ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配 - ตอนที่ 4.1
ที่นี่เป็นห้องเช่าขนาดไม่ใหญ่มาก มีสองห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น ไม่รู้เป็นเพราะว่าฟ้าครึ้มหรือว่าตำแหน่งทิศทางของห้องไม่ดีกันแน่ บรรยากาศในห้องนี้จึงค่อนข้างมืดสลัว ไม่มีความหรูหราเหมือนกับหลายห้องที่เธอเคยอาศัยในการทะลุมิติครั้งก่อน ๆ เครื่องเรือนเรียบง่ายจนถึงขั้นดูวังเวง แต่ก็รักษาความสะอาดได้หมดจด บนพื้นไม่มีแม้กระทั่งเส้นผมสักเส้น นอกจากนั้นแล้วยังมีกองหนังสือหนาเป็นตั้ง ๆ กองอยู่เต็มทุกมุมห้อง ทั้งหมดเป็นตำราเฉพาะทางด้านการแพทย์ที่ซับซ้อนยากจะเข้าใจ
อวี่ฉีเดินสำรวจรอบ ๆ ห้องรอบหนึ่ง จึงพบว่ามีธนบัตรใบละร้อยหยวนสองใบถูกวางอยู่บนโต๊ะโดยมีแก้วน้ำทับไว้ ข้าง ๆ กันนั้นมีกระดานดำตั้งอยู่ อักษรตัวบรรจงถูกเขียนไว้บนนั้นแถวหนึ่งว่า ‘เงินบนโต๊ะคือค่าใช้จ่ายของสัปดาห์นี้’ อวี่ฉียืนจ้องข้อความอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปหยิบเงินเก็บใส่กระเป๋า เธอเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาในขณะที่หัวเริ่มเรียบเรียงพล็อตและความสัมพันธ์ของตัวละครในหัว
ในตอนที่ข้อมูลจำนวนมหาศาลไหลเข้าสู่สมอง อวี่ฉีก็รู้สึกหนักใจ
เนื้อหาในนิยายรอบนี้เป็นตำนานรักระหว่างพระเอกกับนางเอกที่ในหัวมีแต่เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ วัน ๆ ทำตัวอย่างกับชีวิตนี้ไม่มีอะไรนอกจากความรักอีกแล้ว ทั้งการเรียนการทำงานล้วนล่องลอยเหมือนหมอกควัน แต่ไม่ว่ายังไงงานก็คืองาน ต่อให้เป็นนิยายที่ทำให้รู้สึกน่ามองบนแค่ไหน เธอก็ต้องพร้อมเผชิญหน้ากับมันอย่างมืออาชีพให้ได้
นางเอกของนิยายเรื่องนี้มีชื่อว่า ‘หนิงชิงชิง’ เป็นนักศึกษาระดับปริญญาโทคนหนึ่ง หน้าตาสะสวย ผลการเรียนดีงาม นิสัยร่าเริงแจ่มใส เป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์ภาคภูมิใจ เธอได้รู้จักกับพระเอก ‘ฉินโม่’ ในตอนที่ไปร่วมรับประทานอาหารกับอาจารย์ที่ปรึกษา
ใช่แล้ว พวกคุณเดาได้ถูกต้อง ฉินโม่คือผู้ที่ให้เงินสนับสนุนโครงการของพวกเธอ มีความมั่นคงเป็นผู้ใหญ่ อีกทั้งยังหล่อเหลาและร่ำรวย
หลังจากฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ มาด้วยกัน ทั้งสองก็เริ่มต้องตาต้องใจกันมากขึ้น แต่แล้วหายนะที่แท้จริงก็ได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อหนิงชิงชิงพบว่า ที่ฉินโม่ดีกับเธอนั้นมีสาเหตุมาจากเธอมีหน้าตาเหมือนแฟนสาวที่ตายไปแล้วของเขาที่ชื่อฟางหว่าน หลังรับรู้ความจริงทั้งคู่ก็เข้าใจผิดกันหลายครั้ง สุดท้ายก็ทะเลาะกันจนต้องแยกทางกันไป และก้าวเข้าสู่เส้นทางยิ่งรักยิ่งแค้นอย่างไม่อาจหวนกลับนับตั้งแต่นั้น
หลังแยกทางกับฉินโม่ หนิงชิงชิงก็ได้พบกับตัวร้ายชายกู้จวินหลิง เนื่องจากเธอมีไข้ขึ้นสูงระหว่างอยู่ในหอพักจนโรคหอบกำเริบ ทางมหาวิทยาลัยจึงให้คนพาเธอไปส่งโรงพยาบาล ผลการวินิจฉัยคือเธอมีอาการของโรคหอบเรื้อรังจึงจำเป็นต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล
ผู้รับผิดชอบเคสของเธอคือนายแพทย์ประจำแผนกฉุกเฉินกู้จวินหลิง และที่บังเอิญจนน้ำเน่าก็คือ สองปีก่อนกู้จวินหลิงก็เคยตามจีบฟางหว่านเช่นกัน เมื่อเห็นหนิงชิงชิงที่มีใบหน้าคล้ายกับฟางหว่านถึงหกส่วน เขาก็อดที่จะหวั่นไหวไม่ได้
หนิงชิงชิงไม่ได้รู้เรื่องพวกนี้ แต่เพื่อประชดฉินโม่ เธอจึงเริ่มไปมาหาสู่กับกู้จวินหลิงซึ่งดูเหมือนจะสนใจในตัวเธอ กู้จวินหลิงก็ดีต่อเธอไม่น้อย ทว่าภายหลังเธอก็ได้ค้นพบความจริงว่ากู้จวินหลิงเองก็ใช้เธอเป็นตัวแทนคนอื่นเช่นกัน ทำให้เธอจากเขาไปด้วยความโกรธแค้น จึงเป็นโอกาสให้ฉินโม่พานางเอกกลับมาหาตัวเองได้อีกครั้ง
แม้พวกเขาจะเข้าหานางเอกหนิงชิงชิงด้วยเหตุผลว่าเธอมีใบหน้าเหมือนฟางหว่านทั้งคู่ แต่เพราะฉินโม่เป็นพระเอก นักอ่านเกือบทุกคนต่างเข้าใจตรงกันว่าตอนจบเขาต้องหลงรักนางเอกจริง ๆ อย่างแน่นอน จึงไม่ได้ด่าตัวละครนี้สักเท่าไร ผิดกับกู้จวินหลิงที่ไม่ได้โชคดีขนาดนั้น เพราะตามเนื้อเรื่องเขาใช้นางเอกเป็นตัวแทนผู้หญิงคนอื่นไม่พอ ยังเอาแต่ตามตื๊อเกาะติดไม่ยอมปล่อยจนกลายเป็นตัวขัดขวางเส้นทางรักของพระเอก ดังนั้นหมวกประจำตำแหน่งตัวร้ายชายจึงได้ตกลงมาบนหัวของเขาดังตุ้บ ชนิดไม่มีโอกาสให้ได้พลิกคดีอีกเลยนับตั้งแต่นั้น
ฐานะของอวี่ฉีในครั้งนี้คือฟางอวี่ฉี ลูกสาวของฟางหว่าน เพราะเธอมีความสัมพันธ์แม่ลูกกับคนที่เป็นตัวขัดขวางไม่ให้พระเอกนางเอกอยู่ด้วยกัน เธอจึงถูกโอนย้ายไปยังฝ่ายตัวร้ายโดยปริยาย
