ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配 - ตอนที่ 13.9 (เล่มสาม)
ฉีอวิ๋นเยี่ยน
9
หลังจากทยอยสะสางเรื่องของจ้าวไทเฮาจนเสร็จสิ้น ฉีอวิ๋นเยี่ยนก็ค่อย ๆ มีเวลาว่างมากขึ้น งานเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยกให้ขันทีปิ่งปี่ในสังกัดจัดการไป ส่วนตนเองก็เตรียมแผนการต่อ จึงเป็นเหตุให้เข้าออกตำหนักเฉียนชิงบ่อยยิ่งขึ้น
ไปมาหาสู่นานวันเข้า ฉีอวิ๋นเยี่ยนก็เริ่มพบว่าท่าทีของฮ่องเต้ที่ปฏิบัติต่อตนนั้นแตกต่างไม่เหมือนเดิม พระองค์ไม่ได้ตีตัวออกหากจากเขาเพราะอำนาจที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ตรงกันข้าม พระองค์กลับทำตัวสนิทชิดเชื้อกับเขาขึ้นทุกวัน ความโปรดปรานแทบจะเกินเลยระดับเจ้านายและผู้ใต้บังคับบัญชาไปแล้ว ส่วนจะไปสิ้นสุดตรงไหนนั้น เขาไม่กล้าคิด ทั้งยังไม่อยากคิดถึงมันด้วย เพราะสิ่งนี้มันไม่สมเหตุสมผลจนเกินไป
ความผิดปกติประการแรกที่เริ่มส่อแววให้เห็นเกิดขึ้นในบ่ายวันหนึ่งที่แสนจะปกติ ระหว่างเขากำลังสนทนาเรื่องขุนนางฝู่เฉิน[1] สำนักเน่ยเก๋อทั้งสี่
โส่วฝู่[2] ของสำนักเน่ยเก๋อ ‘หวังจวีเสียน’ ผู้มีไหวพริบและเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว
ฝู่เฉินท่านที่สอง ‘หลินจิ้งเหวิน’ ผู้ฝักใฝ่ความสงบ
ฝู่เฉินท่านที่สาม ‘โจวย่าชิง’ ผู้มีความภักดีเข้ากระดูกดำ
ฝู่เฉินท่านที่สี่ ‘อู่ผิงเจ๋อ’ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเป็นยอดหญ้าบนกำแพง[3]
…หากคิดจะกำราบบรรดาขุนนางเน่ยเก๋อ ขอเพียงได้รับการสนับสนุนจากหวังจวีเสียน ไม่ว่าอีกสามคนที่เหลือจะจริงใจหรือเสแสร้ง ก็ย่อมเชื่อฟังผู้นำของตัวเอง
ทันทีที่เงยหน้าหลังเอ่ยจบ เขาก็ปะทะเข้ากับสายตาของฝ่าบาทที่มองมาพอดี นัยน์ตาคู่นั้นลึกล้ำราวบึงน้ำลึกที่ถูกคลุมด้วยม่านหนาหนักสีดำเป็นชั้น ๆ จนไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้ ฉีอวิ๋นเยี่ยนไม่รู้ว่ายามนี้ฝ่าบาทกำลังคิดอะไรอยู่ จึงได้แต่มองสบสายตาของพระองค์เป็นเชิงไถ่ถาม
หลังสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง พระองค์ก็ยกถ้วยชาขึ้นพลางเขี่ยเศษชาในถ้วยออกไปอย่างเกียจคร้าน “ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใดหรอก เจิ้นเพียงคิดถึงเรื่องที่เสด็จพ่อเคยหยอกล้อจื่อเซิ่นว่ารูปลักษณ์น่ามองนัก คิดดูแล้วคงมิใช่แค่ข่าวโคมลอยกระมัง”
