ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配 - ตอนที่ 2.2
หานเซ่าจ้องมองนกคีรีบูนที่เดินเข้ามาในกรงของเขาเองด้วยใบหน้าสงบนิ่ง
เด็กสาวตรงหน้ากำลังอยู่ในช่วงวัยที่งดงามที่สุด ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกายแจ่มชัด ผิวขาวเนียนละเอียด ถึงรูปร่างหน้าตาจะมีดีแค่หกเต็มสิบคะแนน แต่เมื่ออยู่ในวัยที่มีเสน่ห์ของวัยรุ่นที่ดึงดูดสายตาแบบนี้ มันก็ช่วยขับให้เธอดูสวยหมดจด ประหนึ่งดอกกุหลาบในแปลงดอกไม้ยามเช้าตรู่ที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยหยาดน้ำค้าง ถึงจะเป็นเพียงดอกตูมรอวันผลิบานก็ยังคงดึงดูดสายตาผู้คนอยู่ดี เด็กสาววัยเยาว์มักเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่ต้องแต่งเติมอะไรบนใบหน้าก็ยังงดงามได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
เพียงแต่ไม่รู้ว่านกคีรีบูนตัวนี้จะน่ารักกว่าพี่สาวของเธอที่ดื้อด้านอย่างกับลาตายคนนั้นไหม
หานเซ่าประสานมือวางบนเข่าก่อนถามว่า “ปีนี้อายุเท่าไหร่” ท่าทางของเขาดูเป็นธรรมชาติมาก น้ำเสียงโอบอ้อมอารีฟังดูจริงใจราวกับกำลังไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบของลูกสาวเพื่อนไม่มีผิด
“สิบหกปีค่ะ อยู่ชั้นมอสี่” อวี่ฉีฉีกยิ้ม เผยให้เห็นลักยิ้มน้อย ๆ ตรงแก้มซ้าย ท่าทางของเด็กสาวดูซื่อตรงจริงใจไม่แพ้กับหานเซ่า เธอไม่ได้แสร้งออดอ้อนเอาใจ ทั้งยังไม่มีทีท่าประหม่า ดูแล้วน่ารักเป็นธรรมชาติ
หานเซ่าตอบอืมเรียบ ๆ คำหนึ่ง นัยน์ตาหงส์เรียวลุ่มลึกไม่หันกลับมามองเธออีก ยิ่งทำให้เขาดูห่างเหินเย็นชามากกว่าเดิม “เรื่องเรียนเป็นยังไง”
อวี่ฉีทำทีไม่ใส่ใจกับท่าทางการแสดงออกของเขาเลยแม้แต่น้อย ยังคงตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเคย “ก็ไม่ได้แย่ค่ะ แต่สู้พี่สาวไม่ได้”
หานเซ่าพยักหน้าแล้วไม่ถามอะไรต่ออีก ในใจกระจ่างแล้วว่าซูอวี่ฉีคนนี้ไม่เหมือนกับซูเวยเวยเลยแม้แต่น้อย เธอมีความรอบรู้เท่าทันคนอื่นต่างจากเด็กสาวคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน ราวกับเคยได้ใช้ชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน ขัดเกลาจนตัวเองกลายเป็นคนที่ทระนงตน แต่ก็ไม่หยิ่งยโส ทั้งไม่หวั่นไหวไปกับคำชมหรือคำดูถูกใด ๆ จะว่าไปแล้วเธอก็มีลักษณะคล้ายบางส่วนสมัยเขายังเป็นเด็กไม่น้อย จัดเป็นคนหนุ่มสาวที่มีความเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ซึ่งเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
จริงอยู่ที่ว่าเด็กสาวแรกรุ่นนั้นงดงามน่าดึงดูด แต่ส่วนมากจะมีนิสัยที่ไม่น่าพอใจสักเท่าไร เด็ก ๆ มักจะชอบทำตัวฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดจนพานให้เขารู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง รถก็เคลื่อนเข้าสู่เขตบ้านพักตากอากาศ แล้วจอดลงตรงหน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ในเขตนั้น
