ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配 - ตอนที่ 13.8 (เล่มสาม)
ฉีอวิ๋นเยี่ยน
8
พริบตาเดียวหลายเดือนผันผ่าน หน่วยตงฉ่างที่มีฮ่องเต้คอยหนุนหลังเรืองอำนาจขึ้นทุกวัน ฉีอวิ๋นเยี่ยนจึงต้องยุ่งวุ่นวายมากขึ้นไปด้วย นับวันหัวคิ้วยิ่งขมวดมุ่นแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ยามที่ก้าวผ่านประตูซุ่นเจินเหมินก็มักจะมีฝีเท้ารีบร้อนเสมอ ลายเมฆินทร์ม้วนเกลียวสีเข้มที่ปักอยู่ด้านหลังเสื้อขยับไหวตามแรงลมยามก้าวเดิน
ช่วงนี้เขากำจัดขุนนางในราชสำนักอย่างเฉียบขาดไม่มีละเว้นไปจำนวนมาก ภายในนั้นมีกลุ่มคนที่สนับสนุนตระกูลของจ้าวไทเฮาอยู่ไม่น้อย พวกเขาเหล่านั้นเวลานี้ล้วนถูกจองจำอยู่ในห้องคุมขังของหน่วยตงฉ่าง
แต่ไหนแต่ไหนมาเก๋อเหล่า[1] ทั้งหลายในสำนักเน่ยเก๋อก็ไม่ค่อยพอใจที่จะให้ขันทีมามีส่วนร่วมในกิจราชการ ทว่าครั้งนี้พวกเขากลับสงบเสงี่ยมเจียมตัวอย่างหาได้ยากนัก เอาแต่หลับตาข้างหนึ่ง เก็บมือไม้ไว้ในแขนเสื้อพลางรอชมอยู่ด้านข้าง เก๋อเหล่าทั้งหลายไม่พอใจกลุ่มผู้มีอิทธิพลซึ่งเป็นพระญาติของจ้าวไทเฮามาตลอดอยู่แล้ว แน่นอนว่าต้องนั่งบนภูเขาชมเสือกัดกัน[2] อย่างเป็นสุข
ดังนั้นระยะนี้ขุนนางในสังกัดของสกุลจ้าวที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดในราชสำนักต่างล้วนยืนอยู่ตรงปากเหว ผู้ใดขวัญอ่อนสักหน่อยก็ถึงกับถวายฎีกายื่นเรื่องขอลากลับบ้านเกิดเพราะแก่ชราแล้วด้วยตนเอง แต่ขุนนางระดับสูงตำแหน่งสำคัญกลับไม่อาจถอนตัวได้ เบื้องหน้าต้องเผชิญกับคมดาบของฮ่องเต้และฉีตูจู่ ด้านหลังก็มีพยัคฆ์อย่างสำนักเน่ยเก๋อจ้องจะตะปบ เมื่อไม่มีทางเลือกอีกต่อไป พวกเขาจึงทำได้เพียงทุ่มสุดตัวเพื่อดิ้นรนครั้งสุดท้าย
———————
วันนี้อวี่ฉีเพิ่งตื่นจากการนอนกลางวัน ในขณะกำลังปรือตาลงเพื่อพักผ่อนสายตา ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยค่อย ๆ ใกล้เข้ามาจากด้านนอกวงกบประตูไม้ฮวาหลีสลักลาย แล้วหยุดลงห่างจากด้านหลังของตนครึ่งก้าว กลิ่นหอมหรูหราภายในห้องผสมเข้ากับกลิ่นของดอกไม้สดที่ติดตัวของอีกฝ่าย ทำให้สมองกระจ่างสดใสขึ้นมาในชั่วพริบตา
ฝ่าบาทยังคงหลับตาอยู่เช่นเดิม ก่อนจะโบกมือเบา ๆ คราหนึ่ง เพื่อสั่งให้นางกำนัลสองคนด้านหลังก้มหน้าถอยออกไป เมื่อไม่มีผู้ใดจับรวบ เกศายาวจึงค่อย ๆ ร่วงหล่นลงสู่ฝ่ามือที่รอรับของเขา นิ้วขาวเรียวยาวค่อย ๆ สางผมสีดำสนิทนั้นด้วยสีหน้าอันสงบเงียบ ที่ไม่ต่างจากบรรยากาศอันดำมืดในตงฉ่าง
ฉีอวิ๋นเยี่ยนค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มองใบหน้าพร่าเลือนของพระองค์ในกระจกด้วยสายตาสงบ พลางเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “จ้าวซื่อ[3] กับพี่ชายของนางกำลังลอบวางแผนบีบบังคับให้พระองค์สละราชบัลลังก์พ่ะย่ะค่ะ”