เอ่ยจบพระองค์ก็สรวลเบา ๆ เอียงศีรษะมองเขา “เคยมีนางกำนัลส่งสายตาหยาดเยิ้มให้เจ้าบ้างหรือไม่”
ยามนั้นฉีอวิ๋นเยี่ยนยังไม่เอะใจ เพียงคิดว่าฝ่าบาทกำลังหยอกตนเองเล่นอีกแล้ว ดังนั้นจึงหมุนแหวนที่นิ้วเล่นไปพลาง ตอบอย่างขอไปทีว่า “พวกนางเห็นกระหม่อมเป็นปีศาจที่ควรอยู่ห่างนับสิบก้าว แค่เห็นกระหม่อมก็พากันหนีไปไกล หลบแทบไม่ทันแล้ว จะมีเวลามาส่งสายตาให้กระหม่อมได้อย่างไร”
ฝ่าบาทถอนหายใจด้วยความหดหู่พลางส่ายหน้า “น่าเสียดายนัก ทั้งที่เจ้ามีรูปลักษณ์ที่งดงามถึงเพียงนี้ กลับไม่มีผู้ใดรู้จักชื่นชม” ฮ่องเต้เว้นช่วงไปครู่หนึ่ง แล้วพลันถามต่อด้วยความสงสัย “เช่นนั้นก่อนที่เจ้าจะเข้าวังเล่า มีสตรีที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กหรือไม่”
“คำสอนของตระกูลฉีเข้มงวดเคร่งครัด ในยามนั้นทุกวันกระหม่อมต้องปิดประตูขังตัวเองอ่านตำราท่องคัมภีร์ จะมีเวลาใดไป ‘จันทราลอยเหนือยอดหลิว นัดคนรักมาพานพบยามสนธยา[4]’ เล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็หมายความว่าแม้จะอยาก แต่ก็ไม่อาจกระทำได้สินะ งั้นหากมีเวลาเล่า เจ้าจะชอบสตรีเช่นไร”
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนถามเขาเช่นนี้ อาจเป็นเพราะว่าในตอนที่พระองค์ถามมีท่าทางเป็นธรรมชาติ ในตอนนั้นเขาจึงไม่รู้สึกว่าถูกคุกคาม กลับรู้สึกว่านี่เป็นคำถามแปลกใหม่เสียมากกว่า จึงตอบไปว่า “ขอเพียงรูปงามสักหน่อย นิสัยดีสักเล็กน้อยก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าชอบสตรีที่เรียบง่ายถึงเพียงนี้เลยหรือ เจิ้นยังคิดว่าเจ้าจะบอกว่าชอบสตรีที่รูปโฉมดุจซีซือ[5] สติปัญญาดั่งจูเก๋อ[6] เสียอีก”
ตอนนั้นฉีอวิ๋นเยี่ยนไม่ได้ตอบอะไร เพียงแย้มยิ้มอย่างอ่อนใจแล้วเบือนสายตาไปทางอื่น
บางทีเขาอาจจะเคยคิดเช่นนี้จริง ๆ ในวัยหนุ่มสาว แต่เวลานี้เขามิใช่เด็กหนุ่มผู้ทะนงองอาจในความสามารถของตนและกล้าได้กล้าเสียเฉกเช่นในวันวานอีกแล้ว ฉีอวิ๋นเยี่ยนย่อมเข้าใจดีว่าสตรีดีงามทั่วไปไม่มีทางมาชอบขันทีผู้หนึ่งได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสตรีที่โดดเด่นทั้งรูปลักษณ์และสติปัญญาอย่างที่องค์ฮ่องเต้กล่าวถึง
ครานั้นเขาไม่ได้ใส่ใจบทสนทนาสั้น ๆ นี้เลย ทว่าครั้นนึกย้อนดูในภายหลัง กลับรู้สึกว่าคำพูดที่ฮ่องเต้ตรัสในยามนั้นซ่อนความหมายอันลึกล้ำเอาไว้ในทุกคำทุกตัวอักษร ทุกความนัยในถ้อยคำเหล่านั้นชวนให้ยากจะเชื่ออย่างแท้จริง!
