ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配 - ตอนที่ 9.1 (เล่มสอง)
เย่หนาน 1
ภายในลิฟต์เงียบสงัดเสียจนสามารถได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง นอกจากประตูลิฟต์แล้ว บนผนังสามด้านล้วนเป็นกระจกใสที่สะท้อนให้เห็นตัวเธอเองในขณะนี้
เสื้อคลุมแบรนด์เนม กระเป๋าหนังชื่อดังใบเล็ก ๆ ราคาแพง รองเท้าส้นสูงราวสิบเซนติเมตร ผมสีดำยาว ริมฝีปากสีแดงสด สวยจนดูเหมือนไม่ใช่คน ทั้ง ๆ ที่ดูเหมือนอายุแค่ยี่สิบต้น ๆ แต่หญิงสาวในกระจกกลับมีทีท่าเย่อหยิ่งสง่างามที่สามารถกดดันผู้คนได้เกินอายุไปไกลแล้ว
อวี่ฉีเบือนหน้าไปเล็กน้อยเพื่อเหลือบมองดูตัวเลขระบุชั้นที่เรืองแสงอยู่…ชั้นยี่สิบสี่
ตอนนี้เพิ่งถึงชั้นที่หก ยังมีเวลา…เธอจึงเริ่มจัดระเบียบข้อมูลในสมองด้วยใจสงบนิ่ง
พระเอกมีชื่อว่ากู้เฟิง เป็นผู้อำนวยการฝ่ายครีเอทีฟของบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง ส่วนนางเอกเป็นที่ปรึกษาของบริษัทนี้ อวี่ฉีสรุปเนื้อเรื่องของนิยายเรื่องนี้ออกมาได้ประโยคเดียวว่า ‘ความรักในที่ทำงาน + แต่งงานก่อนแล้วถึงรักกัน’
ทว่านิยายเรื่องนี้กลับไม่เหมือนนิยายรักทั่วไป มันต่างกันตรงที่ว่า พระเอกไม่ได้ขอนางเอกแต่งงานเพราะรักเธอ แต่เป็นเพราะว่าหลังจากพระเอกอายุเลยเลขสามไปแล้วก็พลันเบื่อชีวิตที่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่กับผู้ชายอีกคน เขาปรารถนาความมั่นคง คาดหวังที่จะแต่งภรรยา มีลูกและใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป อยากจูงมือคนรักเดินเล่นช็อปปิ้งได้โดยไม่ต้องปิดบังหลบซ่อนอีกต่อไป ดังนั้นจึงตั้งใจหาผู้หญิงที่หน้าตาดีและพอจะมีความสามารถมาแต่งงานด้วยแบบสายฟ้าแลบ
แม้ว่าในยุคปัจจุบันนี้ความคิดของผู้คนจะเปิดกว้างมากขึ้นแล้ว แต่ความรักระหว่างผู้ชายก็เปิดเผยออกมาได้ยากอยู่ดี หากคิดจะเดินในเส้นทางต้องห้ามนี้ต่อไป หนทางข้างหน้าจะต้องเต็มไปด้วยขวากหนามอย่างแน่นอน
กู้เฟิงรักกับเย่หนานซึ่งทำงานเป็นผู้จัดการในบริษัทเดียวกันมาสามปีแล้ว แต่เขากลับไม่กล้าให้ใครรู้ความลับนี้เลยแม้แต่คนเดียว ถึงขนาดไม่กล้าพูดกับเย่หนานเกินสองสามประโยคต่อหน้าเพื่อนร่วมงานด้วยซ้ำ วันเวลาแบบนี้ผ่านไปสักเดือนยังพอทนได้ แต่หลังจากผ่านไปสามปี ในที่สุดฝ่ายที่ความรักเริ่มน้อยลงทุกทีก็รู้สึกเหนื่อยล้า แล้วจบลงด้วยการเลือกที่จะปล่อยมือ