แม่ของเธอ ฟางหว่าน เป็นตัวละครหญิงที่เห็นได้บ่อยของนิยายแนวนี้ หน้าตาสะสวย แต่มีนิสัยชอบแหกคอก เธอตั้งครรภ์โดยไม่ได้ตั้งใจตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายปีที่สาม แต่กลับไม่ยินยอมทำแท้ง และเลือกที่จะหยุดเรียนหนังสือออกมาทำงานหาเลี้ยงลูกสาวแทน คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวต้องมาทำงานทั้งที่ไม่มีใบปริญญานั้นลำบากมาก หลายปีผ่านไป ปริมาณของงานและความกดดันที่มากเกินไปในแต่ละวันทำให้เธอล้มลงในที่สุด หลังจากนั้นไม่นานฟางหว่านก็จากโลกนี้ไป ทิ้งฟางอวี่ฉีวัยสิบสองปีให้กำพร้าไร้ที่พึ่งพิง
ฟางหว่านที่จากโลกนี้ไปแล้วไม่มีญาติพี่น้อง แต่กู้จวินหลิงที่ตามจีบเธอมาตลอดหนึ่งปีกลับเป็นคนที่มีรักแท้ต่อเธออย่างจริงใจ ถึงขนาดไม่สนใจคำทักท้วงของคนที่บ้าน เขาเต็มใจรับผิดชอบจนกลายมาเป็นผู้ปกครองของฟางอวี่ฉี แล้วรับเด็กหญิงวัยสิบสองปีมาเลี้ยงดูที่บ้านของตนเอง
การได้ใกล้ชิดแบบนี้ง่ายต่อการทำภารกิจให้สำเร็จก็จริง แต่แท้จริงแล้วก็ไม่ได้ง่ายถึงขนาดนั้น เพราะภารกิจในครั้งนี้มีอุปสรรคหลายจุดที่จำเป็นต้องตีฝ่าไปให้ได้
หนึ่งคือฟางหว่านผู้จากไปแล้ว แต่กู้จวินหลิงก็ยังคงมอบความรักอย่างลึกซึ้งให้แก่เธอ สองคือการปรากฏตัวของนางเอกหนิงชิงชิง สามคือฟางอวี่ฉีคนนี้ไม่ได้มีหน้าตาสวยเหมือนนางร้ายหลายคนที่เธอเคยสวมร่างก่อนหน้านี้ เธอจึงขาดคุณสมบัติในการดึงดูดผู้ชาย
อาจเพราะช่วงเวลาสิบสองปีที่ฟางอวี่ฉีอยู่กับฟางหว่านนั้นต้องอดมื้อกินมื้อ ฉะนั้นถึงเธอจะมีหน้าตาแทบไม่ต่างจากผู้เป็นแม่ แต่ร่างกายกลับเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ ตัวก็เล็กแถมยังผอมแห้งอีก มองยังไงก็เหมือนกับลูกลิงไม่มีผิด เรื่องนี้จึงโทษกู้จวินหลิงไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่เคยเกิดความรู้สึกพิศวาสกับเธอเลยทั้งที่อยู่ด้วยกันทุกวัน
แต่ถึงอย่างนั้นกู้จวินหลิงก็ถือเป็นผู้ปกครองที่มีความรับผิดชอบคนหนึ่ง ในฐานะที่เขาเป็นแพทย์ประจำแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลศูนย์ ปริมาณงานที่ต้องทำต่อวันนั้นมีมากมายมหาศาล แต่ละวันเหนื่อยจนแทบไม่อยากพูดจา ทั้งที่เป็นแบบนั้น เขาก็ยังกลับมาตรวจการบ้านของฟางอวี่ฉีและสอนเธอทำการบ้านในข้อที่เธอทำไม่ได้ทุกคืน
นอกจากนี้ถ้าทางโรงเรียนจัดงานประชุมผู้ปกครองหรือกิจกรรมขึ้นเมื่อไร ไม่ว่าจะงานยุ่งแค่ไหน เขาก็จะหาเวลาว่างมาเข้าร่วมให้ได้ ทั้งยังมาตรงเวลาตลอด และไม่เคยกลับก่อนเวลาแม้แต่ครั้งเดียว
ซึ่งหากกล่าวตามหลักและเหตุผล สำหรับเด็กกำพร้าไร้ทางไปอย่างอวี่ฉี กู้จวินหลิงคือคนเพียงคนเดียวที่ยื่นมือมาช่วยเหลือและคอยประคับประคองให้เธอมีที่ยืนในโลกใบนี้อย่างสุดกำลัง ดังนั้นเธอจึงควรที่จะพึ่งพิงเขา ศรัทธาเขา และมองเห็นเขาสำคัญที่สุดในโลกทั้งใบของเธอ