กว่าเขาจะระลึกถึงความจริงอันน่าตื่นตะลึงนี้ได้ ก็เป็นคืนที่องค์หญิงรุ่ยอันเสกสมรสกับราชบุตรเขย
ก่อนจะถึงวันนั้นเขาได้เอ่ยปากเตือนฝ่าบาทไปว่า อย่างน้อยพระองค์ก็ควรแสดงความสัมพันธ์ฉันพี่สาวน้องสาวออกไปสักหน่อย ในเมื่อการกักบริเวณของไทเฮานั้นไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หากต้องการปิดปากคนทั้งแผ่นดิน ก็จำต้องดูแลองค์หญิงรุ่ยอันให้ดี มิเช่นนั้นจะโดนครหาว่าชืดชาต่อมารดา โหดร้ายต่อพี่สาวเอาได้
ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ที่รับฟังความเห็นของผู้อื่นมาแต่ไหนแต่ไร ครู่เดียวก็ยอมรับคำแนะนำแล้วเขียนราชโองการร่างรายชื่อของขวัญและของกำนัลด้วยตัวเองทันที ทั้งยังเพิ่มสินสมรสให้แก่องค์หญิงรุ่ยอันที่เดิมถูกหน่วยซือหลี่เจียนลดทอนลงจนยากจนข้นแค้นเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ดังนั้นในวันพิธีเสกสมรสขององค์หญิงรุ่ยอัน ขบวนเจ้าสาวจึงแห่แหนออกจากวังหลวงไปอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา ทำให้ชาวเมืองหลวงได้เห็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ขบวนเจ้าสาวยาวสิบลี้’ อย่างเต็มตา
นี่เป็นคุณธรรมของผู้นำที่ฉีอวิ๋นเยี่ยนชื่นชมมากที่สุด รู้จักควบคุมอารมณ์และผ่อนหนักผ่อนเบา ไม่เคยใช้อารมณ์ชั่ววูบมาทำให้เสียการใหญ่
และเรื่องที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ วันนั้นฝ่าบาทถึงกับหาเวลาว่าง จัดขบวนเสด็จไปกล่าวอวยพรในงานด้วยตัวเอง การกระทำนี้ไม่ว่าอย่างไรก็นับเป็นการให้เกียรติองค์หญิงรุ่ยอัน ถ้าหากเขาไม่รู้ความจริง บางทีอาจเข้าใจว่าพี่น้องคู่นี้มีความสัมพันธ์อันดีงามต่อกันจริง ๆ ก็เป็นได้
หลังกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จแล้ว สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันก็พากันเข้าห้องหอ ในขณะที่งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปอย่างครึกครื้น ฝ่าบาทที่ดื่มสุราคารวะจากขุนนางเฒ่าไปหลายจอก ก็ค่อย ๆ ทรงตัวยืนขึ้น ใช้ข้ออ้างว่าทนฤทธิ์สุราไม่ไหวออกจากที่ประทับ จับมือเขาเดินออกจากห้องโถงใหญ่
รอจนกระทั่งลมราตรีพัดผ่านใบหน้า ฝ่าบาทจึงค่อยปล่อยมือ พลางยิ้มอ่อน ๆ ด้วยท่าทางเมามายเล็กน้อย “ตอนแรกมาเพื่อเล่นละคร แต่ยามนี้เห็นรุ่ยอันกับราชบุตรเขยเคียงคู่สมกันดั่งกิ่งทองใบหยก เจิ้นก็อดรู้สึกอิจฉาขึ้นมาจริง ๆ ไม่ได้”
พวกเขาเดินไปตามระเบียงทางเดินที่ทอดยาวภายในจวน เสียงความรื่นเริงค่อย ๆ ห่างไกลออกไป เหลือเพียงสายลมที่พัดพาให้เงาของต้นไม้บนพื้นขยับไหว
ฉีอวิ๋นเยี่ยนหันหน้าไปมองเด็กสาวผู้มีใบหน้างดงามสวยสด พระองค์สวมชุดพิธีการเต็มยศที่หนาหนัก ลำคอขาวเนียนที่ปรากฏพ้นคอเสื้อออกมาดูบอบบางราวกับไม่อาจแบกรับภาระหนักหนาได้ ช่างต่างจากสีหน้าที่ดูสบายๆ ในยามปกติ เขาจึงอดยิ้มบางออกมาไม่ได้ “เช่นนั้นฝ่าบาทกลับวังหลวงแล้วก็ลองออกร่างราชโองการให้เตรียมงานคัดเลือกดีไหมพ่ะย่ะค่ะ วังหลังแต่เดิมก็ไม่ควรปล่อยให้ทิ้งว่างนานจนเกินไปอยู่แล้ว”