กู้เฟิงนั้นกล้าบอกเลิกได้อย่างสง่าผ่าเผย แต่เย่หนานทำไม่ได้ หัวใจของเขาถลำลึกเกินไป หลังกู้เฟิงจากไป เขาต้องนอนคนเดียวทุกคืนบนเตียงเย็นเฉียบหลังใหญ่ เบิกตาค้างจนกระทั่งรุ่งเช้ามาเยือน ในวันที่กู้เฟิงแต่งงานใหม่และได้โอบภรรยาเอาไว้ในอ้อมแขน เย่หนานกลับนอนอยู่ในอ่างอาบน้ำ กรีดข้อมือตัดเส้นเลือดของตัวเอง และจากโลกนี้ไปยังโลกอีกใบแทน
นับแต่นั้นมา เย่หนานก็กลายเป็นหนามทิ่มแทงใจกู้เฟิง และยังเป็นอุปสรรคยิ่งใหญ่ที่สุดในตอนที่พระเอกนางเอกอยู่ด้วยกัน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว แต่ทุกครั้งที่พระเอกคิดถึงคนรักเก่า ก็เป็นอันต้องรู้สึกว่าตัวเองติดค้างอีกฝ่ายมากมายเหลือเกิน ยิ่งเขารู้สึกละอายใจเท่าไรก็ยิ่งไม่กล้ารักนางเอกเท่านั้น
ตัวละครที่อวี่ฉีต้องสวมบทบาทนั้นมีแซ่หยาง บ้านของเธอกับบ้านของเย่หนานคบหากันมานาน ทั้งคู่เป็นเพื่อนเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วผู้ใหญ่ทั้งสองบ้านก็ให้พวกเขาหมั้นหมายกัน หลังจากหยางอวี่ฉีรู้ว่าเย่หนานตายเพราะกู้เฟิง เธอก็มักจะไปคอยระรานสร้างปัญหาให้กับพระเอกนางเอกอยู่เป็นประจำ
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเย่หนานหรือหยางอวี่ฉี พวกเขาก็ต่างเป็นตัวร้ายที่ไม่จำเป็นต้องละอายใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปในนิยายเรื่องนี้ ส่วนภารกิจของเธอก็คือต้องดึงเย่หนานออกจากเส้นทางการฆ่าตัวตาย ทำให้เขาหลงรักตัวเอง และทำให้กู้เฟิงสามารถใช้ชีวิตกับภรรยาได้อย่างสบายใจ
สถานการณ์ในตอนนี้ดำเนินมาถึงตอนที่เย่หนานเพิ่งรู้ข่าวเรื่องกู้เฟิงจะแต่งงานจากปากของลูกน้องสองสามคน เขาจึงไปนั่งเหม่อตากลมเย็นเยียบอยู่ริมแม่น้ำมาหนึ่งคืนเต็ม วันต่อมาก็ไข้ขึ้นสูง เมื่อหยางอวี่ฉีรู้ข่าวเลยถือโอกาสแวะมาเยี่ยมเขาหลังจากที่เลิกงานแล้ว
แต่จะว่าไป หยางอวี่ฉีก็เป็นคู่หมั้นที่ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ มาเยี่ยมผู้ป่วยทั้งทีกลับไม่รู้จักหิ้วตะกร้าผลไม้ เอานมสดหรือโจ๊กอะไรมาให้สักอย่าง…คุณหนูใหญ่ท่านนี้ถึงกับวิ่งมาหาตัวเปล่า นี่มันเหมือนกับการมาเยี่ยมคู่หมั้นตรงไหนกัน! ต่อให้มาเยี่ยมเพื่อนเฉย ๆ อย่างน้อยก็ต้องถืออะไรติดมือมาบ้างสิ