บ้านพักตากอากาศตรงหน้าเป็นบ้านสไตล์ตะวันตกเรียบง่ายขนาดไม่ใหญ่โตมาก ไม่มีกลิ่นอายของพวกเศรษฐีใหม่ที่ชวนให้อึดอัดเลย อวี่ฉีรู้สึกว่าตัวเองก็พอมีโชคอยู่บ้างเหมือนกัน
อวี่ฉีเดินเหยียบพรมหนาบนพื้นเข้าไปในห้องตามหลังหานเซ่า อุณหภูมิจากฮีตเตอร์ด้านในนั้นอบอุ่นกำลังดีราวกับอยู่ในเดือนมีนาคม
หานเซ่าเดินตรงไปยังห้องหนังสือ ระหว่างนั้นก็ฝากอวี่ฉีให้เสี่ยวโจวดูแล
เดิมทีเธอนึกว่าเสี่ยวโจวจะเป็นอย่างพ่อบ้านในตำนานกันซะอีก แต่ความจริงแล้วเขากลับไม่ได้มีความโรแมนติกตามแบบฉบับพ่อบ้านอังกฤษเอาซะเลย ชายหนุ่มผู้สุภาพหล่อเหลาคนนี้เป็นเพียงผู้ช่วยของหานเซ่าที่มีหน้าที่ดูแลกิจธุระทั้งหมดภายในบ้านหลังนี้เท่านั้น
เสี่ยวโจวพาเธอไปแนะนำส่วนต่าง ๆ ของบ้าน ท่าทีของเขาดูสุภาพมีมารยาทก็จริง แต่กลับแฝงไปด้วยความห่างเหินเย็นชา “ห้องรับแขก ห้องอาหาร ห้องครัวทั้งหมดจะอยู่ที่ชั้นหนึ่งครับ ส่วนห้องนอน ห้องอ่านหนังสือ ห้องพักผ่อน กับห้องเสื้อผ้าของคุณจะอยู่ที่ชั้นสอง ในส่วนของชั้นสามนั้นจะเป็นห้องนอน ห้องหนังสือ ห้องพักผ่อน กับห้องรับแขกของคุณหาน ชั้นหนึ่งและชั้นสองคุณสามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ แต่ถ้าหากยังไม่ได้รับคำอนุญาตจากคุณหาน ทางที่ดีห้ามขึ้นไปเหยียบชั้นสามเป็นอันขาด”
อวี่ฉีพยักหน้ารับทราบ
“ดีจริงที่คุณไม่ถามผมว่าทำไม เด็กผู้หญิงแทบทุกคนที่มาที่นี่ต้องถามผมตลอดว่าทำไมถึงขึ้นไปชั้นสามไม่ได้” เสี่ยวโจวเองก็ดูจะเป็นคนอารมณ์ขันพอตัว “ไม่ได้ก็คือไม่ได้ จะถามเหตุผลกันไปทำไมเยอะแยะ พวกเธอคงจินตนาการว่าตัวเองหลุดเข้าไปในละครสืบสวนอยู่ แล้วตรงชั้นสามน่าจะมีศพหลายศพซ่อนไว้…” เหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าเผลอพูดจาเรื่อยเปื่อยเกินไป จึงไม่ยอมเปิดปากเล่าอะไรอีก “ถ้าคุณต้องการอะไรก็มาหาผมได้ทุกเมื่อ ส่วนมื้อเย็นจะเริ่มในอีกครึ่งชั่วโมง คุณจะไปอาบน้ำก่อนก็ได้ครับ”
อวี่ฉีรับฟังคำแนะนำของเสี่ยวโจว เธอรีบอาบน้ำจนเสร็จ ก่อนจะหาชุดกระโปรงเรียบง่ายในตู้เสื้อผ้ามาสวมแล้วเดินลงไปชั้นล่าง
ในฐานะผู้อาศัยคนใหม่ ข้อห้ามที่ร้ายแรงที่สุดคือการปล่อยให้เจ้าบ้านรอ
อาหารเย็นมื้อนี้ทั้งเลิศรสและมีความละเมียดละไม แต่บรรยากาศระหว่างมื้ออาหารนั้นไม่ค่อยดีสักเท่าไร คนสองคนต่างคนต่างนั่งกินอาหารบนโต๊ะยาวเหยียด ไม่มีใครพูดคุยกันเลยแม้แต่ครึ่งประโยค บรรยากาศจึงเงียบงันและกดดันอย่างถึงที่สุด
เคราะห์ดีที่เธอคืออวี่ฉี ถ้าเป็นเด็กสาวคนอื่น การต้องมาอาศัยในบ้านที่ให้ความรู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่คุ้นเคย แถมเจ้าบ้านก็ยังไม่รู้จักเอาใจใส่แบบนี้อีก พวกเธอคงข่มตานอนไม่หลับกันสักคืนแน่
