ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配 - ตอนที่ 8.4 (เล่มสอง)
เซียวอี้ 4
อวี่ฉีอาศัยจังหวะสั้น ๆ ในช่วงที่อาวุธปืนของพวกเขากระสุนหมดจนเกิดช่องว่าง พลิกตัวขึ้นด้วยท่าทางคล่องแคล่ว แล้วพุ่งไปทางเนินเตี้ยที่ร่างทดลองรุ่นสามสองคนตรงหน้าใช้เป็นที่กำบังอย่างรวดเร็ว เธอเอียงตัวไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อหลบลูกเตะที่วาดมาจากหนึ่งในสองคนนั้น พร้อมกับยื่นมือคว้าข้อต่อของอีกฝ่ายแล้วบีบแน่นราวกับคีมเหล็ก
หลังเสียงกร๊อบดังขึ้น กระดูกสะบ้าก็ถูกบีบแหลกละเอียดจนฝ่ายนั้นร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด อวี่ฉีใช้ประโยชน์จากแรงส่งกุมกระดูกหน้าแข้งของเขาไว้แล้วดึงสุดแรงทันทีอย่างไม่คิดจะออมมือให้ เสี้ยววินาทีที่ร่างทั้งร่างของชายคนนั้นถูกดึงล้มมาด้านหน้า เธอก็คว้าเสื้อบริเวณอกของอีกฝ่ายไว้พร้อมกับออกแรงที่เอว ยกเข่าขวาเตะเสยเข้าที่ลำตัวของเขาอย่างแรง
เสียงกระดูกซี่โครงหักดังลั่นเต็มสองหู ฝ่ายนั้นกรีดร้องอย่างน่าเวทนาพร้อมกับขดตัวเป็นก้อนกลมล้มลงไปด้านข้าง อวี่ฉียืดตัวขึ้นฉับพลัน เพื่อเบนตัวหลบปากกระบอกปืนดำมะเมื่อมของร่างทดลองรุ่นที่สามอีกคน เธอออกแรงบริเวณเอวกับขาซ้ายพร้อมกัน กระโจนตัวขึ้นจากพื้นภายในเสี้ยววินาที ตามด้วยตีลังกากลับหลังสามร้อยหกสิบองศาอย่างสวยงาม ปลายเท้าขวาซึ่งสวมรองเท้าคอมแบตที่หนักและหนาหนักนั้นเตะเข้าตรงข้อมือของอีกฝ่ายเต็มแรงด้วยความแม่นยำ
เมื่ออยู่ในสภาพอ่อนแรงจากความทรมานแสนสาหัส ปืนในมือฝ่ายตรงข้ามที่เดิมทีถูกกำเอาไว้แน่นก็ถูกเธอดึงหลุดมือได้อย่างง่ายดาย ไม่จบเพียงเท่านั้น ส้นรองเท้าข้างซ้ายที่แข็งประหนึ่งก้อนเหล็กของอวี่ฉียังเหยียบลงไปบนหน้าผากของเขาอย่างเลือดเย็น อาศัยแรงส่งนั้นตีลังกากลับหลังรอบหนึ่ง ก่อนทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างมั่นคง
มีดของเธอยังไม่ทันออกจากฝักด้วยซ้ำ แต่กลับโจมตีพวกเขาจนไม่เหลือเรี่ยวแรงจะโต้ตอบได้อีก นี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของร่างทดลองรุ่นแรกซึ่งอยู่บนจุดสูงสุดของวิวัฒนาการมนุษย์นั่นเอง
อวี่ฉีควบคุมพลังของตัวเองได้อย่างหมดจดงดงาม ตอนที่เท้าสองข้างสัมผัสกับพื้นนั้นไม่มีฝุ่นตีฟุ้งขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ชุดปฏิบัติการสีดำรัดรูปบนตัวดูเฉียบขาดและปราดเปรียว ขณะเดียวกันก็ขับเน้นเค้าโครงของส่วนโค้งเว้าบนเรือนร่างอันล่อลวงดึงดูดใจของเธอให้ดูเซ็กซี่ไม่มีที่ติอีกด้วย
