แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 1036 เรื่องนี้จัดการยากแล้ว
เหยื่อรายนี้หน้าตาดีมาก ใบหน้าได้รูป ปากเชิ่ดนิดๆ หว่างคิ้วโหนกนูนมีเสน่ห์
เสี่ยวเชี่ยนเอาแต่มองรูปถ่ายที่เหมือนจะคุ้นตารูปนี้ เธอคิดว่าเธอรู้แล้วว่าความรู้สึกคุ้นเคยนี้มาจากไหน
รู้สึกได้ว่าเสี่ยวเชี่ยนเอาแต่จ้องอยู่หน้าเดียว หนึ่งในคู่หูคู่ฮาจึงยื่นหน้าเข้าไปดู
“เสี่ยวเชี่ยนก็สนใจเหยื่อรายนี้เหรอ ตอนแรกที่พวกเราเริ่มทำความเข้าใจข้อมูลพวกนี้ผมก็สะดุดตาผู้หญิงคนนี้มาก รู้สึกว่าคนสวยช่างบุญน้อยจริงๆ”
ผู้หญิงคนนี้เป็นเหยื่อรายแรกสุด นี่ก็ผ่านมานานหลายปีแล้วหลังจากที่เหยื่อถูกทำร้าย เมื่อวานตอนที่มีการเอาข้อมูลเหยื่อขึ้นจอใหญ่เปิดให้ดูคร่าวๆเสี่ยวเชี่ยนเห็นแล้วก็ไม่ได้คิดอะไร
จนกระทั่งเมื่อวานตอนเย็นที่ไปกินข้าวกับบ้านพี่รอง พอวันนี้ได้เห็นข้อมูลเหยื่อในระยะใกล้อีกครั้ง ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงได้รู้สึกคุ้นๆ
“มีใครรู้บ้างว่าผู้หญิงคนนี้ตอนนี้เป็นไง?” เสี่ยวเชี่ยนถาม
พอเห็นว่าเสี่ยวเชี่ยนดูสนใจเหยื่อรายนี้เป็นพิเศษอาเพียวจึงเข้ามาดูด้วย
“หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นคนให้ข้อมูลพวกนี้มา พวกเราไม่รู้อะไรมากนักเพราะต้องป้องกันข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อรั่วไหล แต่ตามคำให้การของผู้ต้องหา เหยื่อรายนี้เป็นคนแรกสุดที่เขาลงมือ และก็เป็นเลขาของเขาด้วย เธอถูกผู้ต้องหาข่มขืนทำร้ายร่างกายระหว่างไปทำงานต่างจังหวัด ต่อมาก็ลาออก”
เมื่อเทียบกับเหยื่อรายอื่นที่ถูกทำร้าย เหยื่อรายนี้นับว่าโดนเบาสุดแล้ว สาเหตุที่ทุกคนจำผู้หญิงคนนี้ได้ก็เป็นเพราะใบหน้าที่สวยงามโดดเด่น ไม่น้อยหน้าพวกดาราเลยทีเดียว
“ถ้าตอนนั้นเธอกล้าออกไปแจ้งความ บางทีอาจไม่มีคดีใหญ่ๆพวกนั้นตามมาก็ได้ จากที่เราทำการวิจัยมามันมีทฤษฎีหนึ่งที่เป็นจริง การกระทำผิดเป็นนิสัยความเคยชินอย่างหนึ่ง”
หลังจากที่อาเพียววิเคราะห์คร่าวๆแล้วจึงพูดเสริมขึ้น
“แน่นอนว่าเธอเป็นเหยื่อที่นับว่าโชคดีแล้วที่ไม่ได้ถึงแก่ชีวิต”
ความหมายของเขาคือให้พุ่งความสนใจไปที่เหยื่อคนอื่นๆ
เสี่ยวเชี่ยนเอาแต่จ้องรูปใบนั้น สักพักถึงได้พูดออกมา
“ไม่ เกิดชีวิตใหม่ขึ้นมาแล้ว”
และชีวิตใหม่ที่ว่านั้นตอนนี้อยู่ในตระกูลอวี๋
“เสี่ยวเชี่ยนคุณว่าอะไรนะ?”
“เปล่าค่ะ”
เสร็จงานไปอีกหนึ่งวัน เสี่ยวเชี่ยนกลับบ้านพร้อมอวี๋หมิงหลาง
ถึงอวี๋หมิงหลางจะไม่รู้ว่าวันนี้เสี่ยวเชี่ยนเจออะไรบ้าง แต่กลับรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆจากสีหน้าเคร่งเครียดของเธอ
“ลูกเชี่ยนเป็นอะไรเหรอ งานมีปัญหา? หรือเพราะไปเจอผู้ต้องหามาคุณเลยรู้สึกแย่มาก?”
เสี่ยวเชี่ยนส่ายหน้าก่อน สักพักก็พยักหน้า
“เสี่ยวเฉียง นายยังจำเรื่องที่พี่รองไปเก็บพ่านพ่านมาได้ไหม? บ้านนายเคยตามสืบประวัติของพ่านพ่านไหม?”