ทว่าความเป็นจริงนั้นกลับตาลปัตร หากไม่มีความจำเป็น คนทั้งสองก็จะไม่พูดจากันเลยด้วยซ้ำ เวลาที่กู้จวินหลิงมีอะไรจะบอกเธอ เขาก็จะเขียนคำพูดพวกนั้นเอาไว้บนกระดานดำเล็ก ๆ ในห้องรับแขก เส้นสายลายมืองดงาม ทว่าให้ความรู้สึกเย็นชาห่างเหินไม่ต่างกับเสื้อกาวน์สีขาวอันเย็นยะเยือกที่เขาสวมใส่อยู่เสมอ
ขณะเดียวกันฟางอวี่ฉีเองก็พยายามหลีกเลี่ยงเขาจนถึงที่สุด ต่อให้ตอนอยู่ในห้องของตัวเองจะได้ยินเสียงกู้จวินหลิงเลิกงานกลับมาบ้าน เธอก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและทำเรื่องของตัวเองต่อไป ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน แต่กลับปฏิบัติต่อกันอย่างเคารพเสมือนคนแปลกหน้าอยู่ตลอดเวลา
ต้นสายปลายเหตุอาจจะเป็นเพราะนิสัยของทั้งคู่ ถึงแม้ว่ากู้จวินหลิงภายในจะเป็นคนอ่อนโยนและมั่นคงต่อความรัก ภายนอกกลับมีสีหน้าท่าทางเคร่งขรึม ทั้งตัวของเขายังเต็มไปด้วยบรรยากาศจริงจังและเย็นชาที่บ่งบอกว่า “ฉันคือผู้มีอำนาจ” และเป็นเพราะว่างานที่ทำ เขาจึงให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพและความแม่นยำถูกต้องอย่างถึงที่สุดเสมอ จนไม่อาจยอมรับความสะเพร่าของผู้อื่นได้เลย นอกจากนี้เขายังมีนิสัยรักความสะอาดหน่อย ๆ ดังนั้นการที่เขาเข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้ จึงไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร
ฟางอวี่ฉีเองก็ไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่ไม่รู้จักการตอบแทนบุญคุณ เพียงแต่เธอได้รับสายตาดูถูกดูแคลนมาตั้งแต่เล็ก ก็เลยมีนิสัยขี้น้อยใจและค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัว เมื่อพบกับคนที่เข้าหาได้ยากอย่างกู้จวินหลิง ปฏิกิริยาแรกที่เธอแสดงออกจึงเป็นการถอยกรูดไปสามก้าว
เมื่อก่อนหลังเลิกเรียนเธอก็เคยเร่งรีบกลับมาบ้านก่อนเพื่อทำความสะอาดห้อง เพราะอยากจะช่วยแบ่งเบาภาระของกู้จวินหลิง เพียงแต่ทุกครั้งสิ่งที่เธอทำไม่เคยผ่านมาตรฐานที่เขาต้องการเลย หากมุมไหนที่เธอเช็ดไม่สะอาดหรือมีฝุ่นหลงเหลืออยู่ กู้จวินหลิงก็จะแค่รับอุปกรณ์ทำความสะอาดไปจากมือเธอเงียบ ๆ แล้วเช็ดในที่ที่ตัวเธอเช็ดไม่สะอาดซ้ำอีกรอบอย่างละเมียดละไม โดยไม่ได้กล่าวว่าเธอสักคำ
