แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 1031 มองประธานเชี่ยนอย่างสงสัย
พอเห็นเขาทำตัวงอแงเหมือนเด็กไม่ได้กินลูกอมเสี่ยวเชี่ยนจึงยื่นมือไปลูบหัวพลางพูดปลอบใจ
“คนโบราณว่าไว้ หัวเราะทีหลังดังกว่า! ปล่อยให้พวกเขาได้ใจกันไปก่อนเถอะ รอพวกเรามีลูกสาวที่ทั้งสวยทั้งฉลาด พี่รองได้อิจฉาตายแน่!”
“คุณรู้ได้ไงว่าลูกพี่รองจะไม่ใช่ลูกสาว?”
“ฉันเป็นแม่หมอระดับประเทศนะ!” เสี่ยวเชี่ยนเชิ่ดหน้าอย่างภูมิใจ อวี๋หมิงหลางจึงฉวยโอกาสนี้หอมแก้มเธอ
อันที่จริงแล้วเสี่ยวเชี่ยนวิเคราะห์แบบนี้ ตระกูลอวี๋ไม่รู้เป็นยังไง แต่ละรุ่นมีแต่ลูกชาย ลูกสาวน้อยมาก มีแค่คนเดียว เป็นแบบนี้มาสามรุ่นแล้ว
ถ้าเกิดยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ในอนาคตเธอมีเสี่ยวเหวย งั้นลูกของพี่รองก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นลูกชาย
แม่สามีกับพี่สะใภ้ใหญ่ก็คิดว่าต้าอีน่าจะได้ลูกชาย พี่สะใภ้ใหญ่เป็นหมอสูติ ค่อนข้างมีประสบการณ์เรื่องในเรื่องนี้
“ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้เป็นลูกชายผมก็รัก” อวี๋หมิงหลางพอได้ยินเธอปลอบแบบนี้ก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าอะไรอีก เขาเอามือลูบท้องเธอพลางมองด้วยสายตาอ่อนโยนเหมือนมีเด็กอยู่ในนั้น
เขาคิดสักพักแล้วพูดขึ้น “แต่ถ้ามีลูกสาวที่เหมือนคุณได้จะดีกว่า”
เสี่ยวเชี่ยนก็อยากให้เป็นแบบที่เขาพูด แต่เนื่องจากเมื่อชาติก่อนเธอได้เห็นหน้าตาของลูกสาวแล้ว อดสงสารเขาที่อยากมีลูกเหลือเกินไม่ได้ จะให้โกหกก็รู้สึกผิด
“ลูกสาวน่ะเหมือนพ่อ ถ้าเป็นลูกสาวจริงๆคงจะเหมือนนายมาก จริงๆนะ”
เสี่ยวเหวยเหมือนพ่อเขามากกว่า ไม่ใช่แค่หน้าตา แม้แต่บุคลิกท่าทางก็เหมือน อย่างเดียวที่เหมือนแม่ก็คือไฝคนงามที่แต่งแต้มอยู่บนหน้าผาก
อวี๋หมิงหลางรู้สึกขนลุก เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้าตัวเขาเป็นผู้หญิงจะเป็นแบบไหน รู้สึกสยองพิกล
“เป็นเด็กที่หน้าตาสวยมาก ตอนเรียนอนุบาลถูกเพื่อนผู้ชายดึงหางเปีย ตอนประถมมีเพื่อนรอเข้าเรียนเลิกเรียนพร้อมกัน พออยู่มอต้นก็ได้จดหมายรักมาทุกวัน เห็นได้ชัดเลยว่ายีนของนายแรงมาก”
เสี่ยวเหวยของเธอเสน่ห์แรงมาก แต่ตัวเสี่ยวเหวยเองกลับเกลียดความรู้สึกที่ตกเป็นเป้าสายตาแบบนี้ อยากจะหนีให้พ้นๆ
“คุณพูดอย่างกับเป็นเรื่องจริง คิดไปไกลแล้ว” อวี๋หมิงหลางเอามือเขี่ยจมูกเธอเล่น
เสี่ยวเชี่ยนได้แต่ยิ้มแบบมีลับลมคมใน
เธอพูดเรื่องจริงนะ
เวลานี้ทั้งสองคนก็แค่คุยกันเล่นๆ
แต่ระหว่างทางที่เดินไปร้านปิ้งย่าง อวี๋หมิงหลางก็เห็นคู่รักนักเรียนวิ่งผ่านไป ทันใดนั้นคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน
“มีอะไรเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนมองตามสายตาอวี๋หมิงหลาง เด็กผู้ชายคนนั้นกำลังลูบหน้าเด็กผู้หญิงเล่น
“ถ้าเป็นลูกสาวจริงๆ ผมต้องวางโปรแกรมฝึกศิลปะป้องกันตัวให้แล้ว เผื่อได้ใช้ยามจำเป็น จะปล่อยให้ผู้ชายเอาเปรียบไม่ได้”
“…” เสี่ยวเชี่ยนแอบคิดในใจ ไหนเมื่อกี้ใครพูดว่าเธอคิดไปไกล เขาเองก็เหมือนกันแหละน่า!