อวี่ฉีปรายตามองร่างทดลองรุ่นที่สามสองคนนั้นอย่างเย็นชา เธอคร้านจะสู้ต่อแล้ว จึงหมุนตัวก้าวจากมา เงาร่างของเธอเมื่อตัดกับชุดต่อสู้สีดำยิ่งส่งเสริมให้ดูสูงโปร่งสะโอดสะอง โดยเฉพาะขาทั้งสองข้างที่แนบสนิทอยู่ภายใต้ชุดปฏิบัติการ มันเหยียดตรงเรียวยาวราวกับถูกมีดคัตเตอร์บรรจงตัดเป็นทรงออกมา เอ่อล้นด้วยพละกำลังและสุนทรียะแห่งความงามไปเสียทุกส่วน
ทว่าหลังจากหันตัวกลับมา รูม่านตาดำสนิททั้งคู่ของเธอกลับหดเล็กลงภายในเสี้ยววินาที
เดิมทีพวกนั้นไม่ได้มากันแค่สองคน อีกคนที่เมื่อครู่ไม่รู้ไปซ่อนอยู่ตรงไหนก็เป็นร่างทดลองรุ่นที่สามเช่นกัน และเหตุผลเดียวที่ทำให้ฝ่ายนั้นยังกล้าเดินออกมาแสดงตัวทั้งที่เห็นสภาพแสนอเนจอนาถของเพื่อนทั้งสองกับตา ก็เพราะเธอคุมตัวเซียวอี้เอาไว้ได้แล้ว
มีดสั้นคมกริบกดแนบสนิทอยู่บนต้นคอของเด็กชายสะท้อนแสงสีขาวเป็นประกายอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์
ร่างทดลองรุ่นที่สามคนนั้นหรี่ตาลง จดจ้องทุกความเคลื่อนไหวของอวี่ฉีอย่างไม่ละสายตา ไม่กล้าวางใจผ่อนคลายแม้แต่วินาทีเดียว “วางปืนกับมีดลงซะ! ไม่สิ โยนมันให้ไปไกล ๆ สักสิบเมตรเลย!”
อวี่ฉีไม่ตอบอะไรพลางเหลือบตามองไปทางเซียวอี้ แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกคมจ่อมีดแนบตรงจุดตายของร่างกาย บนใบหน้าของอีกฝ่ายก็ไม่ปรากฏร่องรอยของความตื่นกลัวออกมาให้เห็นเลยสักนิด เขายังคงสุขุมเคร่งขรึมแตกต่างจากคนธรรมดาอย่างที่เคยเป็นเสมอมา
ในตอนที่สบตากับอวี่ฉี เด็กชายไม่ได้แสดงอาการวอนขอให้เธอยื่นมือมาช่วยชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ เขาทำเพียงแค่เบือนสายตาหลบไปด้วยท่าทางเรียบเฉย แล้วพูดอะไรบางอย่างกับผู้หญิงที่รวบตัวเขาเอาไว้เสียงแผ่วเบาเหมือนกำลังตกลงเงื่อนไขอะไรกันอยู่
อวี่ฉีอดขำในใจไม่ได้ สมแล้วที่เป็นเซียวอี้ ต่อให้ในเวลาแบบนี้เขาก็ยังคิดแต่จะพึ่งพาตัวเองอยู่ดี ไม่มีความคิดที่จะพึ่งพาคนอื่นอยู่ในหัวเลย
แต่ต่อให้อวี่ฉีจะรู้ดีว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ เธอก็ไม่ได้โกรธเคืองที่ไม่ได้รับความเชื่อถือจากเขา หนำซ้ำยังยืนมองนิ่ง ๆ ด้วยความสนอกสนใจ คอยดูว่าเขาจะพูดโน้มน้าวรุ่นที่สามคนนั้นได้อย่างไร
