ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配 - ตอนที่ 8.1 (เล่มสอง)
เซียวอี้ 1
ตอนที่อวี่ฉีตื่นขึ้นมา สถานที่เริ่มต้นของเธอไม่ได้อยู่บนเตียงตามสูตรสำเร็จทั่วไปเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา ตัวเธอในตอนนี้ไม่ได้อยู่ทั้งในห้องหรือบนถนนด้วยซ้ำ แต่กลับอยู่ในห้องกระจกที่ปิดกั้นไว้อย่างมิดชิดแน่นหนาห้องหนึ่งแทน ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในชุดหมีผ้าฝ้ายสีขาวทรงแปลกตาอีกด้วย
ต่อให้มีความรู้รอบด้านจากการผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน เธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ เริ่มเรียบเรียงข้อมูลที่ได้รับมาในสมอง
ครู่ถัดมา อวี่ฉีก็เข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบันของตัวเอง
เซตติ้งของนิยายเล่มนี้คือเหตุการณ์ในยุควันสิ้นโลก ซึ่งมีเนื้อเรื่องแนวเดียวกับภาพยนตร์ ‘Resident Evil’ อวี่ฉีในตอนนี้ต้องสวมบทบาทเป็น ‘เหออวี่ฉี’ ร่างทดลองมนุษย์เหมือนกับ ‘อลิซ’ นางเอกของภาพยนตร์เรื่องนั้น แต่จุดยืนของสองตัวละครนี้กลับต่างกัน อลิซคือฮีโร่ที่ถล่มบริษัทอัมเบรลลา คอร์ปอเรชั่น จนราบเป็นหน้ากลอง แต่เหออวี่ฉีนั้นหลังจากองค์กรที่สร้างไวรัสถูกทำลายจนย่อยยับลงแล้ว กลับใช้ทักษะการต่อสู้อันแข็งแกร่งของตัวเองออกอาละวาดในโลกที่ใกล้จะล่มสลาย ซ้ำยังมองชีวิตคนอื่นเป็นผักปลา
อันที่จริงเธอไม่เคยมีประสบการณ์ในการเล่นบทบาทนี้มาก่อน นางร้ายที่เธอเคยแสดงก่อนหน้านี้ต่อให้แรงหรือร้ายแค่ไหน ก็ร้ายด้านจิตใจและสามัญสำนึกเท่านั้น แต่ครั้งนี้เธอกลับต้องแสดงออกผ่านการใช้กำลัง
ทว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ทำอาชีพนี้มาก็หลายปีแล้ว เธอกลับไม่มีโอกาสได้ฝึกร่างกายสักเท่าไร จากประสบการณ์ที่พบเจอมามากมาย มีไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่จะมีประสบการณ์การต่อสู้ เธอจึงแค่พอจะรู้จักศิลปะการต่อสู้มากกว่าเด็กสาวทั่วไปไม่กี่ท่าเท่านั้น ซึ่งมันไม่เพียงพอที่จะใช้ป้องกันตัวในยุควันสิ้นโลกที่เต็มไปด้วยวิกฤติรอบด้านได้อย่างแน่นอน
เหออวี่ฉีเป็นหนึ่งในสามร่างทดลองรุ่นแรกที่องค์กรฟูมฟักเลี้ยงดูขึ้นมา ถือเป็นร่างทดลองที่มีฝีมือและพลังทำลายล้างที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาร่างทดลองทั้งหมด การรับมือกับยุควันสิ้นโลกน่าจะง่ายขึ้นมากทีเดียว