องค์ฮ่องเต้ได้ยินแล้วกลับไม่มีสีหน้าตกใจแต่อย่างใด เพียงลืมตาขึ้นมองสบตาเขาผ่านกระจก สายตาที่ค่อนข้างเย็นชานั่นไม่มีความสับสนวุ่นวายเลยแม้แต่เศษเสี้ยว “ต้องการโยกย้ายกองทัพใดมาคุ้มกัน กองกำลังทหารประจำการหรือว่ากองทหารส่วนพระองค์?” ฝ่าบาทเว้นไปครู่หนึ่ง ก่อนลุกขึ้นออกคำสั่งให้นางกำนัลด้านนอกเตรียมหมึกและพู่กันโดยไม่สนว่าพระองค์จะสวมเพียงเสื้อคลุมเท่านั้น “หากต้องรอให้สำนักเน่ยเก๋อลงคะแนนก็เกรงว่าจะล่าช้า เจิ้นจะร่างราชโองการด้วยตนเอง”
นี่ไม่ใช่การรับมืออย่างไร้แผนการ ประโยคแรกที่เอ่ยจึงเป็นเรื่องยุทธวิธีที่จะใช้แก้ไขปัญหา โดยไม่เสียเวลา โกรธแค้นหรือคร่ำครวญว่า ‘เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้’ แม้แต่น้อย แม้ฝ่าบาทจะอายุน้อยนัก ทว่ากลับสามารถแบกรับภาระหน้าที่อันหนักอึ้งเช่นนี้ได้ ช่างสมเป็นผู้ที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ในการนำผู้คนโดยแท้
แต่ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ย่อมไม่ได้คิดไตร่ตรองปัญหาอย่างละเอียดรอบคอบ ถ้าหากเขาสวามิภักดิ์ต่อพระองค์เพียงฉากหน้า แต่แท้จริงแอบสมคบคิดกับตระกูลจ้าวเพื่อหลอกลวงแย่งอำนาจทางทหารจากมือของพระองค์ เช่นนั้นความเชื่อใจที่ฝ่าบาทมอบให้ในยามนี้ก็รังแต่จะเป็นคมมีดที่คอยทิ่มแทงพระองค์เองเป็นแน่
ฉีอวิ๋นเยี่ยนก้าวไปรับชุดตัวนอกจากมือของนางกำนัลด้านข้างแล้วช่วยสวมให้ฝ่าบาท พลางรายงานข่าวกรองเกี่ยวกับทหารรักษาการในพระราชวังอย่างละเอียด เขานิ่วหน้ากล่าวเตือนองค์เหนือหัวก่อนที่พระองค์จะใช้พู่กันร่างราชโองการว่า “เรื่องนี้สำคัญมาก หากฝ่าบาทเชื่อคำพูดของกระหม่อมเพียงคนเดียวอย่างง่ายดายเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่เหมาะสมนะพ่ะย่ะค่ะ”
อวี่ฉีได้ยินน้ำเสียงที่แหบพร่าเล็กน้อยของเขา เลยหยุดพู่กันลงแล้วผลักถ้วยชาข้างมือไปให้อีกฝ่าย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง “น้ำใจของฉีตูจู่ที่กล่าวเตือน เจิ้นจะจดจำเอาไว้” เอ่ยจบก็ยิ้ม แล้วก้มหน้าลงไปตวัดพู่กันอีกครั้ง เขียนไปพลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจไปพลางว่า “หากทั้งวันต้องคอยหวาดระแวงสงสัยไปกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เสียหมด เพียงเพราะนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ คงยากที่จะได้รับความเชื่อถือจากผู้ใต้บังคับบัญชา ก็เหมือนคำที่บรรพบุรุษได้กล่าวไว้ ‘จะใช้คนจงอย่าไประแวง ในเมื่อระแวงก็อย่าไปใช้’ ยิ่งไปกว่านั้นเจิ้นเองก็ไม่ใช่กษัตริย์ที่เชี่ยวชาญทั้งบุ๋นบู๊ เกิดยังไปยุ่มย่ามชี้นิ้วสั่งการขุนนางที่มีความสามารถ จะไม่เป็นการทำลายแผ่นดินด้วยตัวเองหรือ”