ความล้ำหน้าด้านมันสมองของเซียวอี้นับว่าอยู่เหนือสุดของโลกปัจจุบันจริง ๆ แบบไร้ข้อกังขา แต่ว่าเขาโดนกักตัวอยู่ในฐานปฏิบัติการมาตั้งแต่ยังเล็ก และไม่มีโอกาสข้องเกี่ยวกับสังคมภายนอกมากนัก จึงทำให้เขารู้เพียงทฤษฎีมากมายมหาศาล แต่กลับขาดประสบการณ์ในสนามต่อสู้จริงโดยสิ้นเชิง ทักษะด้านการชักจูงจิตใจคนอื่นยังเทียบเด็กผู้ชายอายุเจ็ดแปดขวบบางคนไม่ได้เลย อย่างน้อยเด็กพวกนั้นก็ยังรู้จักวิธีการออดอ้อนทำตัวน่ารักหลอกเอาค่าขนมมา ผิดกับเซียวอี้ที่ไม่เข้าใจแม้กระทั่งการขอความช่วยเหลือจากคนอื่น
แน่นอน อาจจะมีความเป็นไปได้ว่าเขาเข้าใจนั่นแหละ เพียงแต่คนที่เขาเชื่อใจมีแค่ตัวเองเท่านั้น
สุดท้ายรายการโฆษณาชวนเชื่อของเซียวอี้ก็ล้มเหลว ร่างทดลองรุ่นที่สามคนนั้นลังเลอยู่เพียงแวบเดียวก็กดมีดสั้นลงบนลำคอของเขาใหม่ พลางยิ้มเยาะหยันออกมา “ใครจะกล้าร่วมมือกับแก รุ่นที่เก้า? ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าวันไหนแกจะวางแผนส่งฉันไปตายเพื่อผลประโยชน์ของแกรึเปล่า?”
พวกเขาทั้งคู่ต่างกดเสียงเบาคุยกัน แต่อวี่ฉียังคงได้ยินถ้อยคำบางส่วนที่ทำให้เธอกลั้นรอยยิ้มไม่อยู่
ใครต่อใครต่างพากันคิดว่าร่างทดลองรุ่นเก้าที่องค์กรสร้างขึ้นมานั้นคือบุคคลมหัศจรรย์ราวกับเทพเจ้า ทว่าความจริงเขาก็เป็นแค่เด็กชายที่ฉลาดเฉลียวจนเหนือขอบเขตคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ปีศาจกินคนที่ไหน ถ้ามองจากบางมุมแล้ว นับว่าเขาไร้เดียงสาราวกับกระดาษขาวด้วยซ้ำไป
พอเห็นอวี่ฉียิ้ม รุ่นที่สามคนนั้นก็เริ่มกระสับกระส่ายขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนรวบตัวเซียวอี้ลากถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว แล้วเอ่ยเสียงดังข่มขู่ว่า “ฉันบอกแล้วไงว่าให้โยนปืนกับมีดทิ้งไปให้หมด!” เธอตะโกนเสียงดังพร้อมกับกดมีดสั้นในมือให้แนบชิดคอของตัวประกันลงไปอีก
พริบตานั้นบนลำคอขาวเนียนของเซียวอี้ก็ปรากฏรอยแดงบาง ๆ เส้นหนึ่งขึ้นมา
แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เซียวอี้ก็ทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ยังคงแสดงท่าทางเฉยชาเหมือนปกติ
อวี่ฉีเลิกคิ้ว เธอยกมือขึ้นโยนปืนที่เพิ่งชิงมากับมีดตรงเอวออกไปไกล ๆ จากนั้นก็เดินไปหาผู้หญิงตรงหน้าเซียวอี้
แต่ยังเดินไปไม่ถึงสองก้าว ร่างทดลองรุ่นที่สามคนนั้นก็พูดเสียงละล่ำละลักให้เธอหยุดฝีเท้าลงเสียก่อน