ขณะที่อวี่ฉีเกิดความคิดว่าจะกลับลงไปซื้อผลไม้แล้วค่อยขึ้นมาใหม่ ลิฟต์ก็หยุดลงแล้ว ประตูเปิดออกช้า ๆ เสี้ยววินาทีที่รองเท้าส้นสูงย่ำออกมาจากลิฟต์ ความคิดที่จะไปซื้อของนั้นก็มลายหายไป เธอมองซ้ายแลขวาอยู่ครู่หนึ่งจนหาประตูห้องของเย่หนานพบตามที่ข้อมูลในสมองบอก แล้วตรงไปกดกริ่งประตู
ไม่มีใครมาเปิด
อวี่ฉีเลิกคิ้ว ตอนนี้เธอไม่มีเวลามาเกรงใจอะไรทั้งนั้น จึงรัวนิ้วเรียวที่ได้รับการดูแลอย่างดีนั้นกดย้ำ ๆ ลงไปบนกริ่งไม่หยุด
รอจนเวลาล่วงเลยราว ๆ ห้าถึงหกนาทีจึงค่อยมีเสียงฝีเท้าเดินปึงปังดังแว่วมาจากในห้อง
ประตูถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง เย่หนานยืนขยี้ตาอยู่ตรงหน้าพร้อมกับเอ่ยเสียงแหบว่า “คุณมีกุญแจไม่ใช่หรือไง แล้วจะมากดกริ่งทำไมล่ะ?” จากนั้นจึงเดินมาข้างหน้าอีกก้าว ซุกศีรษะไว้ที่ข้างคอของเธอด้วยท่าทางไร้ชีวิตชีวา “ผมได้ยินพวกเสี่ยวหลี่บอกว่าคุณจะแต่งงานกับเสี่ยวหลิน พวกเขาพูดมั่วซั่วไปกันเองใช่ไหม? อาเฟิง ทำไมคุณถึงเตี้ยลงล่ะ แล้วยังฉีดน้ำหอมของผู้หญิงอีก?”
เขาคงไข้ขึ้นจนเบลอไปแล้ว ถึงได้เข้าใจว่าเธอคือกู้เฟิง ผู้จัดการแซ่เย่คนนี้นี่ใช้ไม่ได้เลย ยังมองไม่ชัดว่าเป็นใครแท้ ๆ ก็เข้ามากอดคนอื่นซะแล้ว
หลังจากเงียบไปสักพัก เย่หนานก็ได้สติ เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาทีละนิดราวกับคอเป็นสนิม จนกระทั่งเห็นหน้าคนที่ตัวเองกอดอยู่ เขาถึงได้หัวเราะแหะ ๆ ยกมือขึ้นมาจัดปกเสื้อให้เธอ ทั้งยังช่วยตบ ๆ ให้เข้าที่ ก่อนจะถอยไปด้านหลังหลายก้าวทั้งที่ยังจ้องเธออยู่ ยิ้มจนตาหยีแล้วผงกหัวหงึก ๆ “ช่วงนี้ไม่ได้เจอกันเลย อวี่ฉีของพวกเราสวยขึ้นอีกแล้วนะ”
ตอนนี้เองที่อวี่ฉีเพิ่งจะมีเวลาสังเกตเขา
เส้นผมสีดำซอยสั้นของเขายุ่งเหยิงไม่เป็นทรงเพราะถูกนอนทับ เครื่องหน้าหมดจดสะดุดตา สีหน้าซีดขาวเล็กน้อยเนื่องจากไข้ขึ้น ใต้ตามีรอยคล้ำสีเข้มสองวง เขาสวมเสื้อสเวตเตอร์กับกางเกงยีนหลวมโพรกมองไม่เห็นรูปร่างจริง ๆ ข้างใน ดูปล่อยเนื้อปล่อยตัวตามสบายสุด ๆ จนไม่เหลือภาพลักษณ์ที่ผู้จัดการบริษัทควรจะมีเลยสักนิด