“วังหลังของเสด็จพ่อมีสาวงามกว่าสามพัน ก็ไม่ได้หมายความว่าเจิ้นจะต้องมีบุรุษรูปงามสามพันคนด้วยนี่” เสี้ยวหน้าขององค์ฮ่องเต้ถูกทาบทับด้วยแสงจันทร์สลัว น้ำเสียงขับกล่อมฟังดูเรื่อยเฉื่อย “ที่จริงแล้วเจิ้นค่อนข้างเหมือนกับเสด็จแม่มากกว่า”
เรื่องของตระกูลเชื้อพระวงศ์ อย่าได้พูดอะไรมากเป็นดีที่สุด ฉีอวิ๋นเยี่ยนรู้ถึงจุดนี้ดี ดังนั้นจึงยิ้มโดยไม่พูดสิ่งใด
แต่ฝ่าบาทกลับหันหน้ามา “เจ้าไม่คิดสงสัยงั้นรึ ว่าเจิ้นกับเสด็จแม่เหมือนกันตรงจุดไหน”
เขาทำได้เพียงยิ้มบาง “เป็นความงามเกินมนุษย์ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าก็รู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่เจิ้นเอ่ยถึงไม่ใช่เรื่องนี้” ฝ่าบาทมองเขาพลางสั่นศีรษะ แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “สุรามงคลหนึ่งจอก ผูกสัญญาท่านสามภพ รักมั่นมิคลอนคลาย แม้นตายไม่ละวาง นี่คือความปรารถนาที่เสด็จแม่บอกต่อเจิ้น และเป็นความปรารถนาของเจิ้นด้วย”
ในตอนนั้นเขาเริ่มรู้สึกได้แล้วว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสีของฟ้าที่มืดครึ้มเกินไป หรือว่าเสียงของฝ่าบาทเจือความอาลัยรักมากเกินไป แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็รู้สึกได้ถึงอันตราย จึงเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “นับตั้งแต่โบราณมา ผู้เป็นฮ่องเต้ส่วนใหญ่มักไร้หัวใจ ฝ่าบาททรงมีพระทัยเช่นนี้เป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
บางทีอาจจะเมามายแล้วจริง ๆ พระองค์จึงยิ้มอย่างเคลิบเคลิ้ม “ที่ไร้หัวใจนั้นหาใช่ฮ่องเต้ แต่เป็นบุรุษต่างหาก เจิ้นเกิดมาเป็นสตรี แน่นอนว่าย่อมปรารถนาครองคู่กับคนผู้เดียวไปทั้งชีวิต”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนยกมือขึ้นประคองสตรีตรงหน้าอย่างแผ่วเบา “ด้านนั้นมีศาลารับลมอยู่ ฝ่าบาทเสด็จไปประทับที่นั่นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากทั้งสองนั่งลงข้างโต๊ะหินในศาลา ฝ่าบาทก็ก้มหน้าลงเพื่อรอให้สร่างเมา ส่วนเขาก็เริ่มหัวข้อสนทนาใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงหัวข้ออันตรายเมื่อครู่นี้ด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ที่จริงแล้ว หากฝ่าบาททรงไม่ปรารถนาให้องค์หญิงรุ่ยอันมีชีวิตที่ดี เพียงลอบแทรกแซงเข้าไป ก็สามารถทำให้พวกเขาสามีภรรยาเข้ากันไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ส่ายหน้าอย่างไม่ได้สติดีว่า “หากสามารถละเว้นคนได้ก็ควรละเว้น และไม่จำเป็นต้องไร้ไมตรีกันเกินไป ก่อนหน้านี้ที่เจิ้นเข้ากับนางไม่ได้ก็เพราะว่าจ้าวซื่อ วันนี้จ้าวซื่อถูกคุมขัง เจิ้นเป็นผู้ชนะหมากกระดานนี้แล้ว เหตุใดต้องบีบคั้นผูกอาฆาตผู้อื่นอีก ทำเช่นนั้นก็ดูจะน่าเกลียดเกินไป”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนเองก็ไม่คิดจะไปสร้างความยุ่งยากอะไรให้กับองค์หญิงรุ่นอันอีก ดังนั้นจึงเพียงแต่ยิ้มเล็กน้อย ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก
ฮ่องเต้คล้ายเริ่มสร่างเมาขึ้นมาบ้างแล้ว พระองค์ค่อย ๆ เท้าขอบโต๊ะลุกขึ้นยืน พิงเสาศาลาพลางมองไปยังที่ไกล ๆ “อย่างไรเสีย นางก็คือญาติสนิทเพียงคนเดียวของเจิ้นที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ต่อให้เกลียดนางเพียงใด เจิ้นก็จะช่วยคุ้มครองให้นางอยู่อย่างสงบสุขไปชั่วชีวิต”
เสียงพูดคุยหัวเราะแลกจอกสุรากันแว่วมาจากไกล ๆ ลมราตรีพัดให้ชายชุดขององค์ฮ่องเต้พลิ้วไหว ใบไม้เสียดสีกันเกิดเป็นเสียงคล้ายลมหายใจ ทั้งแผ่วเบาทั้งอ่อนโยน และให้ความรู้สึกเปลี่ยวเหงา ใบหน้าของนางภายใต้แสงจันทรานั้นไม่ต่างจากหยกงาม หางตาแดงระเรื่อยกสูงขึ้นเล็กน้อย ดวงหน้านั้นงดงามหยาดเยิ้ม ทว่าแววตากลับโดดเดี่ยวนัก
ชั่วพริบตานั้นสตรีผู้นี้ดูไม่ใช่กษัตริย์ผู้สุขุมอ่อนโยนอีกต่อไป แต่คล้ายกับหญิงสาวผู้เดียวดายที่ถูกคนทอดทิ้ง อ้างว้าง เงียบเหงา แสนโดดเดี่ยว ไม่รู้เพราะเหตุใดตนถึงรู้สึกใจอ่อนยวบ สุดท้ายฉีอวิ๋นเยี่ยนจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปบอกกล่าวเสียงเบาที่ข้างกายนางว่า “ลมราตรีไม่ดีต่อพระวรกาย กลับวังเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“จื่อเซิ่น”
“กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าบอกว่าจะช่วยเจิ้นปกครองแผ่นดินที่กว้างไกลหมื่นลี้นี้ จะรอดูวันที่เจิ้นกลายเป็นยอดกษัตริย์ไปตราบชั่วกาล ถ้าหากว่าเจิ้นทำไม่สำเร็จ เจ้าจะทิ้งเจิ้นไปหรือไม่”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนทำได้เพียงใช้เสียงราวกับปลอบโยนเด็กน้อยกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงทำได้สำเร็จแน่พ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าหากไม่สำเร็จเล่า” ฝ่าบาทดื้อดึงอย่างหาได้ยาก
เขาถอนหายใจเสียงเบา “กระหม่อมจะยังคงอยู่ข้างกายฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
พระองค์ยิ้มออกมา หันกายมาทางเขา ทว่าร่างกลับยืนไม่มั่นคงเพราะฤทธิ์สุรา เลยโอนเอนไปติดกับเสาแล้วค่อย ๆ ไหลลงไปกองกับพื้น อาภรณ์เต็มยศหนาหนักนั้นกระจายตัวออก ราวกับดอกกล้วยไม้อันเพริศแพร้วที่เบ่งบานยามวิกาล
เขาย่อกายลง คิดจะประคองฝ่าบาทขึ้นมา พระองค์กลับทรงแย้มสรวลอย่างเกียจคร้านแล้วปัดมือของเขาออก
ฉีอวิ๋นเยี่ยนขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ขณะที่ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร พระหัตถ์ที่เมื่อครู่นี้ปัดมือของตนออกไปก็ยื่นมาหา ไม่รู้เพราะว่าอาบด้วยแสงจันทร์หรือไม่ มือนั้นจึงดูเปล่งประกายราวกับหยกก็ไม่ปาน
เขามองไปอย่างลังเล แต่กลับได้มองเห็นเพียงเงาของตนเองสะท้อนอยู่ในดวงตาสีดำที่เป็นประกายระยับของนาง คล้ายอยู่ไกลแต่ก็อยู่ใกล้ เหมือนจะสัมผัสได้แต่ก็ผละห่างไป สายลมอ่อนจางพัดผ่านมา กิ่งก้านและใบไม้กระพือหวีดหวิว ส่วนปลายนิ้วของฮ่องเต้ได้หยุดลงที่ข้างแก้มของเขา นิ้วทั้งห้านั้นขยับอย่างลังเล ราวกับนกน้อยที่หากิ่งก้านให้เกาะพักพิงไม่เจอ จึงขยับปีกอย่างอ่อนล้า เผชิญหน้ากับความโดดเดี่ยวเงียบงัน