ครอบครัวพี่รองมาถึงร้านก่อน พี่รองยังคงหน้านิ่งเหมือนเป็นอัมพาตเหมือนเดิม แต่ตอนบริการต้าอีนั้นคล่องแคล่วมาก
พ่านพ่านนั่งอยู่ข้างๆอย่างเรียบร้อย พออวี๋หมิงหลางไปถึงก็อุ้มพ่านพ่านขึ้นมา
“พ่านพ่านสูงขึ้นหรือเปล่าเนี่ย?”
“สูงขึ้นสามเซนติเมตร ดูท่าทางอีกหน่อยน่าจะตัวสูงอยู่นะ” ต้าอีเป็นคนใส่ใจรายละเอียด
“เด็กๆน่ะโตไว” เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้า
ถึงพ่านพ่านจะไม่ใช่ลูกแท้ๆของพี่รอง แต่เด็กคนนี้ยิ่งโตก็ยิ่งหล่อ หน้าตาได้รูป อยู่กับพี่รองนานๆก็ติดเอานิสัยมาดนิ่งเคร่งขรึมมาด้วย คิดๆดูอีกหน่อยโตขึ้นต้องมีผู้หญิงมาชอบเยอะแยะแน่นอน
เพียงแต่ไม่รู้ทำไม วันนี้เสี่ยวเชี่ยนกลับรู้สึกเหมือนเคยเห็นคนหน้าเหมือนพ่านพ่านที่ไหนมาก่อน ความรู้สึกนี้เมื่อก่อนไม่เคยมีเลยนะ
“เอาเนื้อสันนอกให้เมียผมสิบไม้ แล้วก็เนื้อเอ็นสิบไม้ เมียจ๋า เอาไรอีกไหม?” อวี๋หมิงหลางสั่งอาหารให้เสี่ยวเชี่ยน แต่พอหันไปเขาก็เห็นเธอจ้องพ่านพ่านอยู่เหมือนไม่ได้ฟังเขา ครั้นแล้วจึงเอามือสะกิดเธอ
เสี่ยวเชี่ยนถึงได้รู้สึกตัว
“อ่อ อะไรก็ได้”
น่าแปลกจริง เมื่อก่อนเธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลยนะ?
พ่านพ่านรู้สึกได้ว่าอาสะใภ้เล็กมองอยู่จึงเงยหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“อาสะใภ้ฮะ วันนี้ผมใส่เสื้อเหมือนพ่อด้วยนะ”
แม้แต่ทรงผมก็เหมือน!