ระหว่างที่เธอกำลังมองประเมินเขาเงียบ ๆ นั้น ถึงจะช้าไปหน่อย แต่ในที่สุดเย่หนานก็ระลึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เขาแต่งตัวไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร จึงกระแอมกระออกมาครั้งหนึ่งพร้อมก้าวถอยหลังเล็กน้อย “เธอนั่งได้ตามสบายเลยนะ ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนึง”
อวี่ฉีเข้ามาในห้องแล้วก็หันตัวไปปิดประตู “ไม่ต้องหรอก ฉันมาเยี่ยมไข้ ไม่ได้มาเป็นแขก นายไปนอนเถอะ เดี๋ยวฉันจะรินน้ำอุ่นให้นายดื่มสักแก้ว” ว่าแล้วเธอก็ถอดรองเท้าส้นสูงที่สูงจนน่ากลัวคู่นั้นออก เมื่อก้มลงมองบนพื้น ก็เห็นว่านอกจากรองเท้าแตะที่เย่หนานสวมอยู่แล้ว หน้าประตูก็มีรองเท้าแตะของผู้ชายอีกหนึ่งคู่วางไว้อย่างเป็นระเบียบ
เย่หนานไม่ได้สังเกตเรื่องพวกนี้เลย พอได้ยินว่าเธอมา ‘เยี่ยมไข้’ ตัวเขาก็ผ่อนคลายลง แล้วขยับมาหาเธอก้าวหนึ่งพร้อมกับรอยยิ้มน้อย ๆ จากนั้นก็เอนตัวพิงผนังห้องมองเธออย่างเกียจคร้าน “แม่ฉันให้เธอมาดูแลคนไข้ที่ทั้งโดดเดี่ยวทั้งน่าสงสารอย่างฉันใช่ไหม?”
อวี่ฉีเลิกคิ้วขึ้น เธอไม่เปลี่ยนไปสวมรองเท้าแตะ แต่เดินย่ำไปบนพื้นห้องด้วยเท้าเปล่าตรงไปทางห้องครัวเลย “ประมาณนั้น แม่ของฉันโทรศัพท์มา บอกว่าเมื่อวานนี้ตอนคุยกับแม่ของนายได้ยินว่านายป่วย ก็เลยให้ฉันช่วยสนใจนายหน่อย อย่าห่วงแต่ตัวเอง ต้องเรียนรู้ที่จะทำหน้าที่ของคู่หมั้นด้วย”
เย่หนานหรี่นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นลง เอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างไม่มีความเกรงอกเกรงใจใด ๆ ทั้งสิ้นว่า “ในเมื่อเป็นคำแนะนำของเสด็จแม่เยว่ที่เคารพ งั้นฉันก็ได้แต่น้อมรับไว้ด้วยความยินดี จานชามกองนั้นในอ่างล้างจานไม่ได้ล้างมาหนึ่งอาทิตย์เต็ม น่าจะใกล้มีหนอนขึ้นแล้วมั้ง แถมมีเสื้อผ้าที่ใช้แล้วในถังด้วย ถ้าฉันใส่ลงไปอีกสักวัน พวกมันต้องถล่มลงมาทับฉันตายแน่ ๆ ในเมื่อเธอรับพระบัญชาจากท่านแม่มา ก็จงทำงานซะ ช่วยฉันล้างจานกับซักเสื้อผ้าทั้งหมดนี่ให้หน่อยนะ”
อวี่ฉีชะงักมือที่ถือกาต้มน้ำไฟฟ้าเล็กน้อย ก่อนหันหน้ามามองเขาอย่างอารมณ์ดีและรู้สึกขำ “นี่ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีเรื่องที่นายจำผิดคนเมื่อกี้เลยนะ นายยังจะกล้ามาเรียกใช้ฉันให้เป็นแม่บ้านของนายอีกงั้นเหรอ?” เธอเลิกคิ้วขึ้น “จะว่าไปแล้ว นายบอกฉันทีสิว่า อาเฟิงคนนั้นที่นายกำลังรออยู่คือใครกัน?”