หลังอาหารเย็น หานเซ่าหยิบหนังสือเล่มหนึ่งไปที่ห้องรับแขก อวี่ฉีจึงสบโอกาสสอบถามเสี่ยวโจวที่กำลังเก็บโต๊ะอาหารอยู่ “ตอนนี้ฉันต้องทำอะไรบ้างคะ”
“คุณไปพักผ่อนเร็วขึ้นหน่อยก็ได้นะครับ”
อวี่ฉีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจไม่ทำตามคำแนะนำของเสี่ยวโจว แต่เลือกเดินไปทางห้องรับแขกที่หานเซ่าอยู่แทน
หานเซ่านั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวที่ทำจากผ้ากำมะหยี่ เสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแล็กบนตัวของเขาเรียบกริบ สองขายาวนั่งไขว่ห้างเอนตัวไปพิงด้านหลังเล็กน้อย พลางก้มหน้าอ่านหนังสือปกหนาที่อยู่ในมือข้างซ้าย ส่วนแขนข้างขวาวางพาดอยู่บนที่เท้าแขน ชายคนนี้ต่อให้ไม่พูดอะไรก็ยังแผ่กลิ่นอายสงบนิ่งน่าเกรงขามไปทั่วจนพานให้คนอื่นรู้สึกไม่กล้าเข้าใกล้
แม้จะได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอ หานเซ่าก็ยังคงอ่านหนังสือด้วยสีหน้าเฉยชาดังเดิม ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ ทั้งไม่คิดจะเงยขึ้นมามอง “ไม่ไปนอนหรือ” น้ำเสียงของเขาช่างแตกต่างกับท่าทีเย็นชา มันนุ่มนวลทุ้มต่ำสม่ำเสมอราวกับลำธารใสบนหุบเขา
อวี่ฉีเดินเข้าไปใกล้เขาอีกหลายก้าว แล้วหยุดอยู่ในจุดที่ไม่ไกลจากโซฟานัก “ฉันขอนั่งเป็นเพื่อนคุณสักพักได้ไหมคะ”
หานเซ่าเหลือบตามองเธอพลางเลิกคิ้ว ความมืดมนแผ่ซ่านอยู่ในดวงตาเรียวราวปีกหงส์สีดำ คล้ายกับว่าแสงสว่างทั้งหมดในนั้นได้อันตรธานดับสิ้นลงไปแล้ว อวี่ฉีไม่ได้ถอยหนีเมื่อจดจ้องเข้าไปในความมืดมิดนั้น แต่ก็ไม่ได้ขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิม เธอยืนนิ่งอยู่กับที่ และต้องมองเขาด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
ไม่นานหลังจากนั้น หานเซ่าก็ปิดหนังสือลงช้า ๆ ก่อนวางลงเบา ๆ ด้วยมือซ้ายที่เห็นข้อต่ออย่างชัดเจน พลางใช้มือขวากวักเรียกเธอไม่ต่างกับกำลังเรียกสุนัขพูเดิลหรือแมวสกอตติชโฟลด์สักตัว
“มานั่งสิ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลรื่นหู ที่ทำให้คนหลงคิดได้ว่าเขาเป็นคนอ่อนโยนยิ่งกว่าใคร
อวี่ฉีเดินเข้าไปตามคำสั่ง แต่กลับไม่เห็นที่ว่างที่เธอจะนั่งได้เลย หานเซ่านั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว ไม่มีตรงไหนที่เธอพอจะเบียดเข้าไปได้เลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้แสดงอาการลนลานทำตัวไม่ถูก เพียงหย่อนตัวลงนั่งบนพรมขนฟูอย่างผ่อนคลายสุด ๆ ด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ
หานเซ่าชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ยกยิ้มมุมปากบาง ๆ “ที่เธอบอกว่าจะนั่งอยู่เป็นเพื่อนฉันสักพักคือแบบนี้?”
