ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配 - ตอนที่ 13.7 (เล่มสาม)
ฉีอวิ๋นเยี่ยน
7
อ่านฎีกาแวบแรกเธอก็พอรู้แล้วว่า นี่เป็นการกล่าวโทษฉีอวิ๋นเยี่ยน แต่พอลองอ่านมันอย่างละเอียด อวี่ฉีกลับรู้สึกทั้งฉิวทั้งขัน
ฎีกาฉบับนี้ จ้วงหยวน[1] คนล่าสุด ‘เฉาเหวินจง’ เป็นผู้ส่งมา บัณฑิตจ้วงหยวนท่านนี้ถอดแบบมาจากลูกวัวแรกเกิดที่ไม่กลัวเสือเต็ม ๆ ขนาดขุนนางในราชสำนักได้ยินชื่อของฉีตูจู่ยังต้องหน้าถอดสี ทำตัวเงียบกริบประหนึ่งจั๊กจั่นที่ไม่ส่งเสียงในช่วงฤดูหนาว เก็บหางเจียมเนื้อเจียมตัวกันหมด แต่เขากลับกล่าวอย่างเถรตรงโดยไม่สนสี่สนแปดเลยว่าคำพูดพวกนี้จะส่งผลเสียต่อตัวเองหรือผู้อื่น นอกจากจะหยิบยกหลักการและตำรามาประณามฉีอวิ๋นเยี่ยนเสียเจ็บแสบไปยกหนึ่ง เขายังตำหนิว่าฉีอวิ๋นเยี่ยนยึดอำนาจของฮ่องเต้ ละเมิด ‘ความผิดใหญ่สิบประการ’ แถมยังกล้าลากเอาเธอ ฮ่องเต้ผู้ซึ่งช่วงนี้ให้ความสำคัญกับฉีตูจู่เข้าไปด่าผสมโรงด้วย ไม่ว่าจะเป็น ‘สนิทสนมกับคนต่ำช้า ห่างเหินขุนนางภักดี’ ‘ความสามารถและสติปัญญาของอิสตรี’ ‘เอาความล่มจมมาไว้กับตัว เป็นที่ขบขันของใต้หล้า’ ทุกประโยคเต็มไปด้วยความหมายประชดแดกดันทั้งสิ้น
ขุนนางที่กล้าต่อว่าฮ่องเต้รุนแรงไม่ไว้หน้าเช่นนี้มีอยู่สองประเภท ประเภทแรกคือในสมองมีแต่คำสอนของข่งเมิ่ง[2] ที่คิดว่าฮ่องเต้ควรจะสมองทึบเหมือนกับเหยาซุ่น[3] อีกประเภทก็คือพวกที่คิดว่าการกล่าวโทษล่วงเกินฮ่องเต้เป็นเรื่องอันทรงเกียรติ นึกเพียงว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองได้มีชื่อเสียงเป็นขุนนางผู้จงรักภักดีอันดับหนึ่ง
ไม่ว่าเป็นฝ่ายแรกหรือฝ่ายหลัง ก็ไม่ใช่ขุนนางที่จะได้รับความสำคัญทั้งสิ้น ทีแรกอวี่ฉียังลังเลอยู่ หลังลอบถอนหายใจเธอก็ปิดหนังสือฎีกาอย่างไม่ไยดี ใช้สองนิ้วคีบส่งคืนให้เขา “ตามความเห็นของฉีตูจู่ ควรตอบกลับหนังสือราชการฉบับนี้อย่างไร”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนไม่ใช่คนใสซื่อไร้เล่ห์เหลี่ยม แน่นอนว่าไม่มีทางยอมรับความผิดใหญ่สิบประการที่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดได้ง่ายๆ แต่เขาก็ไม่ได้แสดงอาการหน้าซีดระคนตกใจออกมาเพื่อร้องเรียนว่าตนเองถูกใส่ร้าย เพียงแต่หลุบแพขนตาลง ถามโดยใช้หลักการสี่ตำลึงปาดพันชั่งเสียงเบาว่า “กระหม่อมจงรักภักดีต่อฝ่าบาทด้วยใจ เพียงแต่ไม่อาจทราบว่า ฝ่าบาทจะทรงยินดีเชื่อกระหม่อมหรือไม่”
อวี่ฉีแอบชื่นชมวาทศิลป์ที่เขากล่าวออกมาอยู่ในใจ แต่เธอก็ไม่อาจปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปโดยง่ายอยู่ดี
