ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配 - ตอนที่ 13.6 (เล่มสาม)
ฉีอวิ๋นเยี่ยน
6
การที่ฉีอวิ๋นเยี่ยนสามารถปีนป่ายขึ้นมายังตำแหน่งนี้ได้ ก็เป็นเพราะว่าเขารู้จักตนเองดีพอ รู้ว่าตนเองมีน้ำหนักความสำคัญมากน้อยเพียงใด ดังนั้น ยิ่งเขาได้รับความโปรดปรานมากขึ้น ก็ยิ่งจำเป็นต้องรอบคอบระมัดระวัง ยามอยู่ข้างนอกไม่ว่าเขาจะปฏิบัติตัวเช่นไร แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้านาย เขาก็ไม่เคยแสดงอากัปกิริยาเลินเล่อหรือไม่เจียมตัวเลยสักครั้ง
ภายใต้ความโปรดปรานของฮ่องเต้ หากเป็นขันทีคนอื่นคงเที่ยววางอำนาจบาตรใหญ่ไปทั่วแล้ว ทว่าฉีอวิ๋นเยี่ยนกลับทำตัวนอบน้อมลงยิ่งกว่าเดิม เช่นเดียวกับการถูกลงโทษในครั้งนั้น เดิมทีเขาสามารถเจรจากับหัวหน้าหน่วยลงทัณฑ์สักสองสามประโยคแล้วจากไปได้เลย แต่เขากลับเลือกยอมรับการโบยไปสิบกว่าไม้แทน
แม้ขันทีน้อยผู้ทำหน้าที่โบยจะไม่กล้าฟาดเขาเต็มแรง แต่หลังถูกลงโทษ ฉีอวิ๋นเยี่ยนก็จำต้องนอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียงอีกวันสองวันอยู่ดี
วันนี้อวี่ฉีว่าราชการรอบเช้าอยู่ในตำหนักฮว๋าก้าย[1] ได้ยินขันทีข้างกายจางเต๋ออันรายงานว่าเมื่อวานนี้ฉีตูจู่ไปรับโทษโบยที่หน่วยลงทัณฑ์ หลังกลับถึงห้องเขาก็ปิดประตูไม่ออกมาอีกเลย ดูท่าแล้วคงกำลังพักรักษาตัวอยู่
ถึงแม้ว่าจางเต๋ออันจะรับใช้ตำหนักเฉียนชิง แต่น้ำเสียงยามเอ่ยถึงฉีอวิ๋นเยี่ยนของเขาดูเหมือนคนที่มาจากหน่วยซือหลี่เจียนไม่มีผิด พูดจ้อประหนึ่งเอ่ยถึงบิดาบังเกิดเกล้าที่บ้านก็ไม่ปาน มีทั้งความภาคภูมิใจและฝันใฝ่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก เพราะพวกขันทีนั้นมักยกย่องฉีจ่างอิ้น เป็นแบบอย่างเสมอ เป็นคนที่ไม่เคยมีผู้ใดก้าวข้ามได้มาก่อน ขันทีน้อยผู้มีใจทะเยอทะยานทุกคนล้วนเคยเพ้อฝันลม ๆ แล้ง ๆ ว่าวันหนึ่งตนจะสามารถองอาจสง่างามได้เทียบเท่าฉีตูจู่ เล่าลือกันว่าขันทีรุ่นเยาว์ที่เพิ่งเข้าวังใหม่ ๆ ถึงกับแอบบูชาภาพเหมือนของฉีอวิ๋นเยี่ยน ทุกเช้าเย็นจะจุดธูปสามดอกขอให้อีกฝ่ายช่วยคุ้มครองตนเอง
อวี่ฉีได้ยินแล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงเหลือบตามองจางเต๋ออันด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ก่อนออกคำสั่งให้คนยกเกี้ยวเปลี่ยนเส้นทางไปยังตำหนักหวงจี๋[2]