เมื่อเข้าใจสถานการณ์ที่ต้องเผชิญในปัจจุบันแล้ว อวี่ฉีก็เริ่มเรียบเรียงข้อมูลส่วนอื่นต่อ และพบว่าคู่พระ-นางในนิยายเรื่องนี้เป็นเพื่อนสมัยเด็กที่เติบโตมาด้วยกัน พวกเขาคอยช่วยเหลือประคับประคองกันและกัน ดิ้นรนต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดท่ามกลางยุคของผู้เสื่อมทรามที่คุณธรรมนั้นไม่มีความหมายใด ๆ
หากเทียบกับนิยายวันสิ้นโลกเรื่องอื่น ๆ แล้ว นิยายเรื่องนี้ถือว่าดูสมจริงมากกว่า เพราะไม่มีของจำพวกมิติพกพาหรือพลังพิเศษ อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงด้านมืดและด้านที่งดงามของมนุษย์ไปพร้อมกันด้วย
ทว่าต่อให้เหออวี่ฉีจะเก่งแค่ไหน อย่างมากก็เป็นแค่สัตว์ประหลาดชั้นสูงเท่านั้น ยังเทียบกับ ‘เซียวอี้’ บอสใหญ่ที่เป็นวายร้ายตัวจริงในนิยายเรื่องนี้ไม่ได้เลยสักนิด
สิบห้าปีหลังจากวันสิ้นโลกที่ไวรัสได้แพร่กระจายไปทั่วมาเยือน ในระยะเวลาสั้น ๆ ฐานทัพผู้รอดชีวิตที่ใช้โค้ดเนมว่า ‘อี’ ก็ซุ่มพัฒนาตัวเองและขยายอิทธิพลจนกลายเป็นฐานทัพขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ได้เสพสุขกับเสบียงจำนวนมหาศาลและกองกำลังที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้ายิ่งกว่าใคร
และกองทัพที่ว่ามานั้นก็ถูกก่อตั้งโดยน้ำมือ ‘เซียวอี้’ เพียงผู้เดียว
ที่มาของผู้ชายคนนี้เป็นปริศนาลึกลับที่ไม่มีใครล่วงรู้ ชื่อเสียงของเขาเป็นที่เลื่องลือนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน ไม่ว่าจะนิสัยอันโหดเหี้ยม ความคิดแยบคายลึกล้ำ แผนการที่รุนแรงเด็ดขาด รูปแบบการปฏิบัติการที่เต็มไปด้วยกลยุทธ์และอุบายเจ้าเล่ห์ รวมไปถึงความแข็งแกร่งที่ไม่มีใครเทียบได้ และความสามารถของผู้สั่งการที่โดดเด่น
ไม่มีใครรู้เลยว่าทักษะความสามารถทั้งหมดทั้งมวลของเซียวอี้นั้นได้มาจากไหน แต่ยังไงก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เขาคือผู้ก่อตั้งและควบคุมจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ในยุคบั้นปลายของวันสิ้นโลกซึ่งเหลือเพียงพื้นที่รกร้าง และได้สร้างตำนานที่ไม่มีใครสามารถก้าวขึ้นมาได้
ฐานทัพอีที่เซียวอี้ก่อตั้งขึ้นนั้นแตกต่างจากฐานทัพอื่นที่คอยจัดหาที่หลบภัยให้ผู้รอดชีวิต เพราะที่นี่ไม่เคยคุ้มครองใครหน้าไหนทั้งสิ้น ฐานทัพนี้จะเลือกรับแต่ผู้รอดชีวิตที่มีทักษะการต่อสู้เป็นเลิศ หรือไม่ก็มีความสามารถระดับหัวกะทิในแต่ละสาขาอาชีพเท่านั้น อีกทั้งยังเพิกเฉยไม่คิดจะดูแลใส่ใจเด็ก สตรี คนอ่อนแอ หรือคนชราเลยแม้แต่น้อย