การกระทำเช่นนี้ สำหรับเด็กผู้หญิงที่มีนิสัยขี้น้อยใจอยู่เป็นทุนเดิมก็ไม่ต่างอะไรกับการถูกต่อว่าอย่างเงียบ ๆ นับแต่นั้นเป็นต้นมา ฟางอวี่ฉีจึงเข้าไปหลบอยู่แต่ในกระดอง และไม่โผล่หัวออกมาอีกเลย
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น เสียงนั้นไม่ดังมาก แต่กลับเป็นจังหวะสม่ำเสมอ รวดเร็วและหนักแน่น ไม่นานหลังจากนั้นเสียงฝีเท้าก็หยุดลงที่หน้าประตูและเงียบอยู่อย่างนั้น
อวี่ฉีรู้ได้ทันทีว่ากู้จวินหลิงกลับมาแล้ว จึงลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปยังประตูอย่างรู้หน้าที่
สีของท้องฟ้าบ่งบอกว่าเข้าช่วงสาย ๆ แล้ว ภายในห้องก็ไม่ได้เปิดไฟ ตอนที่ประตูห้องถูกเปิดออก แสงสีเหลืองจากระเบียงทางเดินจึงส่องเข้ามา และเพราะว่าย้อนแสง อวี่ฉีจึงไม่สามารถมองเห็นหน้าตาของฝ่ายตรงข้ามได้ชัดเจนนัก แต่ยังพอมองออกว่ารูปร่างของเขาผอมสูงและมีช่วงขาเรียวยาว
กู้จวินหลิงยืนตัวตรงอยู่ที่ประตู เขามองมายังเธอจากตำแหน่งที่สูงกว่าโดยไม่ได้เอ่ยวาจาใด ๆ
เมื่ออวี่ฉีจะเริ่มเอ่ยปาก เขาก็ยื่นมือมากดสวิตช์เปิดไฟบนผนังห้อง แสงไฟสีขาวสว่างขึ้นทิ่มแทงสายตาอย่างกะทันหัน สาดลงกระทบใบหน้าของคนทั้งคู่
หน้าตาของกู้จวินหลิงไม่ได้เคร่งขรึมเหมือนบุคลิกของเขา กลับกัน หน้าตาของเขานั้นดูงดงามสบายตา ร่างกายผอมสูง องคาพยพล้วนดูดี หากบนร่างสวมเสื้อเชิ้ตลายสกอตแล้วละก็ คงจะสวมรอยเป็นนักศึกษาปีหนึ่งได้เลยทีเดียว
เขามีดวงตาเรียวยาวลึกล้ำ แว่นตากรอบสีทองวางอยู่บนสันจมูก ใบหน้าได้รูป ปลายคางเกลี้ยงเกลาหมดจด บวกเข้ากับผิวขาว ๆ ของเขา ทำให้ทั่วทั้งร่างปกคลุมไปด้วยบรรยากาศของบัณฑิต แต่กลับไม่เหมือนพวกผู้ชายเนิร์ด ๆ คลั่งตำราเรียน เพราะบนร่างของเขายังมีอำนาจและบารมีของนักวิชาการอีกด้วย
ถ้าหากเปรียบวงการของเขาเป็นสนามรบ คุณจะรู้สึกได้ไม่ยากว่าเขาไม่ใช่จ้าวคว่อ[1] ที่รู้จักแต่การรบบนแผ่นกระดาษ เชี่ยวชาญศึกพิชัยสงคราม แต่ใช้รบจริงไม่ได้ ขณะที่กู้จวินหลิงนั้นนับเป็นแม่ทัพมากทักษะความสามารถที่ผ่านประสบการณ์ในสมรภูมิมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วต่างหาก
เขามองอวี่ฉีด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก เดินตัวตรงเฉียดผ่านข้างกายเธอเข้ามา หลังจากเปลี่ยนรองเท้าแล้ว สายตาก็กวาดมองบนโต๊ะกินข้าวที่สะอาดหมดจดอย่างรวดเร็ว แล้วหันหน้ามามองเธอ “เธอยังไม่ได้กินข้าวเย็น?”