ฉีอวิ๋นเยี่ยนคือผู้กุมอำนาจสูงสุดในหมู่ขันที เขาไม่ได้พักอาศัยอยู่ที่ตงซีลิ่วกง[3] หรือเรือนข้างตำหนักของผู้เป็นนาย แต่อาศัยอยู่ที่เรือนซีเพ่ย[4] ของตำหนักหวงจี๋ เมื่อเขาไต่เต้าขึ้นมาถึงตำแหน่งนี้ ผู้คนในวังจึงถือว่าเขาเป็นเจ้านายไปแล้วครึ่งตัว ทั้งยามตื่นยามนอนล้วนมีลูกศิษย์หลายคนคอยปรนนิบัติรับใช้
ครั้นอวี่ฉีเดินทางมาถึงหน้าเรือนซีเพ่ย ก็เห็นศิษย์ของเขา เว่ยจือเอินเฝ้าอยู่ที่นอกห้อง ระหว่างเจ้าตัวรอคำสั่งจากทางด้านในก็นั่งหน้าโต๊ะไม้เคลือบทรงกลมพลางรินน้ำชาให้แก่ตัวเองไปด้วย
เว่ยจือเอินได้ยินเสียงฝีเท้า ยังเข้าใจว่าเป็นขันทีน้อยมาส่งยา จึงเงยหน้าขึ้นเตรียมตั้งท่าสั่งการ แต่หลังจากที่เห็นชัดว่าผู้ใดมาเยือน ก็ตกใจเสียจนเกือบจะโยนถ้วยชาในมือทิ้ง แทบจะถลาจากเก้าอี้ลงมาคุกเข่าลงบนพื้น
อวี่ฉีโบกมือให้เขาเบา ๆ บุ้ยใบ้ว่าอย่าส่งเสียงออกมา ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้าไปข้างในห้อง จางเต๋ออันรู้หน้าที่เป็นอย่างดี ค้อมกายเดินนำเข้าไปเลิกผ้าม่านผืนบางขึ้นแทนเธอ อวี่ฉีชำเลืองหางตามองเขาเงียบ ๆ แล้วกดหางตาลงเล็กน้อย ขันทีน้อยที่ตั้งใจจะเข้าไปด้านในพร้อมกับเธอพลันเข้าใจในบัดดล เขาค้อมกายลงถอยหลังไปหนึ่งก้าว และยืนรออยู่บริเวณด้านนอกแทน
เธอสอดมือไว้ในแขนเสื้อพลางก้าวอย่างแช่มช้าเข้าไปในห้อง พลางมองสำรวจรอบด้านอย่างสนอกสนใจ ไม่ต่างไปจากที่จินตนาการเอาไว้นัก ห้องนอนของฉีอวิ๋นเยี่ยนนั้นตกแต่งเรียบง่าย แต่ก็ยังดูภูมิฐาน ถึงความหรูหราทั้งหลายจะไม่ได้ถูกแสดงออกมาเป็นประจักษ์ แต่ก็ไม่อาจกล่าวว่าเขาเรียบง่ายได้เต็มปาก เพราะอันที่จริง ถึงข้าวของเครื่องใช้เหล่านี้จะดูไม่โดดเด่นไปบ้างก็จริง แต่ก็ทำจากวัสดุหายากทั้งสิ้น ฝีมือรึก็ประณีตอ่อนช้อย แทบจะหาตำหนิไม่เจอเลยสักจุด
เธอเลื่อนสายตาช้า ๆ จนกระทั่งจดลงบนเตียงไม้หวงฮวาหลี[5] ถึงหยุดลง ฉีอวิ๋นเยี่ยนห่มคลุมอยู่ใต้ผ้าอวิ๋นจิ่น[6] นอนคว่ำหน้าพาดตัวอยู่บนหมอนนุ่ม กำลังหยิบฎีกาของสำนักเน่ยเก๋อขึ้นมาอ่าน บนตัวสวมใส่เพียงเสื้อคอปกสีขาวตัวบางเท่านั้น คาดว่าคงเพราะไม่ต้องพบเจอใคร เส้นผมสีดำที่ควรจะถูกรวบไว้จึงแผ่สยายคลอเคลียไหล่ ครั้นมองจากทิศทางที่เธอเดินเข้ามา ก็ดูราวกับแพรต่วนสีดำที่แผ่กระจายรอบด้าน เทียบได้กับสตรีงามทั้งยังดูเพริศแพร้วกว่าถึงสามเท่า
เมื่อไม่มีเสียงรายงาน ฉีอวิ๋นเยี่ยนได้ยินเสียงฝีเท้าแล้วก็เข้าใจว่าเป็นขันทีที่มาส่งยาเหมือนกับเว่ยจือเอิน จึงจงใจทำเป็นไม่แยแส แม้แต่เงยหน้าขึ้นมามองสักแวบก็ยังขี้เกียจ เขาเอาแต่ทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไปที่เอกสารราชการในมือ