อวี่ฉีมองรอยยิ้มที่หาได้ยากบนใบหน้าของเขา จึงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดถือสาสิ่งที่เธอทำ เธอแอบคิดในใจว่าเขาไม่เห็นจะเอาใจยากอย่างที่ซูเวยเวยบอกไว้เลย ก่อนส่งสายตาให้อีกฝ่ายเป็นเชิงถามว่า ‘ให้ไปนั่งที่อื่นไหม’
“ไม่จำเป็น” เขาเอื้อมมือวางลงบนศีรษะของเธอ ลูบไปมาแผ่วเบา นิ้วมือเรียวยาวลากไล้ตามเส้นผมสีดำของเธอด้วยท่าทีไม่ใส่ใจนัก “นั่งตรงนี้ดีแล้ว”
อวี่ฉีปล่อยให้เขาทำตามใจเงียบ ๆ สักพักก็ได้ยินเขาพูดขึ้นว่า “ผมของเธอนุ่มดี”
หลังถูกชมว่าฉลาดในครั้งที่แล้ว อวี่ฉีก็เรียนรู้ที่จะไม่แสดงรอยยิ้มออกไปหลังได้ยินคำชมจากเขาอีก ครั้งนี้เธอทำเพียงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองเขา และเฝ้ารอประโยคถัดไป
เป็นไปตามที่คาดไว้ไม่มีผิด เขาก้มลงมองเธอด้วยแววตาเฉยชา “เด็กผู้หญิงรุ่นเดียวกับเธอนี่ดูท่าจะชอบมัดผมหางม้ากันทุกคนเลยสินะ มันดูทะมัดทะแมงคล่องตัวก็จริง แต่มันทำให้เสียกลิ่นอายของเด็กผู้หญิงไป แต่ละคนอย่างกับซามูไรหญิงญี่ปุ่น น่ากลัวที่สุด” เนื้อหาบทสนทนานั้นออกทะเลไปไกล ทั้งที่น้ำเสียงของหานเซ่าออกจะนุ่มนวลก้องกังวาน แต่คำพูดคำจากลับไม่ไว้หน้าเลยสักนิด สมควรเรียกได้ว่าปากจัดไม่น้อย
อวี่ไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจเมื่อได้ยินคำพูดพวกนั้น แต่กลับยกมือขึ้นดึงยางรัดผมออกทันที
ผู้ชายที่มีอำนาจส่วนใหญ่มักชื่นชอบเด็กสาวที่เชื่อฟัง เป็นการเติมเต็มความปรารถนาของการเป็นผู้ควบคุมและออกคำสั่งคนอื่น อวี่ฉีไม่ได้รักเขา แต่เธอต้องการความรักจากเขา ดังนั้นแค่ตอบสนองตามความชอบของอีกฝ่ายให้ได้ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องอื่นอีกให้มากความ และโชคดีที่ด้วยทักษะการแสดงของเธอ แค่สวมบทเป็นเด็กสาวว่านอนสอนง่ายสักคนนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ
จังหวะที่เธอปล่อยผมให้ยาวสยายลงมานั้น หานเซ่ายังไม่ได้รั้งมือกลับไป สัมผัสเรียบลื่นเย็นเยียบราวกับเส้นไหมชั้นดีจึงพาดผ่านมือข้างหนึ่งของเขา
อวี่ฉีเงยหน้ามองเขา พร้อมรอยยิ้มที่ดูอ่อนหวานน่ามอง จนเผยให้เห็นลักยิ้มบุ๋มบนแก้มทั้งสองข้าง “ตอนนี้ใช้ได้แล้วรึยังคะ”