หากอยากได้รับการยอมรับจากขุนนางที่หยิ่งทะนงแถมยังหัวสูงเช่นฉีอวิ๋นเยี่ยน ถ้าคิดจะผูกมัดจิตใจอีกฝ่ายเอาไว้ ก็จำต้องละทิ้งยศถาบรรดาศักดิ์ก่อนหน้านี้ไปเสียก่อนเข้าคบหา แต่ก็ห้ามตามอกตามใจเลยเถิด ต้องตระหนักอยู่เสมอว่า กษัตริย์ที่มีจิตใจเมตตากรุณาเกินไปนั้น ไม่มีวันควบคุมขุนนางที่มีจิตใจล้ำลึกมากแผนการได้ เช่นเดียวกับความจริงใจที่ไม่อาจแลกมาจากความอดทนและใจกว้างเพียงอย่างเดียว เพราะสิ่งเหล่านี้มีแต่จะทำให้พวกเขาเข้าใจว่าคุณหลอกง่ายมากก็เท่านั้น
ดังนั้นอวี่ฉีจึงมองเขานิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ถามว่า “แล้วเรื่องสร้างหลักฐานเท็จให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งยังใส่ความขุนนางราชสำนักอีกเล่า เจิ้นควรเชื่อหรือไม่ว่าฉีตูจู่ไม่เคยทำมาก่อน”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าในประโยคนี้ของนางมีความนัยของการซักถาม จึงขมวดคิ้วอย่างอดไม่อยู่ พลางก้มหน้าลงยิ่งขึ้น หลังเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ทำได้เพียงกัดฟันเอ่ยว่า “กระหม่อมด้อยความสามารถ บางทีผู้ใต้บังคับบัญชาอาจสร้างเรื่องไปใส่ความบ้าง หากจำต้องรับโทษด้วยเหตุนี้ กระหม่อมก็ยินดีพ่ะย่ะค่ะ ความตายมิใช่เรื่องน่ากลัว ขอเพียงฝ่าบาทไม่เห็นกระหม่อมเป็นพวกเดียวกับลูกศิษย์ไม่รักดีที่พยายามใส่ความขุนนางในราชสำนักก็พอพ่ะย่ะค่ะ”
เขากล่าวอย่างฮึกเหิม แต่ทั้งสองคนล้วนรู้ดีแก่ใจ นี่เป็นเพียงคำโป้ปดมดเท็จที่เปราะบางหลักลอยเท่านั้น แต่ฉีอวิ๋นเยี่ยนไม่มีทางเลือก ถ้าหากปฏิเสธแบบหักดิบก็อาจจะถูกฮ่องเต้พิโรธเอาได้ แต่หากยอมรับความผิดจริง ๆ ก็ไม่ต่างกับการผลักตนเองเข้ากองไฟ
อวี่ฉีไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาใด เพียงมองดูเขา ในขณะที่ฉีอวิ๋นเยี่ยนเข้าใจว่าฮ่องเต้พิโรธแล้วอยู่นั้น ริมฝีปากของเธอกลับค่อย ๆ เผยรอยยิ้มบางออกมา จักรพรรดิผู้เยาว์วัยก้มตัวลง ค่อย ๆ ขยับกายเข้าหาเขา “คำพูดนี้ ฉีตูจู่เองเชื่อหรือไม่”
ไหล่ของฉีอวิ๋นเยี่ยนแข็งทื่อ ค่อย ๆ เลื่อนสายตาขึ้นมามองสตรีเบื้องหน้า คิดไม่ถึงว่าจะเห็นฝ่าบาทกำลังมองตนด้วยสายตาที่ประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม อาจเพราะไม่ทันได้เตรียมใจ จึงอดไม่ได้ที่จะอึ้งงัน ด้วยไม่เข้าใจอารมณ์ของคนตรงหน้าอยู่บ้าง
อวี่ฉีแย้มยิ้มกว้างขึ้นอีกหลายเท่าตัว ไม่คิดแกล้งเขาต่ออีก จึงยกมือตบบ่าของฉีอวิ๋นเยี่ยนเบา ๆ เพื่อปลอบโยน “ผ่อนคลายหน่อย เจิ้นไม่ใช่ผู้นำที่หลงเชื่อคำลวงผู้ใดได้โดยง่ายหรอกนะ ดังนั้นคราวหน้าเจ้าไม่ต้องทำท่าทางจริงจังเสียขนาดนั้นต่อหน้าเจิ้นก็ได้” เธอเว้นช่วงเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยเสียงกลั้วหัวเราะว่า “หลักการที่ว่าไม่เจ้าตายก็ข้ารอดในหมู่ขุนนางนั้น เจิ้นจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ขุนนางในแผ่นดิน สำหรับเจิ้นแล้วไม่มีการแบ่งแยกดีหรือชั่ว