อวี่ฉีเห็นดังนั้นก็ไม่ได้ขัดจังหวะ เธอยกเย่ซาขึ้นด้วยตัวเองแล้วนั่งลงบนเก้าอี้นอนไม้จันทน์ม่วงที่ตั้งอยู่ข้างหน้าต่าง วางข้อศอกลงกับโต๊ะไม้ตัวเตี้ย ก่อนใช้มือเท้าคางมองดูคนบนเตียงอย่างเกียจคร้าน
เพราะตำแหน่งที่ได้รับบาดเจ็บทำให้นั่งลำบาก บนเตียงจึงไม่ได้วางโต๊ะหนังสือเอาไว้ ข้างมือของฉีอวิ๋นเยี่ยนจึงไม่มีเครื่องเขียนอยู่เลย ทำได้เพียงใช้ปลายเล็บนิ้วก้อยทำเครื่องหมายเอาไว้ตรงหัวมุมหลังตรวจเสร็จแล้วเท่านั้น
ช่างแตกต่างออกไปจากฉีตูจู่ที่มักมีรอยยิ้มอบอุ่นอยู่เสมอคนนั้น ในยามนี้ขนตาของเขาปรือลง บนเรียวปากไร้รอยยิ้ม หว่างคิ้วมีรอยย่นจาง ๆ ปรากฏอยู่ นัยน์ตาที่ปกติจะมีประกายระยิบระยับกลับเคร่งขรึมอย่างหาได้ยาก แม้ว่าเส้นผมยาวจะพาดอยู่บนไหล่ แต่ไม่ได้ชวนให้รู้สึกถึงความหยาดเยิ้มสะดุดตาเลยแม้แต่น้อย คล้ายกับว่าหยกที่ถูกแต่งแต้มให้งดงามจนเกินควรนั้นได้ถูกถอดออกไปแล้ว เผยให้เห็นเพียงความสุขุมและอ่อนโยน
ฉีอวิ๋นเยี่ยนที่อยู่บนเตียงนั้นได้ยินแต่เพียงเสียงฝีเท้า รออยู่นานก็ไม่ได้ยินเสียงคนผู้นั้นวางยาลงเสียที จึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่มาใหม่ ไม่รู้กฎระเบียบ จึงไม่ได้กล่าวว่าอะไร เพียงแนะนำเสียงเบาไปว่า “วางยาไว้บนโต๊ะก็พอแล้ว เจ้าออกไปเถอะ” เงียบงันไปครู่หนึ่ง บางทีอาจรู้สึกว่าคอแห้งอยู่บ้าง เขาจึงเสริมอีกประโยคโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมาว่า “รินน้ำชามาสักถ้วยสิ”
เขายังคงไม่รู้ว่าคนที่ตนเองออกคำสั่งไปนั้นเป็นใคร แต่เว่ยจือเอินกับจางเต๋ออันที่ถูกคั่นไว้ด้วยผ้าม่านอยู่ด้านนอกกลับได้ยินเขาพูดประโยคนี้อย่างชัดเจน เว่ยจือเอินตกใจจนซวนเซเกือบจะล้มลงไปกองกับพื้น รีบร้อนฉวยเอากาน้ำชาขึ้นมาเป็นข้ออ้างเข้าไปในห้องเพื่อเตือนฉีตูจู่ของเขา ทว่าจางเต๋ออันที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับยกมือขวางเอาไว้
เว่ยจือเอินชี้เข้าไปด้านใน แล้วยกมือขึ้นมาทำท่ามีดปาดคอตนเอง จากนั้นก็มองไปยังคนของตำหนักเฉียนชิงด้วยสายตาอ้อนวอน จางเต๋ออันเองก็ปาดเหงื่อให้แก่คนที่อยู่ด้านในเช่นกัน แต่ด้วยคำสั่งของผู้เป็นนายจึงไม่อาจปล่อยให้เข้าไปได้จริง ๆ ทำได้แต่เพียงสั่นศีรษะให้ด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจเท่านั้น
หลังความเงียบงันอันยาวนานผ่านพ้นไป คนแซ่เว่ยกับแซ่จางทั้งสองที่กำลังเงี่ยหูนั้นไม่ได้ยินเสียงตำหนิด้วยความพิโรธจากฮ่องเต้ ทั้งยังไม่ได้ยินเสียงขอประทานอภัยโทษจากหัวหน้าหน่วยฉีเลยแม้แต่น้อย กลับได้ยินเสียงรินน้ำดังออกมาจากด้านในแทน จึงหันขวับไปมองกันเองทันทีตามจิตใต้สำนึก หลังแน่ใจแล้วว่าพวกตนไม่ได้หูแว่วไปเอง สองตาก็เบิกโพลง ตกใจจนคางแทบจะร่วงลงมา