หานเซ่าไม่พูดอะไร เพียงโน้มตัวลงช่วยเธอจัดผมให้เป็นระเบียบเรียบร้อย สัมผัสของเขาแฝงความอ่อนโยนที่เบาบางแทบมองไม่เห็น ความอ่อนโยนที่ปราศจากอารมณ์รักใคร่นี้ไม่ใช่ความอ่อนโยนที่ชายหนุ่มมีให้กับหญิงสาว แต่คล้ายกับความรักที่ผู้ใหญ่มีให้แก่ลูกหลาน หรือความรู้สึกที่นักสะสมมีต่อของสะสมของตัวเองมากกว่า
นิ้วเรียวยาวขยับเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานก็ช่วยจัดผมยาว ๆ ของเธอจนเรียบร้อย หานเซ่าผละตัวเอนไปด้านหลังแล้วมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างค่อนข้างพึงพอใจ “อย่างนี้สวยแล้ว” น้ำเสียงแฝงไปด้วยความภูมิใจ ราวกับเขากำลังชื่นชมผลงานศิลปะที่รังสรรค์ขึ้นด้วยมือของตัวเองไม่มีผิด
อวี่ฉีเกือบหลุดขำ แต่ยังกลั้นเอาไว้ทัน เธอก็เลยตอบกลับอย่างอารมณ์ดี “ถ้าอย่างนั้นวันหลังฉันจะปล่อยผมตลอดนะคะ”
หานเซ่าพยักหน้า พลางยกหนังสือของเขาขึ้นมาอีกครั้ง เอ่ยชมอย่างค่อนข้างพึงพอใจ “ถ้าเด็กผู้หญิงทุกคนบนโลกฉลาดเหมือนเธอก็คงดี”
พูดจบเขาก็อ่านหนังสือต่อ ส่วนอวี่ฉียังคงนั่งอย่างสงบเงียบข้าง ๆ ขาของอีกฝ่ายต่อไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง หานเซ่าก็ออกคำสั่งโดยไม่เงยหน้า “ไปบอกให้เสี่ยวโจวรินกาแฟมาแก้วหนึ่ง”
อวี่ฉีลุกขึ้น ท่าทางลังเลเล็กน้อย “ดื่มกาแฟตอนกลางคืนอาจทำให้นอนไม่หลับเอานะคะ”
หานเซ่าเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะปิดหนังสือแล้วเงยหน้ามองเธอ ดวงตาหงส์เรียวยาวหรี่ลงเล็กน้อย “เธอไม่กลัวฉันเลยสินะ”
“แล้วทำไมถึงต้องกลัวล่ะคะ” อวี่ฉียิ้ม “คุณหานทั้งหล่อทั้งสง่าผ่าเผย ไม่ใช่สัตว์ร้ายที่ไหนสักหน่อยนี่คะ”
ไม่มีใครที่ไม่ชอบฟังคำยกยอปอปั้น ถ้าอยากให้ผู้ชายสักคนประทับใจก็ต้องชมให้มาก ๆ เข้าไว้
เด็กสาวชอบผู้ชายปากร้าย แต่ผู้ชายไม่แน่ว่าจะชอบเด็กสาวปากจัด สัตว์เพศผู้มักจะชื่นชอบและพอใจคำชมจากสัตว์เพศเมียมาโดยกำเนิด แต่ดูเหมือนว่าหานเซ่าน่าจะไม่ใช่ผู้ชายทั่วไปเสียแล้ว เพราะหลังจากได้ยินคำชมของเธอ เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทางภูมิใจอะไรทั้งนั้น กระทั่งรอยยิ้มพอใจบนใบหน้าก็ยังไม่มี
หานเซ่ามองเธอด้วยดวงตาไร้รอยยิ้ม “พี่สาวของเธอหลบเลี่ยงฉันอย่างกับหนีงูหนีแมงป่อง แต่เธอกลับบอกว่าท่าทางของฉันสง่าผ่าเผย?” เขาเอ่ยอย่างเย็นชา “เธอไม่ต้องเปลืองแรงหรือคิดหาวิธีมาประจบเอาใจฉันหรอก ฉันให้พี่สาวของเธอเท่าไหร่เธอก็จะได้เท่านั้น ไม่มีมากกว่าหรือน้อยกว่านั้น”