จะมีก็เพียงใช้งานได้หรือไม่ได้แค่สองประเภทเท่านั้น หากฉีตูจู่เถรตรงไม่ยอมงอเช่นนี้จริง ๆ เจิ้นก็คงไม่ให้ความสำคัญเช่นนี้หรอก สมควรรู้ไว้ว่าเจิ้นชื่นชมวิธีการของเจ้ามากที่สุด ความถูกต้อง ความยุติธรรม ศีลธรรมและความละอายในการทำความชั่ว ล้วนแต่เป็นสิ่งที่มีไว้เพื่อให้ประชาชนรับรู้ คิด ๆ ดูแล้วฉีตูจู่เองก็คงเข้าใจดี สิ่งที่จำเป็นในการเป็นขุนนางคนสำคัญนั้นไม่ใช่ความแข็งแกร่งอันเที่ยงตรง แต่เป็นความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวที่จะลงมืออย่างเหี้ยมโหดต่างหาก”
ในเมื่อเปิดไพ่หมดหน้าตักกันขนาดนี้แล้ว ถ้าหากตนยังแกล้งทำตัวเป็นคนซื่อสัตย์รักมั่นคุณธรรมต่อไปก็ไม่มีความหมายใด ๆ อีก ฉีอวิ๋นเยี่ยนหลุบตาลงเล็กน้อยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และจู่ ๆ เขาก็ยิ้มออกมา หางตาเปี่ยมเสน่ห์ยกสูงขึ้น “ฝ่าบาททรงผ่าเผยใจกว้างเช่นนี้ กลับทำให้ข้าน้อยรู้สึกขุ่นเคืองนะพ่ะย่ะค่ะ”
อวี่ฉีเองก็ยิ้มออกมาเช่นกัน ค่อย ๆ หยัดกายขึ้นยืนตรง พลางสอดมือไว้ในชายแขนเสื้ออยู่หน้าเตียงอีกฝ่าย “ดูเหมือนว่าผู้บังคับบัญชาเองก็คงจะพอคาดเดาออกแล้วกระมัง ต่อไปจะมีสงครามที่เลวร้ายเกิดขึ้น เมื่อถึงเวลานั้น เจิ้นไม่อยากให้พวกเราเจ้าชีวิตกับขุนนางต้องเกิดความบาดหมางใจกันด้วยเหตุนี้ ดังนั้นวันนี้เจิ้นถึงถือโอกาศพูดเปิดอกกับเจ้าอย่างเปิดเผยชัดเจน”
หางตาที่เชิดขึ้นของฉีตูจู่ค่อย ๆ หลุบลงต่ำ แสดงท่าทีอันสงบมั่นคงออกมา “ขอฝ่าบาทตรัสมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของเขาเจือไว้ด้วยรอยยิ้ม ทุ้มต่ำรื่นหูทั้งยังหนักแน่น ฟังแล้วให้ความรู้สึกว่าพึ่งพาได้
เธอเองก็เก็บรอยยิ้มไปแล้วเช่นกัน พลางมองเขาอย่างจริงจัง “ในเมื่อเลือกแล้วว่าจะยืนอยู่ข้างเดียวกันกับเจิ้น ก็จำเป็นที่จะต้องยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผู้คนจำนวนมาก จุดนี้ฉีตูจู่เองก็คงเข้าใจดีกระมัง”
เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามองเธอ สายตาสงบนิ่งและสุขุม “กระหม่อมเคยกล่าวว่า จะยินยอมเป็นม้ารับใช้ให้กับฝ่าบาท ต่อให้เป็นภูเขาดาบทะเลเพลิงก็ยินดีที่จะไป”
คำพูดนี้ไม่สำคัญว่าจริงหรือเท็จ อย่างน้อยเขาก็ได้แสดงจุดยืนออกไปแล้ว
อวี่ฉีพยักหน้า มองเขาอย่างลึกซึ้ง “หนทางข้างหน้าลำบากยากเย็นนัก มีเรื่องราวมากมายที่เจิ้นไม่อาจกระทำเองได้ จึงต้องหวังพึ่งพาผู้บัญชาการ และเจ้าเองก็อาจต้องแบกรับคำติฉินนินทาหรือสาปแช่งมากมายแทนเจิ้นด้วยเหตุนี้ บางทีหนึ่งพันปีให้หลัง แม้ว่ากระดูกจะสลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว ผู้คนทั้งแผ่นดินก็ยังวิจารณ์เจ้าอย่างเสื่อมเสีย ฉีตูจู่เตรียมใจไว้แล้วใช่หรือไม่”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงยิ้มจาง ๆ ออกมา “กระหม่อมถูกคนทั้งแผ่นดินต่อว่าด่าทอมาหลายปีแล้ว ไม่ไยดีเรื่องพวกนี้มานานแล้วพ่ะย่ะค่ะ ถ้าหากสามารถเป็นกำลังที่คอยช่วยเหลือฝ่าบาทได้ ก็ถือเป็นเกียรติของกระหม่อมในชาตินี้แล้ว”