นอกจากนี้เซียวอี้ยังถึงขั้นนำคนใต้บังคับบัญชาออกปล้นเสบียงและอุปกรณ์จากฐานทัพอื่นอยู่บ่อยครั้ง ช่วงชิงความหวังในชีวิตของผู้อื่นตามอำเภอใจ เรียกว่าทำได้ทุกอย่างเพื่อเป้าหมายจริง ๆ
แต่ในความเป็นจริง เซียวอี้เองก็เป็นหนึ่งในร่างทดลองที่องค์กรสร้างขึ้นมาเช่นกัน
เหออวี่ฉีเป็นร่างทดลองรุ่นแรกที่มีทักษะด้านการต่อสู้แกร่งกล้าที่สุด ส่วนเขาคือร่างทดลองรุ่นที่เก้า ซึ่งมีประสิทธิภาพด้านสมองดีที่สุด แล้วยังเป็นร่างทดลองรุ่นสุดท้ายอีกด้วย
ในตอนที่องค์กรสร้างร่างทดลองรุ่นแรกขึ้นมา พวกเขาก็พบจุดที่เป็นปัญหา นั่นคือความสามารถด้านการต่อสู้กับสติปัญญาของร่างทดลองนั้นจะแสดงออกมาเป็นสัดส่วนที่ตรงกันข้ามกัน ร่างทดลองรุ่นแรกจะมีพลังในการทำลายล้างมหาศาล ทว่ารู้จักแต่การทำภารกิจตายตัว ยืดหยุ่นไม่เป็น จึงไม่สามารถตอบสนองความต้องการขององค์กรได้ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เกิดร่างทดลองรุ่นที่สอง รุ่นที่สามต่อมาตามลำดับ
จนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่ร่างทดลองรุ่นของเซียวอี้ถือกำเนิดขึ้นมา ประสิทธิภาพด้านสมองของพวกเขาก็พัฒนาจนเกินขีดจำกัดของมนุษย์ไปแล้ว ทั้งยังเหนือกว่าขีดจำกัดที่องค์กรจะสามารถควบคุมได้อีกด้วย
องค์กรได้สรรค์สร้างปีศาจขึ้นมาเองกับมือ แต่กลับไม่มีความสามารถเพียงพอจะควบคุมพวกเขาเอาไว้ สุดท้ายจึงถูกทำลายย่อยยับภายใต้ความร่วมมือระหว่างร่างทดลองรุ่นที่เก้าสองคน
อวี่ฉีมายังโลกนี้ได้ถูกจังหวะสุด ๆ เธอมาในตอนรุ่นที่เก้าทั้งสองคนกำลังร่วมมือกันทำลายระบบรักษาความปลอดภัยของฐานปฏิบัติการวิจัยพอดิบพอดี
ระบบรักษาความปลอดภัยที่กักขังร่างทดลองเอาไว้หยุดทำงานแล้ว นั่นแปลว่าสิ่งที่กักขังปีศาจร้ายได้หายไปแล้วเช่นกัน บรรดาเจ้าหน้าที่และนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายร้อยชีวิตไม่ว่าจะเด็กหรือแก่ จะถูกพวกร่างทดลองที่ล้มเหลวไร้สติสัมปชัญญะจำนวนมหาศาลฉีกทึ้งร่างจนกลายเป็นชิ้นเนื้อนับไม่ถ้วนในอีกไม่ช้า
ระบบรักษาความปลอดภัยซึ่งขังร่างทดลองที่ล้มเหลวพวกนั้นเอาไว้เป็นระบบระดับต่ำสุด จึงถูกทำลายลงเป็นอันดับแรก แล้วค่อย ๆ ไล่ไประดับสูงขึ้น โดยกำหนดระดับความอันตรายจากรุ่นที่เก้าไปยังรุ่นแรกตามลำดับ ดังนั้นอวี่ฉีจึงต้องรออยู่ถึงห้านาทีกว่าสัญญาณเตือนภัยสีแดงจะดังขึ้นพร้อมห้องกระจกที่ค่อย ๆ เปิดออกอย่างช้า ๆ