เพราะติดว่าเซียวอี้ยังคงอยู่ในเงื้อมมือของอีกฝ่าย อวี่ฉีจึงจำต้องหยุดฝีเท้าลง และยืนอยู่ที่เดิมอย่างไม่มีทางเลือก เธอแบมือทั้งสองข้างออก สื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นภัยคุกคามใด ๆ ทั้งสิ้น
ทว่าเมื่อครู่นี้อวี่ฉีเพิ่งล้มรุ่นที่สามสองคนได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที ท่าทางแบบนี้ของเธอจึงเห็นชัด ๆ ว่าไม่มีความน่าเชื่อถือเลยสักนิด แววตาที่ร่างทดลองรุ่นสามใช้มองเธอยังคงเหมือนกับกำลังมองระเบิดไฮโดรเจนที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่ออยู่ดี มันเต็มไปด้วยความระแวดระวังอย่างถึงที่สุด
หญิงสาวตรงหน้าจดจ้องอวี่ฉีไม่วางตาอยู่อย่างนั้น เธอคุมตัวเซียวอี้ไว้พร้อมกับค่อย ๆ ขยับไปหากระเป๋าสะพายที่ถูกโยนไว้บนพื้น
อวี่ฉีเอาแต่ยืนมองอีกฝ่ายนิ่ง ๆ อยู่ที่เดิม โดยไม่ได้ขยับแสดงพิรุธอะไร จึงทำให้รุ่นที่สามคนนั้นค่อย ๆ ผ่อนคลายความเครียดขึงลงได้ ในตอนที่อีกฝ่ายก้มตัวลงไปหยิบกระเป๋าสะพาย มีดสั้นที่ร่างทดลองใช้ก็เบนห่างออกจากลำคอของเซียวอี้เล็กน้อย
และชั่วพริบตาสั้น ๆ นี้ มันก็เพียงพอแล้วสำหรับอวี่ฉี
การเคลื่อนไหวของอวี่ฉีเร็วมากจนเกือบจะเป็นเพียงแค่ภาพติดตา กว่าร่างทดลองรุ่นที่สามคนนั้นจะรู้สึกตัว เธอก็เข้าไปประชิดตัวเสียแล้ว
แต่เห็นได้ชัดว่ารุ่นที่สามคนนี้ฉลาดกว่าเพื่อนสองคนเมื่อครู่ เพราะถึงจะอยู่ในช่วงเวลาแบบนี้ก็ยังไม่ได้หันปลายมีดเล็งมาที่อวี่ฉีโดยสัญชาตญาณ แต่กลับแทงลงไปทางเซียวอี้อย่างโหดเหี้ยมแทน
ด้วยระยะที่ใกล้ขนาดนี้ อันที่จริงอวี่ฉีสามารถโค่นอีกฝ่ายได้สบาย ๆ แต่เพื่อสร้างความสะเทือนใจให้เซียวอี้มากขึ้นอีกสักหน่อย เธอจึงจงใจกุมด้านคมของมีดสั้นนั้นไว้ในมือแทน
เซียวอี้ฉลาดเป็นกรดก็จริง แต่ใช่ว่าจะรู้ไปซะทุกเรื่อง ดังนั้นอวี่ฉีจึงไม่กังวลที่อาจจะโดนเขาจับได้ว่าเธอจงใจทำ
มีดสั้นที่แทงตรงมาทางเซียวอี้หยุดค้างอยู่ในมือของอวี่ฉีทันที แต่ต่อให้ร่างกายจะเหนือมนุษย์แค่ไหนก็ไม่ได้แปลว่าจะฟันแทงไม่เข้า เลือดอุ่นร้อนจากการใช้มือเปล่าหยุดมีดจึงกระเซ็นไปเปื้อนบนแก้มของคนทั้งสาม
หยาดเลือดรวมตัวกันเป็นหยดกลมบนแพขนตาที่งอนขึ้นเล็กน้อยของเซียวอี้ เขาหลุบตาลงอัตโนมัติ แต่นั่นกลับทำให้หยดเลือดไหลลงมาตามขอบตา แผ่ออกเป็นร่องรอยสีเลือดอันน่าพรั่นพรึงบนผิวแก้มที่ขาวซีดนั้น
ร่างกายผอมบางของเซียวอี้พลันแข็งทื่อ ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองเธอโดยไม่รู้ตัว