ตอนแรกเธอก็ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปยุ่งเรื่องระหว่างเย่หนานกับกู้เฟิงหรอก เพราะยังไงหลังผ่านไปสักพักพวกเขาก็ต้องแยกจากกันอยู่ดี รอให้กู้เฟิงไปใช้ชีวิตอยู่กับนางเอกแล้วเธอค่อยแทรกเข้าไป…ไม่ใช่สิ หมายถึงตอนนั้นค่อยยื่นถ่านไม้อุ่น ๆ ให้เขาท่ามกลางหิมะ[1] แค่นี้ภารกิจก็น่าจะสำเร็จได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องแทรกเข้าไประหว่างทั้งคู่จนพานทำให้พวกเขาเกลียดเธอตอนนี้หรอก
แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าเย่หนานคนนี้จะโง่เง่าจนถึงกับทำให้คนมองรู้สึกปวดใจ ที่เขาดันเผยพิรุธออกมาเอง แถมยังเป็นช่องโหว่ที่ใหญ่ขนาดนี้ ถ้าหากเธอยังแกล้งทำเป็นเงียบไม่ใส่ใจจะถามเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันก็ดูไม่เนียนเกินไปหน่อย
เย่หนานที่เดิมทีพิงประตูห้องครัวคุยกับเธออยู่ พอได้ยินเธอถามเรื่องกู้เฟิง รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อย ๆ หุบลง ดวงหน้าหล่อใสปรากฏความหม่นหมองขึ้นมาราง ๆ แต่เขาก็เก็บสีหน้าได้อย่างรวดเร็ว เผยรอยยิ้มออกมาใหม่อีกครั้งแล้วกล่าวอย่างหน้าด้าน ๆ ว่า “เธอได้ยินผิดแล้วละ มีอาเฟิงอะไรที่ไหนกัน?”
อวี่ฉีคร้านจะเปิดโปงเขา เลยรินน้ำอุ่นลงในแก้วแล้วยัดใส่มืออีกฝ่ายแทน จากนั้นจึงกดไหล่ของเย่หนานเบา ๆ หมุนร่างของเขาไปอีกทางเพื่อผลักให้เดินไปทางห้องนอน “ผู้ยิ่งใหญ่อย่างฉันใจกว้างพอที่จะไม่คิดบัญชีกับคนไข้อย่างนายหรอก กลับไปนอนที่ห้องของนายไป”
เย่หนานแกว่งแก้วใสในมือของตัวเองไปมาด้วยท่าทางพอใจ เขาหันกลับมาเคาะหน้าผากเธอเบา ๆ ทีหนึ่ง ยิ้มน้อย ๆ พลางเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องผลักฉันเลย เดี๋ยวถ้าฉันเดินเร็วเกินไปจนภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำกำเริบขึ้นมาจะทำยังไง เธอรับฉันไหวเหรอ?”
อวี่ฉีมองเขาอยู่พักหนึ่งก็อดหันหน้าไปหัวเราะทางอื่นไม่ได้ เมื่อขำจนพอใจแล้วจึงค่อยหันกลับมามองเขาอีกครั้ง “รับนายมีอะไรยากนักหรือไง ตอนนายยังเด็กถูกคนแกล้งมา มีครั้งไหนบ้างที่ฉันไม่ไปช่วยทุบคนให้นาย?”
