระทำต่อต้านแต่อย่างใด ทำเพียงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มองไปยังตำหนักเฉียนชิงที่อยู่ไกลออกไปแวบหนึ่ง แล้วหมุนตัวก้าวเดินช้า ๆ ไปยังตำหนักสือหนิงโดยไม่หันกลับไปมองอีกแม้แต่แวบเดียว
เขาเยื้องย่างจากไปอย่างสงบนิ่ง ลำตัวตั้งตรงดั่งไผ่สน จนกระทั่งเงาร่างเพรียวบางนั้นจากไปไกลแล้ว ขันทีปิ่งปี่ทุกคนในหน่วยซือหลี่เจียนก็ยังคงค้อมกายลงส่งเขาอย่างเงียบงันอยู่เช่นเดิม
ถึงแม้วิธีการที่ฉีอวิ๋นเยี่ยนปฏิบัติต่อคนนอกหน่วยจะโหดเหี้ยมอำมหิต แต่เขาก็ไม่เคยสร้างความลำบากหรือหมกเม็ดสิ่งใดต่อผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเอง ทั้งยังไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยเรื่องไม่สำคัญ ทำให้คนในปกครองของเขายินดีเรียกเขาว่า “ฉีตูจู่” ด้วยความเคารพจากใจจริง
คนทั่วไปมักกล่าวว่า พวกขันทีชั่วช้าโหดเหี้ยม ไร้ความรู้สึกเยี่ยงมนุษย์ ทว่าสิ่งนั้นหาใช่ความจริงแท้ ต่อให้พวกเขาร้ายกาจต่อคนภายนอกเพียงใด สำหรับคนในหน่วยกันเอง พวกเขากลับรักใคร่กลมเกลียวกันดี นั่นเพราะทุกคนต่างต้องเผชิญชะตาความทุกข์ยากมาด้วยกัน ถูกผู้ดูแลขันทีรังแกข่มเหงเมื่อแรกเข้าวังมาด้วยกัน ถือไม้กวาดเติบโตมาด้วยกัน เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะมาทำร้ายกันเองไปเพื่อเหตุใด ในเมื่อทุกคนล้วนเป็นสหายที่มีชะตาพึ่งพาอาศัยกัน แม้จะไม่อาจส่งถ่านไฟกลางหิมะได้ ก็ไม่มีทางทำเรื่องไร้คุณธรรมอย่างการโยนหินใส่คนที่อยู่ในบ่อ[5]โดยเด็ดขาด
สำหรับจุดนี้ พวกเขายังมีจิตใจดีงามยิ่งกว่าเหล่าขุนนางใหญ่ที่ปากอ้างว่าตนนั้นมีคุณธรรมจริยธรรม แต่กลับชอบทำเป็นพวกไม้ล้มวานรเตลิด[6] ในท้องพระโรงเหล่านั้นเสียอีก
——————————————–
ทางด้านพระตำหนักเฉียนชิง อวี่ฉีเพิ่งตื่นจากการนอนกลางวัน ตามกฎของวังหลวง ฮ่องเต้กับบรรดาเจ้านายแห่งตำหนักต่าง ๆ นั้น จำเป็นต้องนอนกลางวันเพื่อรับเอาลมปราณหยินหยางจากฟ้าดิน สุขภาพร่างกายจะได้แข็งแรงมีอายุยืนยาว ในเมื่อนี่คือสิ่งที่บรรพชนกำหนดไว้ ก็มีแต่ต้องเคารพและปฏิบัติตามเท่านั้น
นางกำนัลคนสนิทหยิบกวานหยกออกมาจากหีบไม้พะยูง แล้วก้าวขึ้นหน้ามาปรนนิบัติสวมให้กับเธอ
ในขณะที่นางกำนัลย่อตัวเพื่อปรับหัวเข็มขัดหยกนั่นเอง ขันทีผู้ทำหน้าที่รายงานประจำตำหนักเฉียนชิงก็เข้ามารายงานแทนขันทีปิ่งปี่ของหน่วยซือหลี่เจียนอยู่ที่ด้านนอกฉากไม้ประดู่สลักลาย
อวี่ฉีก้มหน้าลงเล่นชายแขนเสื้อ พลางเอ่ยอย่างเฉื่อยชาว่า “ทางฉีจ่างอิ้น [7] คงมีเรื่องด่วนจะรายงานกระมัง ให้เข้ามาเถอะ”
ส่วนเรื่องด่วนที่ว่าจะเป็นอะไรนั้น เธอไม่มีทางไม่รู้ แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องจ้าวไทเฮารู้ข่าวเรื่องราชบุตรเขยแล้ว เพราะยังไงเรื่องนี้เธอก็เป็นคนสั่งการเอง ก่อนหน้านี้ก็เคยบอกแล้วว่า คนที่ทำอาชีพนี้ไม่มีทางเป็นคนใจอ่อนโดยเด็ดขาด เพื่อบรรลุเป้าหมาย บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องเลือกวิธีการ จะทำเรื่องสกปรกบ้างย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก
เพราะถ้าไม่ทำ ฉีอวิ๋นเยี่ยนก็คงทำงานให้เธออย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่ยอมตัดขาดกับจ้าวไทเฮาอย่างชัดเจน แต่หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น ชีวิตในวังของอีกฝ่ายก็ไม่เหลือทางให้ถอยอีกแล้ว นี่คือการบีบให้เขามาอยู่ข้างกายและกลายเป็นคนของเธอไปโดยปริยาย แถมเป็นโอกาสให้เขาติดค้างน้ำใจ เรียกว่ายิงธนูดอกเดียวได้นกอินทรีตั้งสองตัวเห็น ๆ
ต่อให้เว่ยจือเอินไม่มา เธอก็ตั้งใจจะไปตำหนักสือหนิงอยู่แล้ว แต่ในเมื่ออีกฝ่ายส่งคนมาเอง เธอก็ต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้มั่น มิอาจปล่อยผ่านไปโดยไม่เกิดประโยชน์ได้
เว่ยจือเอินเดินตามหลังขันทีผู้รายงานผ่านฉากไม้สลักเข้ามา ทันทีที่เข้ามาถึงก็คุกเข่าลงโขกศีรษะทันที
อวี่ฉีทอดสายตามองเขา โบกมือให้นางกำนัลและขันทีที่ยืนประจำอยู่ภายในห้องให้ล่าถอยออกไป แล้วจึงหันกายมากล่าวอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจว่า “มีเรื่องใดหรือ”
คนสนิทของฉีอวิ๋นเยี่ยนบอกเล่าที่มาที่ไปของเรื่องราวอย่างรวบรัดฉับไวรอบหนึ่ง จากนั้นก็ทิ้งตัวลงโขกศีรษะด้วยความเคารพอีกครั้ง “ฉีตูจู่กล่าวว่ายินดีเป็นม้ารับใช้ให้แก่ฝ่าบาท ถ้าหากวันนี้สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ต่อให้เป็นภูเขาดาบทะเลเพลิงก็ยินดีฝ่าฟันไปตามพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
ถึงจะมาขอให้เธอยื่นมือเข้าช่วย แต่ในคำพูดกลับไม่มีคำขอร้องแม้แต่คำเดียว เพียงแต่รับปากว่าจะตอบแทนในภายหลัง มาถึงขนาดนี้แล้วยังอุตส่าห์รักษาหน้าไม่ยอมลงให้อีกนะ ช่างเป็นชายผู้เย่อหยิ่งชนิดฝังลึกถึงกระดูกจริง ๆ
อวี่ฉีจ้องมองเว่ยจือเอินอยู่ครู่หนึ่ง จนหัวใจของอีกฝ่ายแทบจะกระโจนออกมา ถึงได้เอ่ยอย่างชืดชาว่า “ยามนี้กล่าวเสียน่าฟัง เพียงแต่เจิ้นจะรู้ได้อย่างไรว่าวันหน้าเขาจะกลับคำไม่ยอมรับหรือไม่”
เว่ยจือเอินกัดฟันกล่าวในใจว่า ฉีจ่างอิ้น เดาไว้ไม่ผิดจริง ๆ ทรงต้องการจะยื่นข้อเสนอแล้ว ทว่าเขายังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินฮ่องเต้ตรัสเสียงเรียบว่า “ให้ออกจากตำแหน่งผู้กุมอำนาจสูงสุดของหน่วยซือหลี่เจียน เขาทำได้หรือไม่”
เว่ยจือเอินไม่แม้แต่จะลังเล คำนับลงต่ำ เป็นการแสดงท่าทางว่ายอมรับแทนฉีอวิ๋นเยี่ยนโดยดุษณี
อวี่ฉีหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ในใจกล่าวชมฉีตูจู่ท่านนี้ว่าช่างมองสถานการณ์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ตระหนักดีว่าตนเองในยามนี้เป็นเหมือนปลาที่อยู่บนเขียง ไม่มีคุณสมบัติในการต่อรองใด ๆ
เธอยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วลากเสียงพูดว่า “ลุกขึ้นเถอะ ตามเจิ้นไปตำหนักสือหนิง”
อวี่ฉียกชายชุดเย่ซาเดินขึ้นบันไดฮั่นไป๋อวี้หน้าตำหนักสือหนิง ด้านหลังตามติดด้วยข้ารับใช้ในวังจำนวนหนึ่งกับเว่ยจือเอิน แม้ภายนอกจะดูใจเย็น แต่บรรยากาศของอำนาจที่เปล่งออกมานั้นกลับให้ความรู้สึกครั่นคร้ามประดุจดั่งขุนเขา กดดันเสียจนขันทีและนางกำนัลที่อยู่นอกตำหนักล้วนแต่พากันคุกเข่าลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังตุบอย่างต่อเนื่อง
ไม่รอให้ขันทีผู้รายงานของตำหนักสือหนิงเข้าไปด้านในเพื่อรายงาน เธอก็เดินนำเว่ยจือเอินกับจางเต๋ออันหนึ่งซ้ายหนึ่งขวาเข้าไปในตำหนักหลักโดยตรง
จ้าวไทเฮากำลังประทับอยู่บนเบาะผ้าสีเหลืองทองตรงพระที่นั่งไม้พะยูงประดับหยก นางมีท่าทางโกรธจัด ขณะถลึงตาจ้องมองร่างแบบบางที่คุกเข่าอยู่หน้าที่ประทับ
รองเท้าหนังบนเท้าของอวี่ฉีเพิ่งจะเหยียบลงบนพื้นตำหนัก หูก็พลันได้ยินเสียง ‘เพล้ง’ ดังขึ้น เป็นเสียงของถ้วยชาลายครามที่ตกกระทบกับพื้น ตามด้วยเสียงออกคำสั่งของจ้าวไทเฮาที่กำลังพิโรธเสียจนแทบจะสิ้นสติ “ใครก็ได้! ลากเจ้าคนที่ถูกตอนแล้วผู้นี้ออกไปโบยให้แก่เปิ่นกง ฟาดมันไปจนกว่าจะตาย!”
ณ กึ่งกลางของตำหนักใหญ่ ฉีอวิ๋นเยี่ยนคุกเข่ายืดตัวตรงอยู่บนพื้น น้ำชาร้อนลวกจากถ้วยลายครามแตกสาดกระจายอยู่เบื้องหน้าเขา แต่เขาก็ยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน ราวกับไม่มีความคิดที่จะหลบหลีก ไม่แม้กระทั่งจะกะพริบตา เงียบงันนิ่งสงัดประหนึ่งว่าได้กลายเป็นรูปสลักหินไปแล้ว
อวี่ฉีแสร้งทำเป็นไม่ได้เห็นและไม่ได้ยิน เธอเดินเข้าไปหลายก้าวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วหยุดตรงข้าง ๆ ฉีอวิ๋นเยี่ยนซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ ถวายการคำนับอย่างไร้ที่ติด้วยท่าทางที่กอปรด้วยคุณธรรมอันดีงามทั้งห้าประการ[8] ต่อจ้าวไทเฮา ด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ และกล่าวว่า “หม่อมฉันถวายพระพรเสด็จแม่เพคะ”
เธอไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองดูว่าจ้าวไทเฮามีสีหน้าอย่างไร แต่ใช้หางตามองดูคนคนนั้นที่ข้างกายแทน
ฉีอวิ๋นเยี่ยนเองก็บังเอิญหันหน้ามาพอดี สายตาของทั้งสองปะทะกันที่กลางอากาศ เขาอึ้งไปเล็กน้อย ในขณะที่อวี่ฉียกมุมปากขึ้น แล้วขยิบตาข้างซ้ายเป็นการปลอบโยนเขา มันเจือไว้ด้วยความหยอกล้อและความสนิทสนมที่จะมอบให้แก่คนของตัวเองเท่านั้นอยู่ด้วย
การสบตานั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว โดยทั้งสองไม่ได้แลกเปลี่ยนบทสนทนาต่อกันแต่อย่างใด ทว่าในดวงตาของหญิงสาวกลับปรากฏรอยยิ้ม ท่าทางขยิบตานั้นทั้งรวดเร็วและซุกซน ราวกับกำลังถามสหายรุ่นเดียวกันว่า ‘เหตุใดจึงถูกลงโทษให้คุกเข่าได้เล่า ไปก่อเรื่องมางั้นหรือ ต้องการให้ข้าร้องขอความเมตตาแทนเจ้าหรือไม่’