อีกฟากหนึ่งของม่านกั้น อวี่ฉียืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะสูงทรงสี่เหลี่ยมด้วยท่าทางเกียจคร้าน สีหน้าไม่ได้มีร่องรอยของโทสะแต่อย่างใด เพียงแต่ชงชาอย่างไม่รีบไม่ร้อน ริมฝีปากแดงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ที่แฝงความหมายลึกซึ้ง แทบจะเรียกได้ว่ามีความสุขเสียด้วยซ้ำ…ไม่ต้องเดาก็รู้ อีกเดี๋ยวตอนที่ฉีอวิ๋นเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมาเห็นเธอเข้า สีหน้าต้องอลังการมากแน่ ๆ
ถึงแม้จะมีแผนการที่ไม่อาจให้ใครล่วงรู้อยู่ในใจ แต่มือของเธอกลับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว ล้างจอก ใส่ใบชา ชงชา พักชา รินชา พิจารณาชา เธอทำขั้นตอนทั้งหมดนี้รวดเดียวจนเสร็จ สุดท้ายก็ค่อย ๆ ยกจอกชากระเบื้องเคลือบดอกบัวลายครามเดินไปที่ข้างเตียง ยื่นส่งไปให้เขาอย่างอ้อยอิ่ง
ฉีอวิ๋นเยี่ยนกำลังอ่านฎีกากล่าวโทษตนเองและตรวจดู ‘ความผิดสิบประการใหญ่’ ของตนอย่างละเอียดอยู่ หัวคิ้วจึงขมวดจนเกิดเป็นรอยลึกอย่างควบคุมไม่ได้ เขายื่นมือมารับถ้วยชาไป หลังเปิดฝาถ้วยออกแล้วรออยู่ครู่หนึ่งถึงจิบไปเบา ๆ หนึ่งคำ
ชาที่ดื่มเข้าไปในปากร้อนกำลังดี มีกลิ่นหอมหวานอ่อน ๆ และรสขมเล็กน้อย ฝีมือนับว่ายอดเยี่ยม แทบจะเหนือกว่านางกำนัลที่ทำหน้าที่ชงชาเบื้องพระพักตร์จนเทียบไม่ติดด้วยซ้ำ หากรับไว้ให้ทำหน้าที่ชงชาข้างกายได้คงไม่เลว เขาจึงวางถ้วยชาไว้ข้างตัว เอียงใบหน้ามาเล็กน้อย เพิ่งคิดจะถามว่าเขายินดีจะมาเป็นศิษย์ของตนเองหรือไม่ ก็เหลือบไปเห็นชายชุดเย่ซาสีเหลืองอร่ามเข้า
ช่วงเวลาเพียงพริบตาเดียวนั้น สมองของเขาพลันกลายเป็นสีขาวโพลน รอจนกระทั่งได้สติกลับมา ก็รู้สึกเลือดลมพุ่งปรี๊ดขึ้นไปยังหัวสมองทำตัวไม่ถูก เขาหลุบตาลงราวกับจะหนีความจริง ดีเหลือเกิน เพิ่งจะเปลี่ยนนายใหม่ก็ดันทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ออกไปเสียแล้ว
อวี่ฉีสอดมือไว้ในแขนเสื้อพลางยิ้มสบาย ๆ อยู่ด้านข้าง มองดูใบหน้าที่ซีดขาวของฉีตูจู่ค่อย ๆ ถูกย้อมด้วยสีแดงจาง ๆ ไม่ว่าจะเมื่อไรข้างแก้มของคนงามเมื่อถูกย้อมด้วยสีดอกท้อนั้น ย่อมเป็นภาพอันงดงามที่ยากพบพานเสมอ นับประสาอะไรกับฉีตูจู่ที่แต่เดิมก็งามพิลาศเหนือใคร ยามนี้สีเลือดฝาดค่อย ๆ เริ่มลามเลียใบหน้าโดยเริ่มจากบริเวณหางตาที่ซีดขาว ดูราวกับเครื่องเคลือบสีหยกที่ถูกแต่งแต้มสีแดงเข้าไป ค่อย ๆ ย้อมจนเกิดเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดใจ ช่างเป็นภาพที่สั่นคลอนจิตใจผู้คนจนยากจะพรรณนา
เธอชื่นชมกับภาพอันงดงามนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหัวเราะเสียงเบา เอ่ยปากทำลายความเงียบอันเก้อกระดากนี้ “ฝีมือของเจิ้นคงไม่เลวกระมัง”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึก ประคองตัวขึ้นมาก้มศีรษะลงขออภัยโทษ “กระหม่อมเสียกิริยาต่อเบื้องพระพักตร์ ขอฝ่าบาททรงอภัยโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
อวี่ฉีส่งเสียงดังจิ๊เบา ๆ โบกมือให้เขาไม่ต้องมากพิธี แล้วเลิกคิ้วกล่าวว่า “อย่าทำให้หมดสนุกสิ วิจารณ์มาก่อนสักรอบหนึ่ง ฝีมือของเจิ้นเป็นอย่างไรบ้าง”
ผู้ที่มีฐานะเป็นขุนนาง ไหนเลยจะกล้าวิพากษ์วิจารณ์ฮ่องเต้ได้ ฉีจ่างอิ้น ลำบากใจอย่างถึงที่สุด หว่างคิ้วขมวดจนรอยจาง ๆ ลึกลงอีกเท่าหนึ่ง คอเสื้อผ้าไหมสีขาวเลื่อนเปิดออกเล็กน้อยเพราะการขยับตัวเมื่อครู่ เผยให้เห็นลำคอเรียวไร้ไขมันเรียบลื่นและกระดูกไหปลาร้าอันบอบบาง เขายกมือขึ้นอย่างเก้อเขิน ใช้นิ้วเรียวยาวกระชับคอเสื้อ แพขนตาสีดำหลุบลงปิดบังแววตาเอาไว้ “กระหม่อมแต่งกายไม่เรียบร้อย เกรงว่าจะระคายสายพระเนตรของฝ่าบาท ช่างสมควรรับโทษ…”
เขายังเอ่ยไม่จบประโยคก็ถูกตัดบทเสียก่อน
“เอาเถอะ หากว่าเจิ้นต้องการจะลงโทษเจ้าก็คงลงโทษไปนานแล้ว ยังต้องรอให้เจ้ามาร้องขอรับโทษเองอีกหรือไร” อวี่ฉีกล่าวอย่างไม่ใส่ใจพลางหันกายไป ยกชายชุดเย่ซาแล้วนั่งลงตรงขอบเตียง เก็บรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วเอ่ยเสียงอบอุ่นว่า “เจิ้นมาที่นี่ไม่ได้มีเรื่องสำคัญอะไร เพียงแต่เพิ่งว่าราชการเสร็จ จึงถือโอกาสแวะมาดูว่าอาการบาดเจ็บของฉีตูจู่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ฉีตูจู่ไม่ได้เผชิญหน้ากับสถานการณ์กระอักกระอ่วนเช่นนี้มานานนมแล้ว กษัตริย์ของแผ่นดินมานั่งอยู่บนเตียงของตนเอง อีกทั้งเจ้าของเตียงยังเสื้อผ้าหน้าผมไม่เรียบร้อย ร่างกายก็บาดเจ็บขยับไม่สะดวก สำหรับเขาที่เคยชินกับการเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ คงไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปกว่าสภาวะที่อยู่เหนือการควบคุมแบบนี้อีกแล้ว