เสี้ยววินาทีที่ทั้งคู่สบตากัน อวี่ฉียิ้มปลอบให้อีกฝ่ายวางใจ จากนั้นก็พลันพลิกข้อมือไปอีกทาง อาศัยทักษะการต่อสู้แย่งมีดสั้นจากมือของฝ่ายตรงข้ามมาได้อย่างง่ายดาย พลางใช้มืออีกข้างคว้าข้อมือของฝ่ายนั้นด้วยความรวดเร็วและแม่นยำ ยึดแขนทั้งแขนให้อยู่กับที่ แล้วใช้ศอกกระแทกลงไปบริเวณข้อต่ออย่างไร้ความปรานี มีเพียงเสียงกระดูกหักที่ได้ยินชัดกับเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาติด ๆ เท่านั้น
อวี่ฉียิ้มน้อย ๆ ในขณะที่ลากแขนข้างเดิมของอีกฝ่ายเข้ามาหาตัว เธอลงมือดึงข้อต่อหัวไหล่ให้หลุดอย่างเลือดเย็นเฉียบขาดไร้ที่ติ แล้วยกขาเตะอัดหนัก ๆ ไปยังเอวด้านข้างที่เปราะบางที่สุดจนเสียงกระดูกซี่โครงซี่หนึ่งแตกร้าวดังขึ้นตามมา ร่างทั้งร่างของหญิงสาวร่างทดลองรุ่นที่สามก็ถูกเตะลอยไปกระแทกกับประตูใหญ่ของฐานปฏิบัติการอย่างรุนแรง ก่อนจะค่อย ๆ ไถลลงมา
เมื่อเห็นเจ้าหล่อนนอนหายใจรวยรินไม่ขยับเขยื้อนตัวอยู่บนพื้น อวี่ฉีจึงหมุนตัวกลับไปมองเซียวอี้ แล้วยื่นมือซ้ายที่ไม่ได้รับบาดเจ็บไปช่วยเช็ดรอยเลือดบางจุดบนใบหน้าให้เขาอย่างแผ่วเบา
ใบหน้าของเซียวอี้ไร้ความรู้สึกใด ๆ เขาปล่อยให้เธอทำตามใจ ได้แต่เหม่อลอยมองมือขวาของอวี่ฉีที่ห้อยอยู่ข้างตัว และหยดเลือดที่ค่อย ๆ ไหลตามปลายนิ้วลงไปด้านล่างเท่านั้น
ครู่ถัดมา เซียวอี้ประคองมือขวาของเธอขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ดึงมาอยู่ข้างหน้าตัวเองแล้วถามด้วยเสียงเรียบนิ่ง “ทำไมเธอถึงยอมร่วมมือกับฉัน?” เขาเงียบลง ก่อนช้อนตาขึ้นมองเธออย่างจริงจัง “อย่าบอกนะว่าเธอไม่กลัวฉันวางแผนทำร้ายเธอลับหลัง?”
อวี่ฉีค่อย ๆ ทรุดตัวลงคุกเข่าข้างหนึ่ง รักษาระดับสายตาให้อยู่ระนาบเดียวกับเด็กชาย เธอมองตาเขาพร้อมกับเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ฉันเคยบอกตั้งแต่แรกแล้วไงว่า ฉันไม่สนใจว่านายจะสามารถคำนวณอะไรได้เร็วแค่ไหนหรือคำนวณออกมาแล้วเป็นยังไง ฉันก็แค่ไม่อยากให้นายได้รับบาดเจ็บ อีกอย่างที่ฉันร่วมมือกับนาย ก็ไม่ใช่เพราะฉันหมายตาผลประโยชน์ที่นายจะให้กับฉันได้ แต่เป็นเพราะนายต้องการร่วมมือกับฉัน แล้วฉันก็เคารพความต้องการของนายเท่านั้นเอง”
เธอเอื้อมมือไปลูบเส้นผมสีดำของเขาเบา ๆ คล้ายกับพี่สาวผู้อ่อนโยนคนหนึ่ง “เอาละ บอกฉันหน่อยสิ นายเคยคิดวางแผนทำร้ายฉันลับหลังหรือเปล่า?”