เธอจ้องมองเขานิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงค่อยเปิดปากเอ่ยอย่างช้า ๆ ทีละคำ “ถ้าหากฉีตูจู่สามารถรักษาสัญญา ไม่หักหลังไม่ทิ้งกัน เจิ้นเองก็จะให้คำสัญญาแก่เจ้าเช่นกัน นับตั้งแต่วันนี้ไป ไม่ว่าจะมีคำกล่าวโทษมากมายเพียงใดที่พุ่งเป้าไปยังฉีตูจู่ ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ เจิ้นล้วนจะสกัดมันเอาไว้ให้แก่เจ้าทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องกังวลกับลูกศรที่ลอบยิงมาจากด้านหลัง ขอให้เจ้าสบายใจทำทุกอย่างต่อไป ส่วนเรื่องที่เหลือปล่อยให้เจิ้นจัดการเสีย หลังเรื่องทั้งหมดนี้จบลงแล้ว หากว่าเจิ้นยังอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไปได้อีกวัน ก็ขอรับประกันว่าซือหลี่เจียนจ่างอิ้นและตงฉ่างตูจู่จะไม่มีวันเปลี่ยนเป็นผู้อื่น” ดวงตาของอวี่ฉีค่อย ๆ ปรากฏประกายรอยยิ้ม “แน่นอน ถ้าหากว่าฉีตูจู่คิดจะถอนตัวไป เจิ้นก็จะใช้กำลังทั้งหมดที่มีคุ้มครองให้เจ้าร่ำรวยมีเกียรติอยู่อย่างสุขสงบไปชั่วชีวิต”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนเคยคิดว่าฝ่าบาทคงจะมีข้อเสนอมากมาย แต่เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า คำสัญญาของพระองค์กลับเป็นความไว้พระทัยและค่าตอบแทนที่เกินจะรับไหว ทั้งยังแทบไร้เงื่อนไข สำหรับเจ้าแผ่นดินแล้ว การมอบความเชื่อถืออย่างหมดใจนั้นถือเป็นการปูนบำเหน็จพระคุณที่ยากจะได้รับยิ่งกว่าบรรดาศักดิ์อ๋องหรือโหว[4] เสียอีก
บางคราชั่วชีวิตของฮ่องเต้พระองค์หนึ่ง อาจแต่งตั้งบรรดาศักดิ์อ๋องหรือโหวให้แก่ผู้อื่นได้มากมาย แต่ในขณะเดียวกันพระองค์ก็อาจไม่มีวันเชื่อใจขุนนางคนใดอย่างแท้จริงได้เลยตลอดชีวิต
พระมหากรุณาธิคุณนี้หนักหนาเกินไป จนทำให้ผู้รับไม่อาจสงบใจได้
ฉีอวิ๋นเยี่ยนซึ่งถูกฮ่องเต้ให้ความสำคัญถึงเพียงนี้ ก็อดลังเลขึ้นมาไม่ได้ “ในราชสำนักมีขุนนางมากความสามารถไม่น้อย เหตุใดฝ่าบาทจึง…” เหตุใดจึงทรงเลือกขันทีเช่นเขา ทั้งยังเป็นขันทีที่เคยรับใช้เจ้านายอื่นมาก่อน
อวี่ฉียิ้มเล็กน้อย “สามารถทำงานให้เจิ้นได้ ถือว่าเป็นขุนนางที่มีความสามารถ ถ้าไม่สามารถทำได้ ต่อให้เขายิ่งใหญ่เทียมฟ้าแล้วอย่างไร จะยังมีประโยชน์ใดต่อเจิ้นอีกหรือ” เอ่ยจบ เธอก็เบนสายตาจากไป กล่าวเสียงเบาว่า “เสด็จพ่อเคยตรัสไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิต ในฐานะที่เป็นเจ้าแผ่นดิน การขยายแผ่นดินหรือทำให้ใต้หล้าสงบสุขนั้นมิใช่เรื่องที่ดีที่สุด แต่เป็นการพบขุนนางที่ดียามยังมีชีวิตอยู่ต่างหาก เหมือนที่ฉินเซี่ยวกง[5] มีซางยาง[6] เหมือนที่ฮั่นอู๋ตี้[7] มีเว่ยชิง[8] ผู้เป็นเจ้าแผ่นดินจำต้องรู้ว่าสิ่งใดควรทะนุถนอม สิ่งใดควรให้ความสำคัญ ผู้ใดที่ควรใกล้ชิด ผู้ใดที่ควรไว้ใจ เมื่อฮ่องเต้กับขุนนางร่วมมือกันได้เช่นนี้ ก็จะสามารถสร้างแผ่นดินอันสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองร่วมกันได้”