เมื่อตอนบ่ายขณะที่พี่รองกำลังหวีผมอยู่ พ่านพ่านที่เห็นเขาเป็นไอดอลมาตลอดก็ขอให้หวีทรงเดียวกันให้หน่อย พอดีกับตอนออกไปเดินเที่ยวต้าอีซื้อเสื้อคู่มาให้สองพ่อลูกด้วย ตอนนี้เด็กน้อยพ่านพ่านจึงอยู่ในอาการตื่นเต้นดีใจ
เสี่ยวเชี่ยนยิ้มให้ “หล่อมากเลยจ้ะ เหมือนพ่อเปี๊ยบเลย”
บางทีเธออาจจะคิดมากไป วันนี้พ่านพ่านแต่งตัวเหมือนพี่รอง บุคลิกก็เหมือน เธอคงรู้สึกว่าพ่านพ่านเหมือนพี่รองแหละมั้ง
คำพูดของเสี่ยวเชี่ยนทำเด็กน้อยดีใจมาก กินอย่างมีความสุขมากกว่าเดิม
พ่านพ่านชอบให้คนบอกว่าเหมือนพ่อมากที่สุด ทุกครั้งที่ได้ยินแบบนั้นจะมีท่าทางเขินๆ เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ว่าเด็กน้อยรู้ไหมว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่รู้ว่าเด็กคนนี้ศรัทธาในตัวพี่รองมาก
ต้าอีเห็นท่าทางของพ่านพ่านก็อดแซวไม่ได้ “พ่านพ่านจ๊ะ ทำตัวเหมือนคุณพ่อแบบนี้ระวังจะกลายเป็นคนบุคลิกแบบที่หกนะ”
“มันคืออะไรฮะ?” พ่านพ่านหยุดกินแล้วหันไปมองต้าอีด้วยความไม่เข้าใจ
ก่อนหน้านี้เสี่ยวเชี่ยนยังวิเคราะห์อยู่เลยว่าอาเพียวมีบุคลิกแบบที่หก เพราะศรัทธาเลื่อมใสในพ่อตัวเองอย่างหนัก พอได้ยินต้าอีแซวเด็กแบบนั้นก็อดขำไม่ได้
“อย่าหลอกเด็กสิ พ่านพ่านไม่มีทางเป็นคนบุคลิกแบบที่หกหรอก อีกอย่าง มันไม่ได้สืบทอดทางพันธุกรรมนะ”
พอพูดถึงเรื่องนี้ต้าอีก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้
“ประธานเชี่ยน ช่วงนี้ฉันวิจัยเรื่องอิทธิพลของกรรมพันธุ์ที่ส่งผลต่อบุคลิก มีบางอย่างที่ฉันไม่ค่อยเข้าใจเลยอยากถามเธอหน่อย”
หลังจากต้าอีท้องก็ได้ถูกแม่อวี๋ขอร้องให้เพลาๆเรื่องเรียนบ้างเพื่อบำรุงครรภ์ แต่ต้าอีกลับไม่หยุดเรียนรู้ด้วยตัวเอง
“ไม่เข้าใจตรงไหนเหรอ?”
“ในหนังสือบอกว่า นิสัยบางอย่างก็เป็นมาแต่กำเนิด จริงเหรอ? งั้นมียีนที่ชอบใช้ความรุนแรงอยู่ด้วยเหรอ? ฉันอ่านเคสนึงบอกว่า คนที่มีแนวโน้มชอบใช้ความรุนแรงจะมีลูกที่เป็นแบบนั้นได้ง่ายกว่า ต่อให้เด็กคนนั้นจะไม่ได้ถูกเขาเลี้ยงดูก็ตาม โอกาสที่จะเป็นคนชอบใช้ความรุนแรงมีอยู่สูงมากกว่าคนทั่วไป งั้นก่อนหน้านี้ที่พวกเราเรียนกัน มันจะไปลบล้างประเด็นที่ว่านิสัยไม่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมหรือเปล่า?”
“คำถามนี้อันที่จริงก็ยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ จนถึงตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ยังยืนยันไม่ได้ว่ามียีนที่ชอบกระทำความรุนแรงอยู่จริงไหม เพื่อปกป้องความสงบของสังคม คัดค้านการดูถูก ดังนั้นความเห็นส่วนใหญ่จึงปฏิเสธเรื่องที่ว่าคนที่ทำความผิดมียีนที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ จากสถานการณ์ในประเทศเราตอนนี้ก็ไม่มีทางสนับสนุนแนวคิดนี้หรอก”
ลองคิดดู ถ้านักโทษคนหนึ่งกระทำผิดร้ายแรง ทุกคนก็จะมองครอบครัวของเขาด้วยสายตาดูถูก ต่อให้คนในครอบครัวไม่ได้รู้เรื่องด้วยก็ตาม ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันไม่ยุติธรรม เป็นเรื่องที่แฝงด้วยความดูถูก
“แล้วเธอคิดว่าไงเหรอ?” ต้าอีถามเสี่ยวเชี่ยน