เย่หนานทำเสียงงึมงำพลางเอ่ยปฏิเสธไปอย่างเสียงแข็งว่า “มีเรื่องแบบนั้นที่ไหนกันเล่า ไม่มีสักหน่อย” สิ้นเสียงชายหนุ่มก็หันหน้ากลับเดินไปทางห้องนอนพลางดื่มน้ำไปด้วย ก่อนจะเข้าห้องก็ไม่ลืมที่จะยื่นมือออกมาอย่างเอื่อยเฉื่อย และวางแก้วใสที่เพิ่งดื่มไปได้แค่หนึ่งในสี่ไว้บนตู้ลำโพง
“เย่หนาน เจ้าคนไข้คนนี้นี่ กินน้ำให้หมดแก้วสิ” อวี่ฉีเลิกคิ้วต่อว่า “แล้วอย่าวางแก้วซี้ซั้วจะได้ไหม!”
ผู้จัดการเย่ได้ยินก็หันขวับมา เอี้ยวตัวเพียงครึ่งแล้วหรี่ตาลง ยกมือขวาทำท่าเป็นรูปปืนชี้มาทางเธอ พร้อมทำเสียงประกอบฉากอย่างลำพองใจเข้าไปด้วย “ปิ้ว…ปัง!”
อวี่ฉีหัวเราะเยาะขณะมองค้อนเขา “นายอายุเท่าไหร่แล้วฮะ เป็นเด็กน้อยรึไง?”
“ผู้หญิงที่ไม่มีจิตใจแบบเด็กน้อยระวังจะขายไม่ออกนะ” เขาไม่โกรธ แต่กลับยืนพิงกรอบประตูจ้องมองเธอด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ “ต้องยิ้มหัวเราะให้มาก ๆ แบบฉันนี่ แบบนี้ใครเห็นใครก็รัก” เขาโบกมือที่ทำท่าปืนใส่เธอ “เห็นไหม ถ้าฉันชี้ไปทางเธอแบบนี้ เธอก็ควรแกล้งตายทันทีสิ”
อวี่ฉีหมุนตัวเข้าห้องครัวอย่างไม่คิดจะสนใจเขาต่อ
เย่หนานยิ้มพลางมองแผ่นหลังของเธออยู่สักพัก ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับค่อย ๆ กลายเป็นรอยยิ้มจืดจางที่เจือความขมขื่นแทน เขายืดตัวขึ้นอย่างช้า ๆ ผลักประตูห้องแล้วเดินเข้าไปก่อนจะหันกลับมาปิดมัน
อาจเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหนึ่งวันเต็ม ๆ หรือไม่ก็ตอนปิดประตูออกแรงมากเกินไป เย่หนานถึงได้รู้สึกวิงเวียนจะเป็นลมขึ้นมา เขาแทบยืนทรงตัวไม่อยู่ จึงต้องคว้าด้ามจับประตูที่อยู่ด้านข้างเอาไว้ แล้วพิงอยู่ที่มุมผนังอย่างไร้เรี่ยวแรง จิตใต้สำนึกของเขาอยากร้องเรียกหากู้เฟิง แต่รอกระทั่งอาการวิงเวียนหน้ามืดนั้นหายไปแล้วในอึดใจต่อมา เย่หนานจึงระลึกขึ้นได้ว่า กู้เฟิงไม่ได้มาที่นี่หนึ่งอาทิตย์แล้ว
เย่หนานยืนพิงประตูเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้น โดยไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรดีไปชั่วขณะ
จวบจนมีเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ก่อนหยุดลงที่นอกประตูห้อง
เย่หนานได้สติกลับมาอย่างงุนงง หลังจากอึ้งไปสักพักจึงเก็บสีหน้าให้เป็นปกติ เขายกมือขึ้นลูบหน้าแล้วค่อยหันตัวไปเปิดประตู มองดูคนที่อยู่นอกประตูแล้วถามยิ้ม ๆ ว่า “อะไรกัน เอลฟ์ประจำบ้านล้างจานกับซักเสื้อผ้าเสร็จแล้วเหรอ?”
[1] 雪中送炭 การให้ถ่านไม้ท่ามกลางหิมะ หมายถึงการหยิบยื่นสิ่งของหรือความช่วยเหลือให้ในตอนที่อีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลือมาก ๆ
——————————————————–