เดิมในจานฝนหมึกมีหมึกอยู่ไม่มาก ฉีอวิ๋นเยี่ยนเลยเทน้ำลงไปเล็กน้อยแล้วหยิบแท่งหมึกขึ้นมา เขายกข้อมือค่อย ๆ ฝนแท่งหมึก เมื่อได้ยินเธอกล่าวเช่นนี้ ก็เผลอหยุดมือไปครู่หนึ่งก่อนเริ่มฝนต่อ
อวี่ฉีไม่ได้ยินเขาพูดอะไรอยู่นานสองนาน ก็อดใช้หางตาเหลือบมองไม่ได้ ชายแขนเสื้อผีผาสีฟ้าอมเขียวหม่นที่ถูกเขาเลิกขึ้น เผยให้เห็นข้อมือที่ขาวราวกับหยกงาม ส่วนเจ้าของข้อมือนั้นกลับกำลังก้มหน้าก้มตามองหมึกที่ตนเองฝน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
เธอจุ่มหมึกพู่กันเพิ่ม ตวัดมันเร็ว ๆ ไม่กี่ทีก็เขียนราชโองการเสร็จ ก่อนม้วนมันแล้วยื่นให้เขา “เจิ้นก็ไม่ใช่กษัตริย์ที่จะถูกผู้อื่นรังแกได้โดยง่าย ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้อื่นมารายงาน แน่นอนว่าย่อมใคร่ครวญอย่างรอบคอบสักรอบก่อน” เธอเว้นไป แล้วยิ้มอย่างจนปัญญา พลางใช้ด้ามพู่กันชี้ไปที่รอยคล้ำสองวงที่ใต้ตาของอีกฝ่าย “แค่มองดูก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ได้นอนหลับเต็มตามาหลายวัน ทุ่มเทแรงกายแรงใจเช่นนี้ ถ้าหากว่าเจิ้นยังมัวหวาดระแวง ฉีตูจู่จะไม่ผิดหวังจนเจ็บปวดใจหรอกหรือ”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนได้ยินแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองเธอ เธอกลับไม่ได้ใส่ใจ เพียงยิ้มให้เขา แล้วยกมือขึ้นเล็กน้อยเป็นการส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรับราชโองการไป
เขาทำได้เพียงแต่ยิ้มอย่างจนใจ ก้มหน้ารับราชโองการ ก่อนหันกายนำไปวางไว้ในตลับผ้าไหมสีทองอร่ามที่นางกำนัลประคองอยู่ แล้ววางตราประทับ[4] ลงข้างกัน จากนั้นจึงหันกลับมาคารวะ ทว่าชั่วขณะที่กำลังโค้งตัวก็ถูกห้ามเอาไว้เสียอย่างนั้น “ระหว่างกษัตริย์กับขุนนางเช่นเจ้ากับข้า ไม่จำเป็นต้องมากมารยาทถึงเพียงนี้ รีบไปจัดวางกำลังป้องกันของทหารให้เร็วเสียหน่อยจะเป็นการดีกว่า”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนรับพระบัญชาแล้วถอยออกไป ครั้นก้าวผ่านประตูออกไป กลับถูกเรียกเอาไว้อีกครั้ง เขาจึงหันกลับไปด้วยความสงสัย และพบว่าฮ่องเต้เยาว์วัยพระองค์นั้นกำลังยืนสอดมือเอาไว้ในแขนเสื้อ มองเขาเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อเปิดปากกลับมีคำสั่งเพียงห้าพยางค์เท่านั้นที่ถูกกล่าว
“จงปลอดภัยกลับมา”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนตะลึงงันไปเล็กน้อย หลุบตาลงกล่าวว่า “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา” แล้วค่อย ๆ เดินออกจากตำหนักเฉียนชิง ผู้ติดตามสองคนที่รออยู่ด้านนอกก้าวเข้ามารับหน้าทันทีที่ชายชุดเย่ซาของฉีตูจู่ปรากฏสู่สายตา ฉีอวิ๋นเยี่ยนเหลือบมองพวกเขาแวบหนึ่ง ก่อนหันกายเดินออกไปนอกประตูตำหนัก ยามกำลังเลี้ยวตรงหัวมุมก็พลันนึกถึงประโยคนั้นของฝ่าบาทขึ้นมา ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้รู้สึกว่า หมอกหนาที่ปกคลุมวังหลวงอันหนาวเหน็บมาโดยตลอดนั้นได้ถูกขจัดไปเสียแล้ว ก่อนที่ความอบอุ่นอันเลือนรางจนแทบสัมผัสไม่ได้จะเข้ามาแทนที่