สุดท้ายแล้วมือข้างนั้นก็ค่อยๆ ตกลง พาดลงบนไหล่ของเขาราวกับกลบเกลื่อน เอ่ยอย่างแผ่วเบาและเลื่อนลอยว่า “เจิ้นเหนื่อยแล้ว กลับวังกันเถอะ”
ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นคล้ายหวนกลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้า เขาก็ไม่ใช่หนุ่มน้อยผู้ไม่ประสีประสา แม้นฝ่าบาทจะไม่ได้กล่าวโดยกระจ่าง แต่เรื่องชัดเจนถึงเพียงนี้ จะบอกว่าไม่รับรู้เลยก็คงไม่ได้ แต่ความรู้สึกเช่นนี้มันไม่เหมาะสมเกินไป ดังนั้นนางจึงไม่เคยเอ่ย ส่วนเขาเองก็แสร้งทำเป็นไม่รู้
ที่จริง เขาคุ้นเคยกับเรื่องเช่นนี้ด้วยซ้ำ วังหลวงนั้นเงียบเหงา ยากนักที่จะไม่อยากแสวงหาคนอยู่เคียง จ้าวไทเฮาในคราแรกก็เป็นเช่นนี้ แต่ในตอนนั้นทั้งสองฝ่ายตระหนักดีว่านี่คือการร่วมมือที่แสนเย็นชา ไร้ซึ่งความรู้สึกใด ๆ อยู่ภายใน ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าไม่มีเรื่องราวอื่นใดเกิดขึ้นแน่
แต่ฮ่องเต้หญิงพระองค์นี้ไม่เหมือนกัน ความรู้สึกของพระองค์นั้นจริงแท้ เขาไม่อาจใช้วิธีเดียวกับที่รับมือจ้าวซื่อมารับมือฝ่าบาทได้ สิ่งที่พระองค์ต้องการคือการอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ใจทั้งสองดวงรักมั่นต่อกัน แต่นั่นเป็นเรื่องที่ฝันเฟื่องเกินไป อันตรายเกินไป เขาจึงมอบสิ่งนี้ให้แก่ฝ่าบาทมิได้
ในเวลาเช่นนี้เขาควรตอบโต้ออกไปบ้าง ไม่เช่นนั้นอนาคตอาจต้องเผชิญกับสถานการณ์อันตรายที่ยากแก้ไข อย่างไรเสียตอนนี้พระองค์ก็คงแค่สับสนไปชั่วครู่เท่านั้น รอจนกระทั่งมีบุรุษที่รักอย่างแท้จริงแล้ว ย่อมต้องรู้สึกอับอายที่เคยมีใจให้ขันทีผู้หนึ่งแน่
ด้วยเหตุนี้ เขาเลยเมินเฉยกับการจู่โจมหยั่งเชิงของฮ่องเต้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยินดี ตรงกันข้าม เขายอมรับว่าตนชื่นชมพระองค์ ซาบซึ้งในความเชื่อใจและการที่อีกฝ่ายให้ความสำคัญ นี่คือสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง ทั้งที่พระองค์มีฐานะสูงส่งมาตลอด ทว่ายามอยู่กับข้ารับใช้กลับไร้ซึ่งใจข่มเหง เขาค่อนข้างชอบฝ่าบาทตรงจุดนี้ แต่ไม่อาจเอาเรื่องนี้มากล่าวอ้างทำอะไรหุนหันพลันแล่นได้ด้วยเช่นกัน
คืนนั้นฉีอวิ๋นเยี่ยนพาฮ่องเต้กลับตำหนักเฉียนชิง นางกำนัลใหญ่สองนางยุ่งวุ่นวายกับการทำให้ฝ่าบาทสร่างเมา สาละวนอยู่กับการถอดเครื่องประดับศีรษะที่ซับซ้อนออกทีละชิ้น หลังจากดื่มชาไปถ้วยหนึ่ง ฝ่าบาทก็ดูเหมือนว่าจะทรงตาสว่างขึ้นไม่น้อยแล้ว จึงนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งพลางมองมายังเขาด้วยสายตาเก้อกระดาก
สีหน้าเช่นนั้น ทำให้พระองค์พลันดูเด็กลงหลายปีในพริบตา ราวกับเด็กน้อยที่รู้ว่าตนเองทำผิด ฉีอวิ๋นเยี่ยนรู้สึกอ่อนใจทั้งยังอยากหัวเราะอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงจ้องมองพระองค์กลับอย่างสงบ โดยไม่พูดอะไรแม้เพียงคำเดียว