เธอเอ่ยจบก็หันหน้าไปมองเขา เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงอย่างไม่อยากจะเชื่อของอีกฝ่ายตามที่คาดเอาไว้ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เหตุใดมองเจิ้นเช่นนั้นเล่า กำลังรู้สึกว่าระดับสติปัญญาของเจิ้นยังห่างชั้นจากเซี่ยวกงกับอู่ตี้อีกไกล ไม่รู้จักประมาณความสามารถของตนเองกระนั้นหรือ”
เขาส่ายศีรษะ ฮ่องเต้กับข้าราชบริพารดูแลซึ่งกันและกัน นี่เป็นการให้ความสำคัญระดับไหน ต่อให้เป็นขุนนางที่จิตใจเย็นชาแค่ไหนก็ไม่อาจไม่หวั่นไหว เพียงแต่เขาเป็นคนพิการมาตั้งเนิ่นนานแล้ว ไม่มีค่าให้ถูกกล่าวรวมว่าอยู่ในระดับเดียวกับซางยางหรือเว่ยชิงที่เป็นขุนนางชื่อเสียงดีงามได้อย่างไรกัน
หลังความเงียบงันผ่านไป ฉีอวิ๋นเยี่ยนก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แพขนตาปิดบังดวงตาเอาไว้ครึ่งหนึ่งทำให้เห็นแววตาไม่ชัดเจน “ด้วยน้ำพระทัยกว้างขวางของฝ่าบาท หากไม่ผ่านวันวานที่ยากลำบากก็ไม่อาจเป็นขุนนางที่ดี…เพียงแต่กระหม่อมมีโทษทัณฑ์ติดตัว รู้สึกไม่คู่ควรกับการที่พระองค์ทรงให้ความสำคัญถึงเพียงนี้”
อวี่ฉีกลับไม่ได้สนเรื่องนั้น เธอยกชายชุดเย่ซาแล้วย่อตัวลงนั่งที่ข้างเตียง “คุณค่าของขุนนางคนหนึ่งไม่ได้มองจากการประเมินของตัวเอง แต่ควรให้เจ้าชีวิตของคนผู้นั้นเป็นผู้ตัดสิน” เธอขยับยิ้ม “ยิ่งไปกว่านั้น บุตรชายของฉีอวี้สื่อ[9]ไม่มีทางเป็นขุนนางธรรมดาทั่วไปเป็นแน่ ฉีตูจู่ไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวเกินไปนัก”
อารมณ์บนใบหน้าของฉีอวิ๋นเยี่ยนเปลี่ยนเป็นซับซ้อนในชั่วพริบตา เขาเลี่ยงหันหน้าไปทางอื่นเล็กน้อย “บิดาผู้ล่วงลับมิได้ดำรงตำแหน่งโย่วตูอวี้สื่อ[10] เป็นเพียงขุนนางต้องโทษก็เท่านั้น”
“ก็แค่ถูกคนชั่วช้าใส่ความ ท่านผู้อาวุโสเป็นคนนิสัยเช่นไรนั้น มีหรือเจิ้นจะไม่รู้ ขุนนางที่ได้รับคำสั่งให้อบรมสั่งสอนเจิ้นจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนนั้นมีไม่น้อย ส่วนมากมักเห็นเจิ้นเป็นแค่องค์หญิงมิใช่องค์ชาย จึงสั่งสอนเจิ้นแบบขอไปที มีเพียงท่านผู้อาวุโสเท่านั้นที่สอนเจิ้นอย่างจริงจังเสมอมา ทุ่มเทสอนอย่างเต็มความสามารถ ดั่งอาจารย์ผู้เข้มงวด ราวกับบิดาผู้การุณย์ ที่เจิ้นสามารถมีวันนี้ได้โดยไม่ถูกสั่งให้แต่งงานกับสามัญชนหรือขุนนางชั้นรากหญ้าเหมือนอย่างรุ่ยอัน ก็ได้ท่านผู้อาวุโสช่วยอย่างมหาศาล ถ้าหากท่านผู้อาวุโสยังอยู่ วันนี้เจิ้นก็คงไม่ต้องอยู่ในท้องพระโรงอย่างอ้างว้างไร้ที่พึ่งพิงเช่นนี้”