ระหว่างที่เขาแย้มริมฝีปาก ก็พลันรู้สึกว่าถ้อยคำที่ตนน้อมรับพระบัญชาออกจะแข็งทื่อเกินไปสักหน่อย ถึงแม้ฉีอวิ๋นเยี่ยนจะคาดเดาได้นานแล้วว่า ตระกูลจ้าวต้องคิดเล่นลูกไม้บีบให้ฝ่าบาทสละราชบัลลังก์ ทั้งยังคิดเผื่อไว้แล้วว่าจะวางแผนโต้ตอบอย่างไร แต่ฮ่องเต้นั้นกลับมิได้รับรู้เรื่องนี้มาก่อน ยามนี้พระองค์ย่อมได้รับความกดดันหนักหนามากเป็นแน่ อย่างน้อยเขาควรจะปลอบโยนฝ่าบาทสักหน่อย ไม่ใช่ตอบกลับอย่างเย็นชาไปประโยคเดียวว่า ‘กระหม่อมรับพระบัญชา’
ฝีเท้าของเขาหยุดชะงักลงกะทันหัน หันศีรษะกลับไปมองตำหนักเฉียนชิง ยอดชายคาตำหนักนั้นยืนหยัดมั่นคงเป็นพิเศษภายใต้แสงตะวัน ตั้งตระหง่านราวกับจะไม่มีวันพังทลายลงต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใด เฉกเช่นเดียวกันกับฮ่องเต้อ่อนเยาว์พระองค์นั้นที่มีพระพักตร์สงบสุขุมอยู่เสมอ
……………………………
คืนที่พี่ชายของจ้าวไทเฮานำทหารบุกเข้าวังหลวงหมายจะบีบให้ฮ่องเต้สละบัลลังก์ โคมไฟในตำหนักเฉียนชิงไม่ได้ดับลงเลย ในครึ่งคืนให้หลังนั้น ด้านนอกประตูตำหนักมีแต่เสียงอึกทึกวุ่นวายและแสงไฟที่ลอยมา เสียงศาสตราวุธที่ปะทะกันดังแว่วมาอยู่ไม่นานก็สงบลงอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ตำหนักสือหนิงก็ถูกปิดล้อม ผู้นำกบฏทั้งหลายหากไม่ตายก็ยอมจำนน ฉีอวิ๋นเยี่ยนจึงพาแม่ทัพสร้างผลงานปราบความวุ่นวาย กลับมาเข้าเฝ้าถวายรายงานที่ตำหนักเฉียนชิง
อวี่ฉียังคงสวมชุดเมื่อตอนกลางวัน นั่งอยู่บนบัลลังก์ในห้องโถงส่วนหน้าเพื่อรอรับพวกเขา
ฉีอวิ๋นเยี่ยนส่งมอบตราอาญาสิทธิ์คืน แล้วมายืนเยื้องด้านหลังขององค์ฮ่องเต้ เขากล่าวถ้อยคำเพียงไม่กี่ประโยครายงานสถานการณ์ในคืนนี้ ก่อนจะเหลือบมองสองร่างที่คุกเข่าอยู่ในตำหนักพลางกดเสียงลงเอ่ยเบา ๆ ว่า “การปราบปรามความไม่สงบในคืนนี้ สองคนนี้ล้วนมีผลงานไม่น้อย ถึงแม้ว่าคุณสมบัติและประสบการณ์จะยังไม่มากนัก แต่ก็มีใจภักดีอย่างหาได้ยาก ปูมหลังก็สะอาด ตอนนี้เป็นโอกาสที่จะเก็บคนไว้ใช้สอย ฝ่าบาท…”
ครั้นเห็นมือของฝ่าบาทยกขึ้นจากที่เท้าแขนเล็กน้อย ฉีอวิ๋นเยี่ยนก็รู้ว่าฮ่องเต้เข้าใจสถานการณ์แล้ว จึงไม่เอ่ยอะไรอีก
แต่เหตุการณ์ต่อมา กลับอยู่เหนือความคาดหมายของเขาอยู่บ้าง
เดิมทีฉีอวิ๋นเยี่ยนเข้าใจว่าฮ่องเต้ผู้อ่อนเยาว์พระองค์นี้จะตกรางวัลให้สองคนนั้นด้วยรอยยิ้ม กลับพบว่าความอ่อนโยนบนใบหน้าพลันเลือนหายไปอย่างฉับพลัน เมื่อครู่นี้ยังเอียงศีรษะตั้งใจฟังตนกล่าวรายงานอยู่แท้ ๆ แต่เพียงหันศีรษะกลับไป ทั่วทั้งร่างก็แผ่บรรยากาศอันสูงส่ง พริบตาเดียวก็ผันเปลี่ยนเป็นฮ่องเต้ผู้ยากจะคาดเดาอารมณ์ออกได้