อาจเป็นเพราะว่าได้รับการสั่งสอนมาดี เสียงพูดของเขาเองก็แผ่วเบาไม่รบกวนผู้อื่นเช่นเดียวกับฝีเท้าของเขา แต่กลับกระจ่างชัดมาก ทั้งยังมีความเยือกเย็นและตรงไปตรงมา
ถ้าหากอยู่ในสถานการณ์อื่น อวี่ฉีอาจจะหยิบยกประโยค ‘หนูกำลังรอคุณ’ มาเป็นคำตอบ แต่ครั้งนี้เธอต้องแสดงเป็นฟางอวี่ฉีซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงมีปมด้อยและเก็บตัว ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงยิ้มอย่างเอียงอายโดยไม่พูดอะไร
ด้วยนิสัยอย่างเขา กู้จวินหลิงแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ค่อยพูดมาก เมื่อเห็นเธอยิ้ม ก็ถือว่าเป็นการยอมรับโดยไม่เอ่ยปาก เขาจึงหันกลับไปเปิดประตูตู้เย็น หยิบกล่องถนอมอาหารหลายกล่องออกมา อุ่นอาหารเหล่านั้นแล้วนำขึ้นโต๊ะอย่างรวดเร็ว
อวี่ฉีไปหยิบตะเกียบในห้องครัวอย่างรู้ความ หลังกลับมาที่โต๊ะก็ยื่นคู่หนึ่งส่งให้เขา แต่กู้จวินหลิงกลับขมวดคิ้วไม่ได้รับไป เขาหมุนตัวไปหยิบมาใหม่อีกหนึ่งคู่แทน จากนั้นจึงลากเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง
เธอชะงัก ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าเขาเป็นโรครักความสะอาด
เท่าที่เธอรู้ คนที่เป็นโรครักความสะอาดโดยทั่วไปเป็นพวกคลั่งความสมบูรณ์แบบอย่างสุดโต่ง พื้นฐานจากครอบครัวนั้นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะส่วนใหญ่คนที่เป็นโรคนี้มักได้รับการเลี้ยงดูอย่างเข้มงวด คร่ำครึ และไม่ได้รับความเอาใจใส่ที่มากพอจากครอบครัว ดังนั้นพวกเขาที่ถูกเลี้ยงดูเช่นนี้จึงมีนิสัยระเบียบจัด หัวโบราณ อีกทั้งยังดื้อรั้นจนเกินควร ทำให้ขาดมนุษยสัมพันธ์และความยืดหยุ่นไป พวกเขาเคยชินกับการกะเกณฑ์ทุกสิ่งทุกอย่างให้มีระเบียบแบบแผนเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การพักผ่อน หรือสุขอนามัย ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ของกู้จวินหลิงในตอนนี้มาก
ทว่าจุดประสงค์ที่อวี่ฉีมานั้นไม่ใช่เพื่อขัดเกลานิสัยที่เกือบผิดปกติของเขา แต่เพื่อทำให้เขาตกหลุมรักต่างหาก ดังนั้นเธอควรพยายามที่จะตอบสนองข้อเรียกร้องและมาตรฐานอันสูงส่งของเขาดีกว่า
คิดถึงตรงนี้ เธอก็ได้สติกลับมา เริ่มพยายามกินผักและเนื้อให้มาก ร่างกายนี้แม้จะขาดสารอาหารอย่างเห็นได้ชัด แต่หน้าตาก็ยังถือว่าพอใช้ได้ เพียงแค่ต้องขุนให้มากสักหน่อย เพิ่มน้ำหนักอีกสักนิด และหมั่นดูแลผิว ก็น่าจะเป็นสาวสวยคนหนึ่งได้เหมือนกัน
เพราะคนทั้งสองไม่พูดอะไรกันเลยสักคำ อาหารมื้อนี้จึงเงียบกริบและผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังกู้จวินหลิงวางตะเกียบลง ลุกขึ้นเก็บโต๊ะ อวี่ฉีจึงรีบลุกขึ้นยืน “ให้หนูทำเองนะคะ คุณอาไปพักผ่อนเถอะ”