เป็นไปตามที่ซูเวยเวยบอกเอาไว้จริง ๆ ซะแล้ว ผู้ชายคนนี้นิสัยแปลกประหลาดแถมยังอารมณ์แปรปรวน อยู่ดี ๆ ก็อารมณ์เสียใส่เธอขึ้นมาดื้อ ๆ ซะอย่างนั้น
ถึงในใจของอวี่ฉีจะรู้สึกเหนื่อยใจสุด ๆ แต่ก็ยังรักษาสีหน้าความสงบนิ่งสมบูรณ์แบบไว้ได้ “พี่เป็นคนถือตัวค่ะ แต่ฉันไม่ใช่ คุณจะเอาฉันไปเทียบกับพี่ไม่ได้นะคะ” เธอหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งยิ้มน้อย ๆ ให้หานเซ่าอย่างใจเย็น “แล้วฉันก็ไม่ได้พยายามประจบเอาใจนะคะ ปกติแล้วถ้าบังเอิญได้ไปเห็นต้นท้อออกดอกสวย ๆ สักต้น ฉันก็จะชมมันว่าสวยออกมาจากใจจริงเหมือนกัน ที่ฉันชมมันเป็นเพราะความเคยชินของฉันเท่านั้นเองค่ะ”
ความเย็นชาบนสีหน้าของหานเซ่าละลายหายไปบางส่วนแล้ว แต่ความเฉยชายังไม่จางหายไปแม้แต่น้อย แรงกดดันอันเงียบงันฉายชัดอยู่ในแววตาลึกล้ำดุจมหาสมุทรยามราตรี “ฉันไม่ใช่คนหนุ่มแล้ว แต่รอบตัวเธอคงมีเด็กหนุ่มหน้าตาดีตั้งมากมาย พวกเขาก็เป็นเหมือนกันกับเธอ เต็มเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาของวัยหนุ่มสาว”
อวี่ฉีไม่กล้าพูดชมเขาอีก จึงเลี่ยงไปวิจารณ์คนอื่นแทน “เด็กผู้ชายวัยรุ่นส่วนใหญ่ทำอะไรไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักกาลเทศะ เจออะไรก็โหวกเหวกโวยวายตลอด แถมยังไม่มีความรับผิดชอบ ฉันไม่ชอบค่ะ”
สีหน้าหานเซ่าผ่อนคลายลงในที่สุด แต่น้ำเสียงยังคงไม่ค่อยดีเท่าไร “ซูอวี่ฉี ที่แท้เธอก็เป็นคนพูดจาไม่อ้อมค้อม ปากกล้าไม่เห็นหัวใครนี่เอง บางทีลับหลังฉันเธอก็คงแอบนินทาฉันแบบนี้เหมือนกันใช่ไหม”
อวี่ฉีรู้สึกว่าตอนนี้พูดอะไรไปก็ผิด จึงใช้น้ำเสียงแฝงความอ้อนวอนขอความเห็นใจโดยไม่รู้ตัว “จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกัน คุณหาน ฉันเคารพคุณมากเลยนะคะ”
ในที่สุดหานเซ่าก็เลิกกดดันเธอ เขายกมือลูบหน้าผากแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยล้าอ่อนแรง “เหมือนที่พี่สาวของเธอพูดเอาไว้ไม่มีผิดเลยสินะ ฉันน่ะเป็นคนเอาใจยาก ใช่หรือเปล่า”
อวี่ฉีเกือบตอบว่าไม่ใช่ไปแล้ว แต่เธอฉุกคิดได้ก่อนว่า เขาไม่ค่อยชอบให้ใครมาชมสักเท่าไร จึงทำได้เพียงเอ่ยตอบอย่างระมัดระวัง “ก็มีบ้างค่ะ แต่คุณหานไม่ได้น่ากลัวอย่างที่พี่บอกเอาไว้เลย”