คล้ายฮ่องเต้เข้าใจบางอย่างขึ้นมา จึงยกมุมปากขึ้นราวกับเยาะหยันตนเองแล้วค่อย ๆ เบือนหน้าไป พร้อมน้ำเสียงราบเรียบที่ดังขึ้นมา “เจิ้นเมาสุราจึงเลอะเลือน เกรงว่าจะกระทำเรื่องไม่เหมาะสมไป เจ้าอย่าได้ใส่ใจเลยนะ”
กลางดึกนั้นอากาศเย็น ก่อนหน้านี้ฝ่าบาททั้งเมามายทั้งได้รับลมเย็น จึงไม่แปลกที่จะเริ่มเป็นหวัดขึ้นมา น้ำเสียงฟังอุดอู้ขึ้นจมูก ชวนให้รู้สึกอึดอัดใจ
รอจนกระทั่งเครื่องประดับศีรษะถูกถอดออกจนหมดแล้ว ฝ่าบาทก็ทรงยกมือขึ้นให้นางกำนัลถอยออกไป ก่อนค่อย ๆ หันหน้ามามองเขา
พระองค์ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เขาจึงรีบเงยหน้าขึ้นกล่าวขัดด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “ดึกมากแล้ว หากฝ่าบาทไม่มีเรื่องอื่นใดจะรับสั่ง กระหม่อมก็ขอตัวพ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่าบาทคล้ายอึ้งไป กล้ำกลืนคำพูดที่ยังไม่ทันได้เอ่ย ก่อนกล่าวเสียงขึ้นจมูกว่า “ไม่มีอะไรแล้ว” เงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าวเสียงเบาว่า “กลับไปพักผ่อนเถอะ”
เขาล่าถอยออกไป ยามที่เดินผ่านวงกบประตูก็ได้ยินเสียงพระองค์ไอและสูดจมูกอย่างแผ่วเบาที่ด้านหลัง นางกำนัลถูกอีกฝ่ายไล่ออกไปเมื่อครู่นี้ ยามนี้ภายในห้องจึงไม่มีใครอยู่ เงียบจนกระทั่งสามารถได้ยินเสียงเข็มตกพื้น ยิ่งดูเงียบเหงาอย่างเห็นได้ชัด
ที่จริงแล้วต่อให้เขาปฏิเสธ หากฝ่าบาทยกฐานะฮ่องเต้มาออกคำสั่ง เขาก็ทำได้เพียงปฏิบัติตาม…แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทำ
ครั้นเดินออกมาถึงด้านนอก เขาก็หันหน้าไปกำชับนางกำนัลสองคนที่เฝ้าอยู่ว่า “พวกเจ้าไปต้มน้ำขิงเสียหน่อย พรุ่งนี้เช้าเรียกหมอหลวงมาดูด้วย ฝ่าบาทดูเหมือนจะต้องไอเย็นเข้า”
นางกำนัลรับคำเสียงเบา แล้วไปจัดการตามคำสั่ง
…………………………..
หลังจากวันนั้น เขาก็ไป ๆ มา ๆ ระหว่างซือหลี่เจียนกับตงฉ่าง หากไม่มีเรื่องที่สำคัญจริง ๆ ก็จะไม่เหยียบไปตำหนักเฉียนชิงเด็ดขาด ความตั้งใจแรกของเขาก็คือรอให้ฮ่องเต้พระทัยเย็นลงก่อน แต่ดูเหมือนว่าจะทำให้คนทั้งวังเกิดความเข้าใจผิดเสียแทน
หลายวันมานี้การที่เขาไม่ค่อยได้ไปเยือนตำหนักเฉียนชิง กลับถูกตีความว่าเขาอาจสูญเสียความโปรดปราน ไม่แน่ว่านี่จะเป็นสัญญาณที่จำต้องลงจากตำแหน่ง
การนั่งอยู่ในตำแหน่งตงฉ่างตูจู่นั้น ทำให้เขาเป็นศัตรูกับคนเกือบทั้งหมด ดังนั้นช่วงนี้เสียงฟ้องร้องกล่าวโทษจึงหวนกลับมาโจมตีเขาอีกครั้ง ทุกวันในยามออกว่าราชการช่วงเช้า ฎีกาต่อต้านเขาแทบจะกองสุมจนเต็มโต๊ะ อาจเพราะก่อนหน้านี้วิธีที่เขาใช้จัดการกลุ่มสกุลจ้าวนั้นรุนแรงเกินไป ผลกระทบจึงสะท้อนกลับมารุนแรงตามไปด้วย
ฮ่องเต้เยาว์วัยที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ไม่นานและแทบจะไม่เคยเผชิญกับความกดดันเช่นนี้ กลับยันเอาไว้โดยไม่ได้พูดสิ่งใด จากการรายงานของขันทีน้อยระดับล่าง ทุกครั้งที่มีการกล่าวโทษตงฉ่าง ซือหลี่เจียน หรือกระทั่งฉีอวิ๋นเยี่ยนโดยตรง พระองค์จะตอบกลับไปเพียงไม่กี่คำว่า “วันหลังค่อยว่ากล่าว”