เธอเงียบไปครู่หนึ่ง เบนสายตาจากไป น้ำเสียงพลันแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ “เจิ้นในยามนั้นเป็นเพียงองค์หญิงผู้หนึ่ง ท่ามกลางบรรดาขันทีนับหมื่นในวังหลวงแห่งนี้ ต่อให้พยายามเพียงใด เจิ้นก็ไม่มีทางหาเจ้าพบ หากฉีตูจู่ไม่ได้เข้าร่วมเป็นคนของไทเฮา เจิ้นก็คงไม่มีวันได้รู้ว่าเจ้าก็คือบุตรชายของท่านผู้อาวุโส ดีเหลือเกินที่วันนี้ในที่สุดเจ้าก็มายืนอยู่ข้างเดียวกับเจิ้น ในที่สุดเจิ้นก็สามารถบอกต่อวิญญาณของท่านผู้อาวุโสที่อยู่บนสวรรค์ได้แล้ว”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนนึกมาตลอดว่า ฮ่องเต้พระองค์นี้มีท่าทางสนิทสนมและใส่ใจตนเองมากในคราแรกนั้น เป็นเพราะว่าต้องการจะดึงตนเข้าไปเป็นพวก ทว่าที่แท้แล้วกลับไม่ได้ทำไปเพราะสาเหตุนั้นเสียทีเดียว เหตุผลที่แท้จริงก็คือเรื่องนี้เอง คิดแล้วก็สมเหตุสมผลอยู่ ครอบครัวเชื้อพระวงศ์นั้นสายสัมพันธ์เปราะบางมาโดยตลอด ถ้าหากมิใช่บุตรหลานของคนคุ้นเคย เมื่อครั้งเกิดเรื่องที่ตำหนักสือหนิง เกรงว่านางคงยืนสอดมือในแขนเสื้อแล้วชมดูอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้ทุ่มเทกำลังปกป้องและเข้าข้างตนเช่นนั้น
เขาค่อย ๆ ก้มศีรษะลง รู้สึกได้เพียงอารมณ์ในอกที่ผันแปรไปพันหมื่นประการ ราวกับว่าความยุ่งเหยิงสับสนในใจที่ถูกกดข่มเอาไว้เนิ่นนานกำลังปะทุ ในที่สุดก็มีคนยินดีเชื่อว่าบิดาของเขาถูกคนต่ำช้าใส่ความ รู้ว่าเขา ฉีอวิ๋นเยี่ยนไม่ใช่บุตรของขุนนางกบฏ คิดถึงตรงจุดนี้ ในลำคอของเขาก็มีรสขมฝาดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ความอัปยศทั้งหมดที่เคยได้รับมาก่อนหน้านี้ได้ คล้ายเจือจางลงเพราะความเข้าใจที่คนผู้นี้แสดงออกมา
หลังเงียบไปพักใหญ่ เขาก็รวบผ้าห่มขึ้น โดยไม่สนใจบาดแผลด้านหลังที่ยังไม่หายดี ฝืนลากตัวเองลงจากเตียง ปัดชายชุดเย่ซา คุกเข่าลงอย่างช้า ๆ ที่เบื้องพระพักตร์
อวี่ฉีอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าตกใจออกมา รีบยกมือขึ้นประคองอีกฝ่ายเอาไว้ “ฉีตูจู่กำลังทำอะไร”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนก้มหน้าลง “นับแต่โบราณขันทีทั้งหลายได้กล่าวว่า จงพูดจาประจบสอพลอให้มากเข้าไว้ แต่ในยามนี้ คำพูดของกระหม่อมทุกประโยคล้วนออกมาจากใจ” เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ล้มตัวลงกราบคำนับจนอาภรณ์ขาวสะบัดพลิ้ว “บิดาผู้ล่วงลับช่างโชคดียิ่ง ได้รับความเชื่อถือจากฝ่าบาทเช่นนี้ ข้าน้อยเองก็ช่างโชคดีนัก ที่สามารถได้รับความเอาใจใส่จากฝ่าบาทเยี่ยงนี้ เพราะฉะนั้นกระหม่อมขอบังอาจกล่าววาจาอย่างอุกอาจสักประโยคพ่ะย่ะค่ะ”
อวี่ฉีตกตะลึง แต่ก็ยิ้มน้อย ๆ กล่าวอย่างอบอุ่นว่า “ว่ามาเถิด”