เธอกระวนกระวายเล็กน้อย ถ้าเขาไม่พอใจคำพูดประโยคนี้ของเธอจนตัดสินใจโยนเธอเข้าตำหนักเย็นละก็ หนทางการทำภารกิจให้สำเร็จคงไกลเกินเอื้อมแน่ ๆ
แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มออกมาแทน แถมยังดูเบิกบานใจมากเสียด้วย “เธอช่างกล้าพูดจริง ๆ” เขาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะโบกมือขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ “กลับไปนอนได้แล้ว เด็กผู้หญิงอดหลับอดนอน เดี๋ยวใต้ตาจะคล้ำเอาได้”
อวี่ฉีผ่อนลมหายใจ จังหวะที่เธอกำลังจะหมุนตัวเดินกลับยังชั้นบน สายตาพลันสังเกตเห็นมือซ้ายของหานเซ่าที่เดิมวางอยู่บนหนังสือ แต่กลับเลื่อนลงมากุมท้องเยื้องขึ้นมาด้านบนบริเวณลิ้นปี่ตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ ดูแล้วไม่ใช่การกระทำโดยไม่ตั้งใจ คล้ายกำลังพยายามระงับความเจ็บปวดอยู่มากกว่า ท่าทางไม่ต่างจากตอนที่เธอปวดท้องประจำเดือนเลยแม้แต่น้อย
คงเป็นเพราะยืนตากลมหนาวนานเกินไป ไอเย็นจึงทำให้เขาปวดท้อง
อวี่ฉีกะพริบตาช้า ๆ หมุนตัวเดินไปทางห้องครัว เธอพบเสี่ยวโจวอยู่ในนั้นตามที่คาดการณ์ไว้
“มีกระเป๋าน้ำร้อนไหมคะ” เธอเดินเข้าไปหา แล้วถามเสียงเบา
เสี่ยวโจวตอบว่ามี บอกให้เธอรอสักครู่ เขาเช็ดมือทั้งสองข้างจนสะอาดแล้วหายออกไปครู่หนึ่ง ก่อนกลับมาพร้อมยื่นกระเป๋าน้ำร้อนสีฟ้าใบหนึ่งส่งให้เธอ แล้วถามเชิงรู้สึกผิด “ฮีตเตอร์อุ่นไม่พอหรือครับ อีกสักครู่ผมจะรีบไปปรับให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ อุณหภูมิกำลังดีแล้ว ขอบคุณมากเลยนะคะ” เธอผงกศีรษะให้เสี่ยวโจว เติมน้ำร้อนลงกระเป๋า จากนั้นก็เดินถือไปทางห้องรับแขก
หานเซ่านึกว่าเธอกลับขึ้นไปพักที่ห้องชั้นบนแล้ว ดังนั้นตอนที่เขาเห็นร่างของเธอเดินกลับเข้ามา จึงอดเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจไม่ได้
อวี่ฉีเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างตัวเขาเงียบ ๆ ก่อนย่อตัวลงประคบกระเป๋าน้ำร้อนบนท้องของอีกฝ่ายอย่างเบามือ แล้วเอ่ยเสียงเบาหวิว “อุ่นท้องด้วยกระเป๋าน้ำร้อน น่าจะช่วยให้รู้สึกสบายขึ้นบ้างค่ะ”
หานเซ่านิ่งงันเมื่อเห็นเธอเงยหน้ามองเขา แววตาที่มองเธอเป็นประกาย แต่กระนั้นก็ยังแฝงไปด้วยคำถามอย่างชัดเจน
เธอถามต่อ “รู้สึกดีขึ้นบ้างไหมคะ อยากให้ฉันช่วยนวดให้สักหน่อยไหม”