ภายใต้การปกป้องและเข้าข้างอย่างชัดเจนโดยไม่สนสิ่งใดแบบนี้ ราชสำนักจึงเข้าใจพระทัยเอนเอียงของฮ่องเต้อย่างช้า ๆ ทว่าเรื่องเช่นนี้เมื่อได้เริ่มขึ้นแล้ว ก็ไม่มีทางให้ต้องถอยหลังหรือถอนตัวอีก หากไม่สามารถฉุดรั้งฉีอวิ๋นเยี่ยนลงมาได้ วันหลังจะต้องถูกแก้แค้นเป็นแน่
เมื่อขุนนางเน่ยเก๋อหลายคนร่วมผสมโรงพัดไฟให้โหม การกล่าวฟ้องร้องโทษครั้งนี้จึงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แรงกดดันของขุนนางบู๊บุ๋นในราชสำนักรุนแรงเสียจนเป็นเหตุให้ฮ่องเต้ต้องทรงล้มเลิกว่าราชการช่วงเช้า
วันนั้นขุนนางนับร้อยมารออยู่ที่หน้าประตูอู่เหมินแต่เช้าเช่นเคย ในขณะที่องค์ฮ่องเต้เสด็จออกมาจากตำหนักเฉียนชิง พระองค์กลับไม่ได้ไปที่วังหน้าเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่กลับเสด็จไปยังตำหนักเฉิงเฉียน[7] แทน แล้วปิดประตูให้ข้ารับใช้ทั้งหมดอยู่ที่ด้านนอก ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปข้างในทั้งนั้น
ในยามที่พาคนมาถึงหน้าตำหนักเฉิงเฉียน ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปใกล้ ก็มองเห็นขันทีและนางกำนัลกลุ่มใหญ่ออกันอยู่นอกตำหนัก หลังกวาดตามองดูกลุ่มคนแล้ว สายตาของเขาก็หยุดลงบนร่างของจางเต๋ออัน “ฝ่าบาทประทับอยู่ด้านในหรือ”
จางเต๋ออันพยักหน้าด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม ถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วสั่งให้ขันทีน้อยไปเปิดประตู ทว่าขันทีคนนั้นกลับไม่กล้าขัดพระบัญชาปล่อยให้คนเข้าไป เอาแต่บ่ายเบี่ยง จางเต๋ออันจึงก้าวเข้าไปผลักประตูเปิดออกด้วยตนเอง
ประตูที่ปิดสนิทส่งเสียงแอ๊ดเปิดออกเป็นช่องว่างเล็ก ๆ แสงอาทิตย์จากด้านนอกลอดผ่านเข้าไปในตำหนักอันมืดมิดราวน้ำหมึก ตกกระทบเป็นเงาแสงเส้นหนึ่งบนพื้น
ฉีอวิ๋นเยี่ยนหันหน้าไปหาหัวหน้าขันทีคนดังของตำหนักเฉียนชิงเป็นเชิงรับรู้ จากนั้นยกชายชุดเย่ซาก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปในโถงตำหนัก เยื้องย่างอย่างเชื่องช้าระมัดระวังมุ่งไปยังบัลลังก์ที่อยู่ตรงใจกลางตำหนักอันมืดสลัว พร้อมกันนั้นจางเต๋ออันที่ด้านนอกก็หันกายไปว่าตำหนิขันทีน้อยเสียงกระซิบ “เจ้าเด็กไร้สมอง มียามไหนที่เจ้าเคยเห็นฝ่าบาทกริ้วผู้ดูแลฉีบ้าง หากเขาไม่เข้าไป ถึงตอนนั้นหากฝ่าบาททรงเป็นอะไรขึ้นมา เจ้ารับผิดชอบไหวอย่างนั้นหรือ”
เสียงของจางเต๋ออันไม่ถือว่าดัง แต่ฉีอวิ๋นเยี่ยนกลับได้ยินอย่างชัดแจ้งยิ่ง ฝีเท้าจึงชะงักลงอย่างอดไม่อยู่ ครู่หนึ่งให้หลัง เขาก็หรี่ตาลง พยายามที่จะเพ่งมองผ่านความมืดไปยังร่างเงาสลัวบนบัลลังก์นั้น
ยังไม่ทันมองให้ดี เสียงแหบพร่าของฝ่าบาทก็ถามขึ้นมาอย่างแผ่วเบาจากส่วนลึกของความมืดว่า “จื่อเซิ่นหรือ”
เสียงนั้นทั้งแผ่วต่ำและอ่อนล้า ทำให้เขาก้าวเบา ๆ เข้าไปหาโดยไม่รู้ตัว แล้วหยุดลงที่เบื้องหน้าบัลลังก์นั้น “ฝ่าบาท”