นี่ไม่เพียงแต่เลวร้าย มันยังยากที่จะปรับตัว ปกติเขาจะสามารถรักษาความสุขุมเอาไว้ได้ ต่อให้กำลังประหม่าเพราะคำเยินยอของผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งยังสามารถรับมือการตกรางวัลและขู่เข็ญของเจ้านายได้อย่างเชี่ยวชาญ แต่กับสตรีที่มีท่าทางอ่อนโยนสนิทสนมผู้นี้ เขาไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไรดีแล้ว ฉีอวิ๋นเยี่ยนคิดว่าตนมีจิตใจหนักแน่นมาตั้งแต่เกิด ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับวิธีการตีสนิทเช่นนี้ กลับทั้งไม่กล้าตอบรับและปฏิเสธ ดังนั้นจึงค่อนข้างทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง
หลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาถึงหลุบตาลงเอ่ยเสียงเบาว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วง กระหม่อมไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรง วันพรุ่งนี้ก็สามารถลุกได้แล้ว ไม่มีทางทำให้การงานล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ” เขาขมวดคิ้วมองดูขอบเตียง “พระวรกายมังกรของฝ่าบาทมีค่าสูงส่งยิ่ง ไม่ควรมาอยู่ในที่ที่สกปรกเป็นเวลานานพ่ะย่ะค่ะ” เขาชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงเลื่อนสายตาออกไป น้ำเสียงเบาจนแทบได้ยินไม่ชัด “ควรหลีกเลี่ยงการแปดเปื้อนไออัปมงคล”
อวี่ฉีค่อย ๆ หันหน้าไป แกล้งทำเป็นชื่นชมฉากกั้นไม้จันทน์ม่วงประดับหยกตรงมุมหนึ่ง พร้อมใช้น้ำเสียงไม่ยี่หระถามราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “เจิ้นได้ยินไม่ชัด ท่านผู้บัญชาการกล่าวว่าอย่างไรหรือ”
ถ้าคิดจะแข่งความหน้าด้านแล้ว หากอวี่ฉีบอกว่าในวังนี้ตนเองเป็นที่สอง คาดว่าคงไม่มีใครกล้าเป็นที่หนึ่ง
ฉีจ่างอิ้น อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยกมุมปากขึ้นอย่างยากลำบาก แล้วลืมตาขึ้นมองเธอ ใช้น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยอย่างยอมแตกหักว่า “ฝ่าบาทเสด็จกลับตำหนักเฉียนชิงเถอะพ่ะย่ะค่ะ ที่ของกระหม่อมสกปรก เกรงว่าจะแปดเปื้อนพระวรกาย”
อวี่ฉีไม่รู้ว่าคนที่มีความทระนงฝังลึกถึงกระดูกผู้นี้รู้สึกอย่างไรตอนเอ่ยคำพูดนี้ออกมา แต่เธอรู้ว่าคราวนี้ตนเองไม่อาจแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินได้อีกแล้ว อย่างน้อยก็ควรพูดอะไรสักหน่อย หญิงสาวจึงค่อย ๆ หันหน้าไปมองอีกฝ่าย ครุ่นคิดอย่างระมัดระวังว่าควรพูดเช่นไร ถ้าหากเปลี่ยนหัวข้อสนทนาก็จะดูใช้ความพยายามอย่างเห็นได้ชัดเกินไป แต่หากเลือกปลอบก็จะกลายเป็นการสะกิดรอยแผลของเขาอีก ไม่ว่าทางไหนก็ดูเหมือนเป็นการล่วงเกินคนทั้งสิ้น