ตามบันทึกของข้อมูล หลังจากระบบรักษาความปลอดภัยพังทลายลงหนึ่งชั่วโมงแล้ว ฐานปฏิบัติการวิจัยก็จะปิดตายตลอดกาล ดังนั้นภายในห้าสิบห้านาทีที่เหลืออยู่ เธอต้องหาเซียวอี้ให้พบแล้วพาเขาออกไปจากฐานปฏิบัติการให้ได้
ตำแหน่งที่เธออยู่ตอนนี้คือชั้นใต้ดินที่เจ็ด ส่วนเซียวอี้อยู่บริเวณศูนย์ควบคุมของฐานปฏิบัติการวิจัยใต้ดินชั้นสิบห้า
เมื่อกระจกกั้นเปิดออกได้เพียงครึ่งหนึ่ง อวี่ฉีก็รีบกระโจนผ่านช่องว่างตรงกลางนั้นออกไปด้านนอกทันที
ด้วยศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของร่างกายนี้ เธอจึงบุกทะลวงฝ่าอุปสรรคกีดขวางชั้นแล้วชั้นเล่าอย่างรวดเร็วจนมาถึงชั้นใต้ดินที่สิบห้าได้ในที่สุด
ระหว่างที่เคลื่อนตัวผ่านทางเดินสีขาวเงิน อวี่ฉีไม่ได้สนใจไฟเตือนภัยสีแดงส่องวูบวาบและเสียงเตือนภัยเสียดแก้วหูดังกึกก้องอื้ออึงไม่หยุดนั้น เธอเหยียบลงบนพื้นโลหะที่สะอาดเรียบเนียน ก้าวฉับไวเข้าไปในห้องศูนย์ควบคุมข้อมูลของฐานปฏิบัติการ
ภายในนั้นเป็นห้องโถงโล่งกว้าง กลางห้องมีจอฐานข้อมูลสามมิติปรากฏตัวเลขและตัวอักษรสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนกะพริบสลับไปมา บนแท่นสีขาวข้างกันนั้นมีเด็กสองคนอายุราวสิบเอ็ดสิบปีสองสวมชุดหมีผ้าฝ้ายสีขาวแบบเดียวกันอยู่
ใช่แล้ว…ขณะนี้ยุคสมัยสิ้นโลกเพิ่งจะมาเยือนเท่านั้น ยังเหลือเวลาก่อนการก่อตั้งฐานทัพอีอยู่อีกสิบห้าปี หรือพูดอีกอย่างก็คือเซียวอี้ในตอนนี้ยังไม่ใช่ตำนานอันยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวอะไรทั้งสิ้น เขายังเป็นแค่เพียงผลงานชิ้นเอกรุ่นที่เก้าขององค์กร…เป็นเด็กชายอายุราว ๆ สิบเอ็ดสิบสองปีคนหนึ่งเท่านั้น
อวี่ฉีเคยจินตนาการสถานการณ์ต่าง ๆ ที่มีโอกาสเกิดขึ้นหลายรูปแบบ ทั้งกรณีที่เซียวอี้หลบหนีออกไปได้แล้วในตอนที่เธอตามมาถึง หรือไม่ก็เขาอาจจะถูกร่างทดลองที่ล้มเหลวจนสูญเสียความนึกคิดพวกนั้นทำร้ายจนบาดเจ็บ และยังมีกรณีอื่น ๆ อีกมากมาย แต่เธอกลับไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะได้มาเห็นฉากแบบนี้เข้าให้
แอ่งเสือดสีเข้มที่น่าพรั่นพรึงค่อย ๆ แผ่กระจายบนแท่นยกพื้นสีขาวเย็นยะเยือก โดยมีเด็กสาวผมบลอนด์ตาสีฟ้านอนหงายอยู่บนนั้น นัยน์ตาของเธอเลื่อนลอย ตรงกลางต้นคอที่ดูบอบบางและนุ่มนิ่มนั้นมีปากแผลเลือดอาบเปิดกว้างน่าสยดสยองอยู่แผลหนึ่ง ฟองเลือดล้นทะลักออกมาจากลำคอไม่ขาดสาย