พระองค์ไม่ได้ตรัสสิ่งใด เพียงเอนหลังพิงพนักอย่างเยือกเย็น ทอดมองดูชายหนุ่มทั้งสองที่เพิ่งถอดหมวกกับเกราะเหล็กอย่างพินิจพิเคราะห์ เดิมทีตำหนักก็ว่างเปล่าและเงียบสงัดจนยากจะหายใจอยู่แล้ว มายามนี้กลับยิ่งชวนให้รู้สึกกดดันมหาศาลยิ่งกว่า สำหรับชายหนุ่มทั้งสองที่เพิ่งจะเคยเข้าเฝ้าฮ่องเต้เป็นครั้งแรก แม้พวกเขาจะไม่หวั่นเกรงต่อคมหอกคมดาบ แต่ตอนนี้กลับไม่กล้าขยับตัวเลยสักนิด
เพียงครู่เดียว อวี่ฉีที่นั่งอยู่บนบัลลังก์จึงค่อยเปลี่ยนอิริยาบถอย่างเกียจคร้าน “ลุกขึ้นเถอะ”
สุ้มเสียงสะท้อนแว่วไปทั่วโถงตำหนัก ชายหนุ่มทั้งสองค่อย ๆ หยัดกายลุกขึ้นยืนทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ พวกเขารู้สึกเพียงว่าบรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความกดดันยิ่งกว่าเดิม จึงพากันกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นอวี่ฉีก็ใช้น้ำเสียงราบเรียบถามเรื่องเกี่ยวกับการจัดวางกำลังป้องกันในวังหลวงยามปกติกับในสถานการณ์เมื่อครู่นี้อย่างละเอียด สุดท้ายก็สมมติเหตุการณ์ขึ้นมา ถามพวกเขาว่าจะเปลี่ยนการจัดวางกำลังอย่างไร
รอกระทั่งทั้งสองตอบอย่างแข็งทื่อเรียบร้อยแล้ว เธอก็ไม่ได้เอ่ยว่าดีหรือไม่ดี เพียงแต่จ้องพวกเขานิ่ง ๆ จวบจนศีรษะของทั้งสองก้มต่ำลงเรื่อย ๆ ถึงได้ถามอย่างเฉื่อยชาว่า “พวกเจ้าคิดว่าตัวเองตอบเป็นอย่างไร ดีหรือว่าไม่ดี”
โถงตำหนักเงียบสงัดเสียจนแทบจะสามารถได้ยินกระทั่งเสียงเข็มหล่น ทั้งคู่ไม่กล้าเงยหน้า เพียงแต่สั่นศีรษะพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนกดหัวลงต่ำกว่าเดิม
อวี่ฉีหันศีรษะไปมองฉีอวิ๋นเยี่ยนที่อยู่ข้างกายเป็นเชิงถาม อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างมั่นเหมาะ ทำรูปปากเอ่ยโดยไร้เสียงว่า ‘สติปัญญาพอใช้ได้’ เธอเห็นแล้วก็ขยับรอยยิ้มบางพลางหันศีรษะไป
คิดจะทำการใหญ่ต้องรู้จักยั้งมือ หลังข่มขู่ไปแล้วค่อยเลื่อนตำแหน่งด้วยการกล่าวชื่นชมตามธรรมเนียมไปสักสองสามประโยค ก็เป็นอันใช้ได้ เพียงเท่านี้ก็เอาชนะใจคนได้แล้ว รอจนอวี่ฉีแสดงออกว่าให้ความสำคัญ คนหนุ่มทั้งสองต่างตะลึงที่ตนเองได้รับความโปรดปราน พวกเขารีบคุกเข่าลง กล่าวขอบพระทัยกันไม่หยุด