ตอนฟางอวี่ฉีอายุสิบสอง ได้พบกู้จวินหลิงเป็นครั้งแรก ก็เรียกเขาว่าคุณอา ถึงตอนนี้ก็ยังเรียกเขาว่าคุณอาอยู่เหมือนเดิม
กู้จวินหลิงกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน เก็บทุกอย่างด้วยความรวดเร็วแล้วเดินไปยังห้องครัว แต่ดูเหมือนว่าจะเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างเข้าจึงชะงักไปเล็กน้อย เขาหยุดเท้าลง ก้มศีรษะลงมองรองท้องแตะคีบสีน้ำเงินที่เท้าของอวี่ฉี ก่อนที่จะขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “อย่าใส่รองเท้าแบบนี้อีก ใส่นาน ๆ เท้าจะผิดรูปได้”
อวี่ฉีเพิ่งมาถึงที่นี่เป็นวันแรก รองเท้าคู่นี้จึงเป็นรองเท้าที่ฟางอวี่ฉีคนเดิมซื้อมาเอง แต่ไม่ว่าอย่างไร หม้อดำ[2] ใบนี้ถึงจะไม่อยากแบกก็ต้องแบกเอาไว้ หลังจากอึ้งไปเธอก็รีบรับคำ
รอจนกู้จวินหลิงล้างจานเสร็จแล้วกลับมา เท้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นรองเท้าผ้าหลวมสบายคู่หนึ่ง เขาใช้ใบหน้าไร้อารมณ์มองเธอเงียบ ๆ ก่อนจะใช้น้ำเสียงเฉยเมยถามเรื่องอื่น “ทำการบ้านเสร็จแล้วหรือยัง”
อวี่ฉีจึงเพิ่งนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ในข้อมูลที่บันทึกไว้ไม่ได้มีรายละเอียดถึงจุดนี้ เธอยังไม่รู้ว่าฟางอวี่ฉีคนเดิมนั้นได้ทำการบ้านเสร็จแล้วหรือยัง ดังนั้นจึงทำได้แค่รับมือด้วยการนิ่งเงียบ
โชคดีที่กู้จวินหลิงไม่ใช่คนพูดมากเช่นกัน เห็นเธอไม่ตอบคำถามก็ไม่ได้ไล่ถามต่อ เพียงแต่เดินนำไปยังห้องของเธอ อวี่ฉีจึงรีบตามไป
ความจริงในสมุดการบ้านตรงหน้าพิสูจน์ได้ว่าฟางอวี่ฉีเป็นเด็กดีคนหนึ่ง เพราะว่าบนนั้นเขียนคำตอบไว้เต็มพรืด นอกจากนั้นก็มีอยู่สองสามข้อซึ่งมองดูแล้วค่อนข้างยากถูกเว้นว่างเอาไว้
เพราะเป็นการบ้านที่อาจารย์ให้เสริมมา จึงไม่มีเฉลยคำตอบมาด้วยกัน กู้จวินหลิงจึงหยิบสมุดการบ้านของเธอขึ้นมาแล้วเริ่มตรวจ เขาทำตัวประหลาดมาก ไม่ยอมนั่งลง กลับเอาแต่ยืนอยู่ที่ข้างโต๊ะหนังสือพลางใช้นิ้วเรียวไล่ชี้เบา ๆ ไปตามสิ่งที่เธอเขียนทีละบรรทัด เมื่อพบจุดที่จำเป็นต้องคำนวณ เขาคิดในใจเพียงสองวินาทีก็ได้คำตอบโดยไม่ต้องใช้เครื่องคิดเลขหรือกระดาษมาทดใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าคำตอบถูกก็ผ่านเลยไป ถ้าตอบผิดจะใช้ดินสอขีดเครื่องหมายกำกับไว้ที่ข้างหัวข้อ จากนั้นจึงตรวจดูข้อต่อ ๆ ไปต่อ
ผ่านไปเพียงไม่กี่นาที กู้จวินหลิงก็ตรวจการบ้านส่วนนี้เสร็จ เขาหันหน้ามามองอวี่ฉีที่ยังคงยืนอย่างเรียบร้อยอยู่ด้านหลังของตนเอง ก่อนขมวดคิ้วมุ่นและใช้สายตามองไปทางเก้าอี้ “นั่งลง”