เขาคุกเข่าลงบนพื้นที่เย็นเยียบ ร่างบอบบางสั่นสะท้านเล็กน้อยเพราะไร้เรี่ยวแรง เสียงที่แหบพร่าเอ่ยทีละคำอย่างมั่นคง “กระหม่อมยินดีสละร่างกายนี้แบกรับชื่อเสียงอันเลวทราม เพียงหวังว่าตราบใดที่ยังมีลมหายใจ จะสามารถช่วยให้ฝ่าบาทปกครองแผ่นดินอันกว้างไกล สามารถได้เห็นฝ่าบาทกลายเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ไปตราบชั่วกาลนาน”
หากฮ่องเต้ปฏิบัติต่อข้าในฐานะของผู้มีความสำคัญต่อแผ่นดิน ข้าก็จักเป็นเสาหลักของแผ่นดินเพื่อตอบแทนพระองค์
กล่าวคำพูดนี้จบ เขาก็กราบคารวะลงไปอีกครั้ง การขยับตัวนี้ทำให้เส้นผมสีดำลู่ลงจากไหล่ ปรากฏภาพอาภรณ์ขาวราวหิมะตัดกับเส้นผมดำราวน้ำหมึก
อวี่ฉีพลอยได้รับอิทธิพลจากคำพูดนี้ของเขาไปด้วย จิตใจฮึกเหิมสุดขีด เธอย่อตัวลง ประคองเขาขึ้นมาอย่างอ่อนโยน “ในวันที่ได้ครอบครองแผ่นดินอย่างแท้จริง แผ่นดินที่งดงามราวกับภาพวาดนี้ เจิ้นจะต้องได้ชื่นชมมันด้วยกันกับเจ้าแน่”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงแต่ก้มหน้าก้มตาแย้มรอยยิ้ม วินาทีนั้นสรรพสิ่งล้วนผันแปรเป็นพันหมื่น ราวกับลมวสันต์พัดไกลสิบลี้ โคมสว่างไสวงดงามนับพันคืน
………………………..
เพราะขันทีของหน่วยลงทัณฑ์ไม่กล้าโบยฉีจ่างอิ้น จริง ๆ บาดแผลของฉีอวิ๋นเยี่ยนจึงหายดีเป็นปลิดทิ้งหลังผ่านไปไม่กี่วัน รอจนกระทั่งเขากลับไปทำงาน คนทั้งวังก็ค่อย ๆ รับรู้ว่าฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับอดีตคนของจ้าวไทเฮามาก ไม่เพียงการเรียกเข้าเฝ้าบ่อยขึ้น ทุกครั้งที่พบเขายังต้องให้นางกำนัลทั้งหลายล่าถอยออกไป แล้วพูดคุยกันสองคนนานกว่าหนึ่งชั่วยาม
สมัยที่ฉีอวิ๋นเยี่ยนทำงานให้จ้าวไทเฮายังไม่เคยได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนี้ ฮ่องเต้ถึงกับละเว้นให้เขาไม่ต้องคุกเข่าทำความเคารพ และอนุญาตให้เข้าออกตำหนักเฉียนชิงได้ทุกเมื่อ ทั้งยังไม่ต้องให้ขันทีเข้ามาแจ้งก่อน ส่วนหน้าที่ของเขานอกจากทำงานจัดการเรื่องราวในที่ทำการตงฉ่างแล้ว หากจะกลับตำหนัก สิ่งที่ต้องทำก่อนหน้านั้นคือไปรายงานตัวที่ตำหนักเฉียนชิงเสียก่อน
บรรดานางกำนัลที่ไม่มีอะไรทำ ต่างตั้งใจนับระยะของเวลาที่หัวหน้าหน่วยฉีจัดการดูแลในวัง และพบว่าเวลาที่เขาอยู่ในตำหนักเฉียนชิงนั้นมากกว่ายามอยู่ที่ที่ทำการหน่วยซือหลี่เจียนรวมกับเวลาอยู่ที่ตำหนักหวงจี๋เสียอีก
หากมีเพียงแค่นี้ก็แล้วไปเถอะ ทว่าเรื่องที่ฉีจ่างอิ้น มีรูปโฉมงดงามแต่กำเนิดนั้นไม่มีผู้ใดในวังไม่ทราบ ลือกันว่าสมัยที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังอยู่ ก็เคยหยอกล้อเขาถึงเรื่องนี้ ถึงขนาดกล่าวว่า เพียงฉีจ่างอิ้น หันมาแย้มรอยยิ้ม ก็สามารถทำให้หญิงงามทั้งหกตำหนักไร้สีสันดูจืดชืดได้