ฉีอวิ๋นเยี่ยนก้มหน้าไม่ได้มองเธอ เมื่อคำพูดเมื่อครู่นี้หลุดออกไป ก็มีค่าเท่ากับลงมือเปิดปากแผลในใจด้วยตนเอง เผยให้เห็นบาดแผลภายในที่ยังมีเลือดหลั่งริน ผู้บัญชาการฉีรู้สึกเพียงว่าหูทั้งสองข้างนั้นร้อนผ่าวราวกับไฟด้วยความรู้สึกอัปยศอดสู
หลังความเงียบงันที่ยากจะทานทนผ่านพ้นไป เสียงที่เจือด้วยความอ่อนล้าของเธอก็ดังขึ้นในห้องอย่างแผ่วเบา “ในวังแห่งนี้มีตำหนักน้อยใหญ่มากมาย มีที่ใดสะอาดบ้างเล่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตำหนักใหญ่ที่สง่างาม ต่อให้เป็นคนข้างกาย ล้วนไม่อาจรู้ได้ว่าเบื้องหลังของพวกเขามีใครยืนอยู่บ้าง ดังนั้นจึงไม่เคยกล้าเชื่อใจใครได้โดยง่าย”
เธอเว้นไปครู่หนึ่ง ก่อนหลุบตาลง “เจิ้นมองฉีตูจู่เป็นคนของตนเอง จึงไม่เห็นเป็นคนอื่นไกลแล้ว วันนี้ก็ตั้งใจจะมาเปิดอกพูดคำพูดอย่างจริงใจสักหน่อย เจิ้นนั่งอยู่บนบัลลังก์ ถึงแม้ดูไปแล้วจะสูงส่งและมีเกียรติ แต่กลับเป็นเพียงคนที่โดดเดี่ยวผู้หนึ่ง ฉีตูจู่เองก็คงเห็นกระจ่างชัด พระมารดาของเจิ้นจากไปนานแล้ว ตระกูลของพระมารดาก็อ่อนแอ บวกกับปีที่แล้วเพิ่งขึ้นครองราชย์ ไม่อาจกดข่มขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายในราชสำนักได้ ทั้งยังไม่มีไมตรีดี ๆ กับไทเฮาที่อยู่ในวัง ส่วนนอกวังเองก็มีขุนนางอื่นกุมอำนาจไว้อยู่” เธอยิ้มอย่างขมขื่น ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วอย่างเหนื่อยล้า “ทั้งวันเจิ้นถูกขังอยู่ในวังหลวงแห่งนี้ ไม่ได้รับการติดต่อจากขุนนางตำแหน่งสำคัญที่อยู่นอกวัง ต่อให้เรียกตัวเข้ามาพบก็ไร้ประโยชน์ ขุนนางใหญ่จำนวนมากมีพรรคพวกของตนเอง จะมีใครที่ยืนข้างกายเจิ้นอย่างแท้จริงบ้าง”
เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ออกไป ก็นับว่าเป็นการระบายความในใจออกมาอย่างหมดเปลือกแล้ว ในโลกนี้สิ่งที่สามารถชนะใจคนได้อย่างแท้จริงนั้นไม่ใช่เทคนิคฝีมือใด ๆ ต่อให้จะช่ำชองแค่ไหนก็ยังไม่ใช่ ที่ใช่ก็คือใจจริงเท่านั้น
หลังจากเงียบกันไปไม่นาน ฉีอวิ๋นเยี่ยนก็ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามองเธอ หว่างคิ้วที่ปกติมักมีความเลือดเย็นซ่อนอยู่ กลับมีกลิ่นอายของความอบอุ่นเลือนรางมาแทนที่ “ฝ่าบาทอย่าได้คิดเช่นนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่าอย่างไร กระหม่อมก็จะยืนอยู่ข้างเดียวกันกับฝ่าบาทเสมอ”