เซียวอี้เบือนหน้าหนี พลางเม้มริมฝีปากบางเบา ๆ
บางทีอาจเป็นเธอที่มองผิดไปเอง แต่อวี่ฉีรู้สึกว่าเขามีท่าทางคล้ายกับน้อยใจอย่างไรชอบกล เธออึ้งไปสักพัก ก่อนจะฉีกยิ้มออกมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ ดึงเขาเข้ามาไว้ในอ้อมกอด แล้วใช้มือซ้ายที่ไม่ได้รับบาดเจ็บตบหลังของเขาเบา ๆ “แค่ล้อนายเล่นเท่านั้นเอง ถ้านายไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบ”
เซียวอี้เติบโตอยู่ในฐานปฏิบัติการตั้งแต่ยังเด็ก นับตั้งแต่จำความได้ ท่าทางสนิทสนมที่เจ้าหน้าที่เคยปฏิบัติต่อเขาอย่างมากก็แค่กุมมือเท่านั้น แถมนั่นยังเป็นการทำเพียงเพื่อจะเจาะเอาเลือดของเขาไปทดสอบในห้องแล็บ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยกอดกับใครมาก่อน และสาเหตุนี้เองจึงทำให้เขาตัวแข็งทื่อขึ้นมาชั่วขณะ
รอจนเด็กชายค่อย ๆ ผ่อนคลายลงแล้ว อวี่ฉีก็ได้ยินเสียงนิ่งขรึมของเขาดังอู้อี้ออกมาว่า “ไม่เคย”
อวี่ฉีเกือบจะหลุดขำเพราะปฏิกิริยาโต้ตอบแบบนี้ของเขาเข้าแล้ว ดีที่เธอพยายามยับยั้งแรงกระตุ้นที่ชวนให้หลุดมาดเอาไว้ได้อย่างยากลำบาก ก่อนถามเขาต่อเสียงเบาว่า “งั้นหลังจากนี้นายจะวางแผนทำร้ายฉันไหม?”
เซียวอี้ผละออกมาจากอ้อมกอดของเธอ คิ้วได้รูปน่ามองทั้งสองข้างขมวดเป็นปมแน่นคล้ายกับไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
อวี่ฉีเข้าใจดี เซียวอี้ได้รับการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กว่าให้ทำทุกวิถีทางเพื่อผลประโยชน์สูงสุด การที่เขายังไม่เคยทำกับการที่เขาจะไม่ทำในอนาคตนั้น ถือเป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง ถ้าอิงจากทัศนคติที่เขาถูกสั่งสอนมาเพียงอย่างเดียว ขอแค่ให้ได้ผลลัพธ์ที่ตัวเองต้องการ ก็ใช่ว่าเขาจะลอบวางแผนหรือใช้ประโยชน์จากคนอื่นไม่ได้
เธอเองก็ไม่คิดฝันลม ๆ แล้ง ๆ ให้เขาสามารถเปลี่ยนทัศนคติที่ตัวเองยึดมั่นมาตลอดสิบกว่าปีได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ อวี่ฉีจึงทำเพียงแค่ระบายยิ้มอย่างเข้าใจ ไม่ได้ดื้อแพ่งเรียกร้องอะไรทั้งนั้น
ในเวลาที่เธอไม่ได้คาดหวังอะไรเลยนั่นเอง เซียวอี้กลับมองมือขวาที่ยังคงมีเลือดไหลรินออกมาของเธอ ก่อนหลุบตาลงอย่างเชื่องช้า “ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ทำอย่างนั้น”
——————————————————–