มีโลหะอาบเลือดชิ้นหนึ่งหล่นอยู่ข้างมือเด็กชายที่กำลังคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ไม่ห่างจากเด็กสาว บนแก้มขาวเนียนของเขาเปรอะเปื้อนคราบเลือดที่กระเซ็นมาจากลำคอของร่างที่นอนนิ่งไม่ไหวติง อวี่ฉีมองหน้าเด็กชายคนนั้น แต่เธอก็มองไม่เห็นความโหดเหี้ยมอำมหิตใด ๆ เจือปนในสีหน้าของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
ดวงหน้าอ่อนเยาว์ได้รูปนั้นถูกเส้นผมสีเข้มประหนึ่งหยกสีดำบดบังไปกว่าครึ่ง ตัดกับชุดหมีสีขาวสะอาดหมดจดแม้กระทั้งฝุ่นสักนิดยังไม่มี ขับเน้นให้เด็กคนนี้ดูบริสุทธิ์งดงามอย่างถึงที่สุด ไม่ต่างกับสาวกผู้ศรัทธาที่กำลังคุกเข่าอย่างเงียบงันต่อหน้าแท่นประทับรูปปั้นเทพเจ้า
คำพูดพวกนี้อาจจะดูเกินจริงไปบ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ถึงตัวร้ายคนนี้จะมีจิตใจเหมือนมารร้าย ทว่าเปลือกนอกนั้นไม่ต่างอะไรกับเทพบุตรจุติลงมา
เธอเคยผ่านประสบการณ์และเรื่องราวต่าง ๆ มามากมาย เพราะงั้นถึงไม่ต้องถาม อวี่ฉีก็เข้าใจจุดประสงค์ที่เขาทำแบบนี้…เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ บนโลกใบนี้ สติปัญญาของมนุษย์ทดลองรุ่นที่เก้าสองคนนั้นถือว่าอยู่ในจุดสูงสุด พวกเขามีความสามารถที่สูสีกันจนไม่อาจรู้แพ้รู้ชนะได้ ต่อให้ตอนนี้จะไม่กำจัดอีกฝ่าย ถึงอย่างไรในวันข้างหน้าก็ต้องมาเผชิญหน้ากันอยู่ดี
การเข้าใจว่าเขากำลังขจัดปัญหายุ่งยากในอนาคตนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่จะเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นคนละเรื่องกัน อวี่ฉีขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า “ยังเหลือเวลาอีกราวสี่สิบนาที ประตูทางออกก็จะปิดลงอย่างถาวร”
เซียวอี้ลุกขึ้นยืนช้า ๆ ก่อนจะเดินอ้อมจากข้างศพของเด็กสาวมาอย่างไม่ยินดียินร้าย ทุกการเคลื่อนไหวของเขาคล้ายกับผ่านการคำนวณที่แม่นยำที่สุดมาก่อนแล้ว แต่ละท่วงท่าสง่างามสมบูรณ์แบบจนเทียบได้กับชนชั้นสูงในยุโรปยุคกลาง
เด็กชายก้มหน้ามองเด็กสาวบนพื้นแวบหนึ่งเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็หันศีรษะมองมาทางเธออย่างสงบนิ่ง “อีกสามสิบแปดนาทียี่สิบห้าวินาที”
ไม่รอให้อวี่ฉีอ้าปากพูดอะไร เขาก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “มาตกลงร่วมมือกันสักครั้งเป็นไง ร่างทดลองรุ่นแรก? ฉันจะรับผิดชอบในส่วนการคำนวณหาเส้นทางหนีที่สั้นที่สุด ส่วนเธอมีหน้าที่เปิดเส้นทางที่ว่า ถ้าทำอย่างนี้ อัตราการรอดชีวิตของพวกเราทั้งสองจะเพิ่มขึ้นถึงเป็นแปดสิบเปอร์เซ็นต์”
————————————————————-