แต่เดิมอวี่ฉีเพียงแค่คิดจะปลอบโยนอีกฝ่าย คิดไม่ถึงว่าจะได้ผลตอบรับที่ดีถึงเพียงนี้ เธอจึงยกมุมปากขึ้นด้วยความยินดีอย่างอดใจไม่อยู่ มองเขาด้วยสายตาที่บรรจุรอยยิ้มเอาไว้ “มีคำพูดนี้ของฉีตูจู่เจิ้นก็วางใจแล้ว” เอ่ยจบแล้วก็ยกมือขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยเขาดึงผ้าไหมปักลายแบบซูซิ่ว[7] ที่เลื่อนหล่นมากองใต้เอวขึ้น และกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “ฉีตูจู่รักษาตัวให้ดี อย่าได้เหลือเชื้อไข้เอาไว้ ไม่เช่นนั้นในวังนี้เจิ้นก็ไม่มีผู้ใดให้พึ่งพาแล้ว”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนรีบร้อนกล่าวว่ามิกล้า พลางรวบผ้าห่มเอาไว้ ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ตามหลักแล้วสามารถได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจให้ความสำคัญถึงเพียงนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ควรดีใจ แต่เขากลับรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป นานวันเข้าบางทีอาจบ่มเพาะจนเกิดความรักจริง ๆ ขึ้นมาก็เป็นได้
ความคิดที่น่ากลัวเช่นนี้ไม่ควรมีอยู่ในใจเลยจริง ๆ เขาหลับตาลง หลังขับไล่ความคิดนี้ออกไปจากหัวแล้วถึงได้ถอนหายใจออกมา ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ตั้งสติแล้วตอบกลับไปว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใยพ่ะย่ะค่ะ”
อวี่ฉียิ้มน้อย ๆ ยกมือขึ้นตบไหล่ของเขาอย่างสนิทสนม “เรื่องงานวางเอาไว้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยทำก็ไม่ต่างกัน” เอ่ยจบแล้วก็ดึงหนังสือฎีกาออกมาจากในมือของเขาโดยไม่อนุญาตให้คัดค้าน ยามกำลังจะวางไว้ด้านข้าง ก็พลันมองเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายแข็งค้างไปอย่างหาได้ยาก จึงชะงักมือลงอย่างอดไม่ได้ แล้วก้มลงมองหนังสือฎีกาด้วยความสงสัย
ไม่รู้ว่าขุนนางไม่กลัวตายที่ไหนเป็นคนส่งขึ้นมา ทุกตัวอักษรล้วนแต่กล่าวโทษฉีตูจู่ที่อยู่ตรงหน้าเธอ สามารถพูดได้เลยว่าทุกประโยคล้วนเต็มไปด้วยเลือดและหยาดน้ำตา ตัวอักษรแต่ละบรรทัดอัดแน่นไปด้วยอารมณ์ทั้งโศกเศร้าและฮึกเหิม ประหนึ่งยอมตายแต่ขอให้ได้ชี้ความผิดของผู้อื่น
ฉีอวิ๋นเยี่ยนเบือนหน้าไปด้วยท่าทางลำบากใจ แทบจะหาซอกหลืบสักที่แล้วมุดเข้าไปเสียเดี๋ยวนั้น
อวี่ฉีถือฎีกาฉบับนี้เอาไว้ รู้สึกเกลียดตัวเองว่าเพราะอะไรถึงได้อยากรู้อยากเห็นแล้วอ่านมันโดยไม่จำเป็น ยามนี้ถือเผือกร้อนเอาไว้ในมือแล้ว เธอไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าควรจะจัดการอย่างไรดี
————————————————————