อวี่ฉียิ้มบางโดยไม่ได้พูดอะไร ปรับสีหน้าให้อ่อนโยนขึ้นบางส่วนแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้ฉีตูจู่กล่าวกับเจิ้นว่า เจ้าทั้งสองจะต้องประกอบคุณูปการอีกมากในอนาคต เจิ้นคิดดูแล้วก็เห็นด้วย พวกเจ้าเป็นคนหนุ่ม หากได้รับการขัดเกลาความสามารถเสียหน่อย สักวันย่อมเป็นหยกงามได้” นางเว้นไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “หวังว่าในอีกหนึ่งปีให้หลัง พวกเจ้าสองคนจะต้องแบกรับภาระนี้ให้ได้ด้วยตนเอง อย่าให้เจิ้นกับฉีตูจู่ต้องผิดหวัง” กล่าวจบแล้วก็ไม่เอ่ยอะไรต่ออีก หลังทั้งสองคนนั้นก้มลงคารวะแล้วอวี่ฉีก็ลุกขึ้นยืน เดินผ่านหน้าพวกเขาอย่างไม่รีบร้อนพร้อมกับฉีอวิ๋นเยี่ยน เพื่อมุ่งหน้าไปยังตำหนักหลัง
———————————–
ชายชุดเย่ซาสีเหลืองสว่างที่อยู่ด้านหน้ากับสีฟ้าหม่นที่อยู่ด้านหลังลากผ่านพื้นที่สะอาดวาววับไร้ฝุ่นไปไกลแล้ว ทิ้งไว้เพียงความเงียบสงัดที่โรยตัวท่ามกลางโถงตำหนักอันว่างเปล่า
ฉีอวิ๋นเยี่ยนเดินตามอยู่ที่ด้านหลังของอวี่ฉีด้วยความเร็วพอเหมาะ เขามองพินิจเงาหลังของฮ่องเต้ผู้เยาว์วัยพระองค์นี้อย่างละเอียด
ผู้คนมักจะตัดสินผู้อื่นจากรูปลักษณ์ภายนอกโดยไม่รู้ตัว ฉีอวิ๋นเยี่ยนเองก็เคยกระทำความผิดพลาดแบบนั้นเช่นกัน เขาเข้าใจว่านางคือเจ้านายที่ใจกว้างและมีเมตตาเป็นที่สุด โดยหลงลืมความเย็นชาที่นางกระทำต่อองค์หญิงรุ่ยอันและจ้าวไทเฮาไป
รอยยิ้มอันอ่อนโยนนั้นปกปิดทุกอย่างเอาไว้ จนทำให้เขาลืมตระหนักถึงความไร้หัวใจที่ฝังอยู่ในสายโลหิตของเชื้อพระวงศ์ ลืมเลือนถึงสายเลือดของผู้สูงศักดิ์ซึ่งชื่นชอบที่จะบงการจิตใจผู้คนที่อยู่เบื้องล่างเป็นชีวิตจิตใจ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องไม่ดี เทียบกับฮ่องเต้ที่อ่อนโยนเมตตาจนถูกขุนนางชักนำเป็นหุ่นเชิดแล้ว เขาหวังว่าฮ่องเต้พระองค์นี้จะเป็นผู้นำที่แผนการแยบคายและฉลาดหลักแหลม สามารถควบคุมผู้ที่อยู่ใต้อาณัติและทำให้ขุนนางยินยอมทำงานได้มากกว่า
จ้าวไทเฮาถูกจับตัว ขุนนางใหญ่ในสังกัดกลุ่มตระกูลจ้าวถูกคุมขัง รองผู้บัญชาการกองทหารราชองครักษ์ในวังหลวงถูกเปลี่ยนตัวในชั่วข้ามคืน ทั้งในวังและนอกวังล้วนตกอยู่ในความระส่ำระสาย มีเพียงซือหลี่เจียนและตงฉ่างที่โดดเด่นเป็นที่หนึ่งไม่มีสอง ขุนนางใหญ่ที่เคยชินกับการทำตัวเป็นยอดหญ้าบนกำแพง[5] เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นก็เข้าใจกระจ่างชัดแล้วว่าผู้ใดที่ฮ่องเต้รับฟังมากที่สุด จึงพากันไปอยู่ข้างเดียวกับฉีตูจู่ มีขุนนางหลายคนที่ยอมละทิ้งหน้าตาและความอาวุโสของตนเอง เข้ากราบกรานฉีตูจู่เป็น ‘บิดาบุญธรรม’ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ ทั้งยังพากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ต้องกระทำเรื่องต่าง ๆ เพื่อบิดาและพี่น้อง’
มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ทั้งสองกำลังปรึกษาหารือกันอยู่ในตำหนักเฉียนชิง อวี่ฉีคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อย ๆ แล้วถามเขาว่า ช่วงนี้รับบุตรบุญธรรมไปแล้วกี่คน ทั้งยังถามต่อว่า อายุยังไม่เท่าไรก็มีบุตรหลานคอยคุกเข่าห้อมล้อมให้ความรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง
ฉีตูจู่เดิมทียังมีสีหน้าจริงจังช่วยนางแจกแจงสถานการณ์ในท้องพระโรง ได้ยินคำถามนี้ก็ชะงักไป แล้วค่อย ๆ ปรากฏสีหน้าอับจนปัญญาขึ้นมา
ตอนที่เพิ่งจะรู้จักกันแรก ๆ ยามฮ่องเต้เอ่ยคำพูดล้อเล่นเช่นนี้ เขามักจะเข้าใจผิดว่ามีความหมายอื่นแอบแฝง แต่หลังผ่านเรื่องราวทั้งหลายมาก็รู้ว่า คำพูดล้อเล่นนั้นเป็นเพียงคำพูดล้อเล่นจริง ๆ เขาไม่ต้องลอบระแวงว่าคำพูดของอีกฝ่ายจะซ่อนความหมายอะไรเอาไว้หรือไม่ ดังนั้นภายใต้สายตาหยอกล้อของของอวี่ฉี ถึงแม้ว่าสีหน้าของฉีอวิ๋นเยี่ยนจะแสดงความอ่อนใจ ทว่าอารมณ์ก็ยังคงสุขุมดังเดิม เขารับถ้วยชามาพลางจิบอย่างสบาย ๆ แล้วค่อย ๆ เลิกแขนเสื้อขึ้น จนกระทั่งสีหน้าสนอกสนใจของเธอเปลี่ยนเป็นเก้อเขิน ถึงค่อยเงยหน้าขึ้นมาอย่างเรื่อยเฉื่อย พลางส่งรอยยิ้มให้แล้วกล่าวว่า “ชีวิตนี้ของกระหม่อมไม่อาจมีบุตรหลานไว้เป็นวาสนา บางทีนี่อาจเป็นการชดเชยของสวรรค์ก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ”
อวี่ฉีอึ้งไป พลันแสดงสีหน้าไม่เห็นด้วยนัก “อย่าเย้ยหยันตนเองเช่นนี้”
“แต่ก็ไม่มีอะไรไม่ดีพ่ะย่ะค่ะ” เขาหลุบตาลงเล็กน้อย จนแพขนตาสีดำยาวบดบังห้วงอารมณ์ในดวงตาเอาไว้ “อย่างน้อยก็ไม่ต้องเกรงกลัวว่าชื่อเสียงโสมมบนร่างนี้จะถูกส่งต่อไปยังชนรุ่นหลัง ไม่ว่าทำสิ่งใดล้วนไม่มีอะไรมาถ่วงมือถ่วงเท้า”
เธอถามเสียงเบาว่า “บนโลกนี้ยังมีคนใกล้ชิดอีกหรือไม่”
“กระหม่อมโดดเดี่ยวตัวคนเดียว ไร้ซึ่งสิ่งใดให้ห่วงหา” เขายิ้มบาง ท่าทางเยือกเย็นไม่สะทกสะท้านยิ่งกว่าเธอเสียอีก
อวี่ฉีไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงเอนหลังพิงตั่งไม้จันทน์ม่วงแล้วจ้องมองเขา
เขาเบือนหน้าไป รอยยิ้มตรงมุมปากเจือความอ่อนใจเล็กน้อย “ฝ่าบาท เหตุใดทอดพระเนตรกระหม่อมเช่นนี้เล่าพ่ะย่ะค่ะ”
หลังเงียบอยู่นาน เธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา “เพราะว่ารู้สึกละอายใจต่อตนเอง”
เขาหลุบตาลง ส่ายศีรษะกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำให้เด็กที่ไร้ความผิดผู้หนึ่งต้องรับความทุกข์ทรมานจากการสูญเสียคนในครอบครัว เป็นเรื่องที่โหดร้ายอย่างที่สุด” อวี่ฉีเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเสียใจว่า “ขออภัย จื่อเซิ่น”
จื่อเซิ่นคือชื่อรองของเขา เพียงแต่นานมากแล้วที่ไม่มีใครเรียก เมื่อถูกนางเรียกเช่นนี้ ความทรงจำเก่าก่อนมากมายพลันทะลักล้นขึ้นมาในหัวใจ ร่องรอยตรงหว่างคิ้วของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่กลับดูเหนื่อยล้าอยู่บ้าง “ฝ่าบาททรงรู้ชื่อรองของกระหม่อมได้อย่างไร ช่างเถิด ก็มิใช่ความลับอันใด” เขาชะงักไป แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ที่จริงก็จำไม่ได้นานแล้วว่าบิดามารดามีหน้าตาเช่นไร จำได้เพียงเค้าโครงเลือนรางเท่านั้น…ไม่ว่าอย่างไร กระหม่อมได้ปล่อยวางแล้ว มัวแต่ไปทุกข์ทรมานกับอดีตเช่นนั้น จะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร“