“คุณอานั่งเถอะค่ะ หนูยืนดีกว่า” ไม่ว่าจะเป็นการอบรมของบ้านไหน ไม่มีเสียหรอกที่จะให้ผู้อาวุโสยืนเมื่อยอยู่ด้านข้าง ส่วนผู้เยาว์ได้นั่งอย่างสบาย ๆ
กู้จวินหลิงมองเธอแวบหนึ่ง จากนั้นจึงยืนอธิบายให้เธอฟัง วิธีคิดละเอียดรอบคอบ แสดงออกอย่างสั้นกระชับได้ใจความด้วยสีหน้ามั่นคงเยือกเย็น พูดเพียงสองสามคำก็ชี้ตรงจุดได้แล้ว ทำให้เกิดความรู้สึกน่าเลื่อมใสในชั่วพริบตา
หลังเอ่ยจบ เขาก็เอียงศีรษะหันมามองเธอ “เข้าใจแล้วหรือยัง”
อวี่ฉีพยักหน้า กู้จวินหลิงกลับยังคงมองเธอ ถึงแม้ว่าในตอนนี้บนใบหน้าของเขาจะไร้อารมณ์ความรู้สึก แต่ก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังสงสัย
เป็นไปตามคาด วินาทีต่อมาเขาก็กวาดสายตามองดูโจทย์แวบหนึ่ง หาข้อที่มีวิธีทำแบบเดียวกันแล้วชี้ให้เธอดู “ทำข้อนี้ให้ดูหน่อย”
อวี่ฉีรู้สึกอยากจะขำ แต่จำต้องอดกลั้นเอาไว้ แล้วลงมือทำโจทย์อย่างตั้งอกตั้งใจ เธอยืนก้มอยู่ข้างโต๊ะจึงเขียนไม่ถนัดเท่าไร แต่ดีที่เธอทำได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เสร็จ
กู้จวินหลิงมองดูขั้นตอนการแก้โจทย์ของเธอมาโดยตลอด แม้ใบหน้าของเขาจะเรียบเฉย ทว่าแววตานั้นกลับเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รอจนเธอวางปากกาลง เขาก็มองเธอด้วยความประหลาดใจ
อวี่ฉีตั้งใจสบตาเขาที่สีหน้าไร้ความรู้สึก “มีอะไรรึเปล่าคะ”
กู้จวินหลิงกลับคืนสู่ความสงบเยือกเย็นในทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นอย่างมาก “ไม่มีอะไร ความสามารถในการทำความเข้าใจของเธอพัฒนาขึ้นแล้ว” ถึงแม้ว่าน้ำเสียงและสายตาขณะที่เอ่ยคำพูดนี้ล้วนไม่ต่างไปจากยามปกติ แต่ไม่รู้มีตรงไหนที่มันทะแม่ง ๆ เหมือนก่อนหน้านี้เขาดูถูกเธออยู่
ก็เพราะมีตัวปลอมบางคนที่ดันเข้าใจไปหมดซะทุกอย่างโดยไม่จำเป็นต้องสอน ดังนั้นการสอนที่ปกติมักกินเวลาถึงชั่วโมงกว่า วันนี้กลับใช้เวลาสอนไปเพียงครึ่งชั่วโมงก็เสร็จแล้ว กู้จวินหลิงยืนด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกอยู่ข้างโต๊ะครู่หนึ่ง พลางมองอวี่ฉีราวกับยังข้องใจอยู่ ทว่าสุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ในขณะที่เดินออกจากห้องก็ยังไม่ลืมช่วยเธอปิดประตูให้เรียบร้อย
[1] จ้าวคว่อ ขุนนางรัฐจ้าวซึ่งมีชื่อเสียง ถูกกล่าวถึงในสงครามฉางผิงระหว่างรัฐฉินกับรัฐจ้าว เชี่ยวชาญศึกพิชัยสงคราม แต่รบจริงไม่ได้ เปรียบกับคนที่เก่งแต่ทฤษฎี ไม่เก่งปฏิบัติ
[2] หม้อดำ มาจากสำนวนจีน แบกหม้อดำ แปลว่า แพะรับบาป
———————————————