จักรพรรดิองค์ก่อนเป็นผู้ชายทั้งยังไม่ได้มีรสนิยมรักชอบบุรุษ ดังนั้นคำพูดนี้จึงเป็นเพียงการกล่าวล้อเล่นเท่านั้น แต่โอรสสวรรค์ในวันนี้เป็นสตรี อีกทั้งในวังหลังก็ยังไม่เคยมีสนมชายเลยแม้แต่คนเดียว ช่วงอายุก็อยู่ในวัยกำดัดพอดี จะไม่หิวกระหายได้เยี่ยงไร ทุกวันมีคนงามมาส่งกลิ่นหอมยั่วยวนอยู่ตรงหน้า ต่อให้เป็นหลิ่วเซี่ยฮุ่ย[11] ก็ไม่มีทางคุมตัวเองอยู่ ความโปรดปรานที่มีมากขึ้นในทุกวันนี้ ที่แท้เป็นเพียงเรื่องของเจ้าแผ่นดินกับขุนนาง หรือว่าเป็นเพราะความรู้สึกฉันชายหญิงกันแน่
เดิมพวกเขาทั้งสอง คนหนึ่งก็เป็นฮ่องเต้ผู้สูงส่ง อีกคนเป็นตูจู่ที่โหดเหี้ยมอำมหิต คนในวังต่อให้ปากเปราะปากสว่างเพียงใดก็ไม่กล้าพูดจากันไปเรื่อยเปื่อย ทว่าทั้งสองคนนี้กลับไม่รู้จักหลบเลี่ยงเลยแม้แต่น้อย ได้ยินว่ารุ่งเช้ายามฮ่องเต้ต้องลุกขึ้นมาแต่งฉลองพระองค์ โดยบนพระวรกายสวมเพียงชุดตัวใน เดิมทีควรมีเพียงนางกำนัลข้างกายที่คอยรับใช้เท่านั้น แต่ยามนี้หากฉีจ่างอิ้น มีเรื่องเร่งร้อนต้องกราบทูล ก็สามารถสั่งให้นางกำนัลออกแล้วเข้าเฝ้ารายงานเพียงผู้เดียวได้ในทันที ทั้งยังมีหลายครั้งที่ฮ่องเต้ทรงกังวลว่าจะไปไม่ทันการว่าราชการยามเช้า ดังนั้นเจ้าแผ่นดินกับขุนนางคู่นี้จึงคุยธุระไปพลาง ให้ฉีจ่างอิ้น ช่วยเปลี่ยนฉลองพระองค์ไปพลาง
ภาพลักษณ์ในยามที่เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่เรียบร้อย นอกจากข้ารับใช้แล้วก็มีเพียงผู้ที่ใกล้ชิดสนิมสนมเท่านั้นจึงจะสามารถเห็นได้ ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับตูจู่ถึงเพียงนี้ ย่อมไม่เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงบ่าวรับใช้เป็นแน่ พฤติกรรมเช่นนี้สามารถอธิบายได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองไม่ธรรมดา
วันเวลาเช่นนี้พอผ่านไปนานวันเข้า เรื่องที่ฉีจ่างอิ้น ได้ถวายงานปรนนิบัติฝ่าบาทก็ไม่ได้เป็นเพียงข่าวลือในวังอีกต่อไป แต่แทบจะกลายเป็นเรื่องจริงอยู่รอมร่อ
ตอนที่ฉีอวิ๋นเยี่ยนได้ยินลูกศิษย์เว่ยจือเอินรายงานเรื่องข่าวลือของคนในวังก็ไม่ได้โกรธ เพียงแต่ยิ้มเล็กน้อยเท่านั้น “ถ้าหากพวกเขาคิดเช่นนี้กันจริง ๆ ก็เป็นการดูเบาฝ่าบาทเกินไปแล้ว ทว่าเป็นเช่นนี้ก็ตบตาคนอื่นได้ไม่เลว ทำให้ข้าจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ได้สะดวกขึ้นมากทีเดียว”
อีกด้านหนึ่ง จางเต๋ออันก็กำลังรายงานอวี่ฉีด้วยเรื่องเดียวกัน หญิงสาวลูบแขนเสื้อด้วยท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เธอหรี่ตาลงพลางกล่าวเสียงเบาว่า “ใต้หล้านี้จะไปมีเรื่องราวที่ดีเพียงนั้นได้อย่างไร ได้รับทั้งใจที่ภักดี ได้รับทั้งร่างกาย” เอ่ยจบก็มองออกไปที่ด้านนอกประตูตำหนัก แล้วพึมพำกับผืนนภากว้างไกลนอกวังต้องห้ามว่า “วันนั้น…ยังอยู่อีกห่างไกลนัก”