อวี่ฉีก้มหน้าลง น้ำเสียงมีความหดหู่อยู่เล็กน้อย “ที่จริง เจิ้นเองก็จำไม่ได้แล้วว่าเสด็จแม่มีหน้าตาเช่นไร”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนหันไปมองนาง กุ้ยเฟยจากไปนานแล้ว ฮ่องเต้พระองค์นี้เองก็สูญเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเล็กเหมือนกัน หากไม่ได้รับความรักเอ็นดูจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน เกรงว่าคงจะไม่ได้มีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ เมื่อคิดถึงตรงจุดนี้ เขาก็เกิดความรู้สึกเห็นใจพระองค์ขึ้นมา “เหนียงเหนียง[6] ในยามนั้นจะต้องงดงามมากแน่พ่ะย่ะค่ะ”
“จื่อเซิ่นรู้ได้อย่างไร” นางยังคงเรียกชื่อรองของเขาด้วยน้ำเสียงสนิทสนม
เขามองนางอย่างอ่อนโยน “เห็นฝ่าบาทก็รู้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่คือการชมเจิ้นทางอ้อมอย่างนั้นหรือ” นัยน์ตาของนางปรากฏรอยยิ้มขึ้น “แต่เจิ้นไม่ได้งามเท่าจื่อเซิ่น คิดดูแล้วมารดาของเจ้าจะต้องเป็นสตรีงามล่มเมืองแน่”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนสั่นศีรษะ “กระหม่อมไม่มีส่วนใดที่น่ามอง ผู้งดงามที่แท้จริงสมควรเป็นบุรุษที่ยิงใบหยางได้ในระยะร้อยก้าว[7] โดดเด่นไร้ผู้เทียบเทียม แต่กระหม่อมทำไม่ได้ กระหม่อมไม่สามารถแม้แต่จะน้าวสายธนูด้วยซ้ำ”
เขากล่าวอย่างสลดหดหู่ อวี่ฉีจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ง้างสายธนูไม่ได้จริง ๆ หรือ? คราเจิ้นยังเด็กก็เคยได้เรียนวิชายิงธนูกับเสด็จพ่อ ทั้งยังเคยยิงเข้ากลางเป้าด้วย”
“เช่นนั้นฝ่าบาทก็ทรงยอดเยี่ยมกว่ากระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
เขากล่าวออกมาจากใจ นางกลับหัวเราะออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ “จื่อเซิ่นเอ๋ยจื่อเซิ่น เจิ้นยิ่งชอบเจ้าขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว เช่นนี้จะทำอย่างไรดี”
เขาตกตะลึงไปก่อนจะได้สติกลับมา ไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจัง จึงเพียงยิ้มน้อย ๆ กล่าวหยอกเย้าว่า “แต่ร่างกายนี้ของกระหม่อม เกรงว่าต่อให้มีใจก็ไร้กำลัง คงทำได้เพียงปฏิเสธไมตรีของฝ่าบาทแล้ว”
เธอได้ยินคำพูดนี้แล้วจึงหยุดหัวเราะ เงยหน้าขึ้นมองฉีอวิ๋นเยี่ยนอย่างไม่พอใจ อีกฝ่ายมองตอบด้วยท่าทางผ่าเผย ไม่นานนักก็อดไม่ได้ที่จะแย้มรอยยิ้มออกมา ราวจันทราบนฟ้าหลังฝน ดุจผกาที่เบ่งบานหลังม่านหมอกเลือนหาย
———————————————————————