อวี๋หมิงหลางไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆเธอถึงได้ถามเรื่องนี้ แต่ก็ยังคงตอบไปตามความจริง
“ตอนนั้นพี่รองยังไม่ได้หย่ากับหวางเสี่ยวหง หวางเสี่ยวหงมาเยี่ยมพี่รอง ทั้งสองคนคุยกันไม่รู้เรื่องเลยทะเลาะกันขึ้นมา พี่รองไม่ยอมกลับที่พักดึกมากแล้วก็ยังไปตรวจการฝึกรอบค่ำที่สนามฝึก ระหว่างทางกลับเขาไปเจอกล่องใบหนึ่ง ตรงนั้นมีแค่เขาที่เดินผ่าน พอเห็นก็เลยเก็บกลับมา”
“ตอนนั้นมีแค่พี่รองที่เดินผ่าน?”
“ใช่ จุดนั้นค่อนข้างเปลี่ยว บวกกับตอนนั้นพี่รองถูกหวางเสี่ยวหงโกหกว่าป่วยให้รีบกลับไป เขาก็เลยผ่านทางนั้นอยู่คนเดียว”
ตอนนี้มาคิดดู การที่พี่รองได้เจอพ่านพ่านก็ถือเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตอย่างหนึ่ง เด็กคนนี้ดวงแข็ง วันนั้นอากาศหนาวมาก พ่านพ่านถูกห่อไว้ด้วยผ้าห่มผืนบาง หากพ่านพ่านถูกเอาไปวางช้ากว่านั้น คลาดเคลื่อนกับเวลาที่พี่รองเดินผ่านทางนั้นอยู่คนเดียว ไม่แน่พ่านพ่านอาจหนาวตายไปแล้ว
นี่แหละนะโชคชะตา
แต่โชคชะตาแบบนี้เมื่อมาถึงตรงนี้กลับเป็นปัญหาที่ทำให้เสี่ยวเชี่ยนคิดหนัก
“แล้วคนในครอบครัวไม่มีใครสืบประวัติเด็กคนนี้เลยเหรอ?”
“สืบสิ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายวางแผนไว้แล้วว่าจะทิ้งเด็ก ต่อให้พวกเราสืบยังไงก็ไม่เจออะไร”
ยุคสมัยนี้กล้องวงจรปิดยังไม่ถูกติดตั้งเยอะเท่าไร มีเพียงแค่ในถนนสายหลัก ยิ่งเป็นก่อนหน้านี้ยิ่งน้อย ขนาดตามถนนสายหลักยังหายาก แล้วจะไปสืบจากไหน
ประวัติการคลอดตามโรงพยาบาลก็มีไปสืบ แต่ก็ไม่ได้ความ
พ่านพ่านถ้าไม่ถูกอุ้มมาทิ้งจากต่างเมืองก็คงจ้างคนในพื้นเอามาทิ้งไว้ อยากจะตามหาญาติของเด็กคนนี้ไม่ต่างจากงมเข็มในมหาสมุทร
“จากที่นั่นมาถึงที่นี่ขับรถมาก็แค่หนึ่งชั่วโมง ระหว่างทางก็ขับผ่านสนามบินแล้วเอาเด็กไปทิ้งไว้ จงใจไม่เอาไปทิ้งในเมือง เพราะตอนเย็นๆในเมืองคนยังเดินพลุกพล่าน”
ปริศนาทุกอย่างกระจ่างแล้ว เหตุผลลงตัวหมด
“ลูกเชี่ยน คุณไปรู้อะไรมาใช่ไหม?”
อวี๋หมิงหลางได้ยินเธอพูดพึมพำ หรือลูกเชี่ยนจะรู้ประวัติของพ่านพ่านแล้ว?
“เรื่องนี้จัดการยากละ”
น้อยครั้งที่อวี๋หมิงหลางจะเห็นเสี่ยวเชี่ยนมีสีหน้าเคร่งเครียด หรือจะมีเรื่องอะไรที่ลูกเชี่ยนจัดการไม่ได้?
“ลูกเชี่ยน คุณเจอญาติของพ่านพ่านแล้วเหรอ? กลัวพวกเขาจะเอาเด็กกลับไป? ถ้าเป็นแบบนั้นไม่ต้องกังวลนะ พวกเราตกลงกับอีกฝ่ายได้ ในเมื่อตอนนั้นพวกเขาทิ้งเด็กคนนี้แล้ว พวกเราก็คืนเด็กให้ตอนนี้ไม่ได้ ยังไงเด็กก็ต้องอยู่กับพวกเรา”
เสี่ยวเชี่ยนส่ายหน้า แล้วทำสีหน้าคิดหนักแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เสี่ยวเฉียง ฉันขอยกตัวอย่างที่ไม่ค่อยเหมาะเท่าไร ถ้าลูกของพวกเรามียีนบกพร่องที่ติดตัวมาแต่กำเนิด นายจะทำไง?”
“ไม่ว่าจะบกพร่องทางไหนเขาก็เป็นลูกผม ยังไงก็ทิ้งไม่ได้”
“แล้วถ้าไม่ใช่ลูกนายเองล่ะ?”
อวี๋หมิงหลางอึ้ง จากนั้นก็เชื่อมโยงคำพูดของเธอตั้งแต่แรกแล้วทำสีหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อออกมา
“ลูกเชี่ยน หรือคุณจะเจอว่าพ่านพ่านมีความบกพร่องบางอย่างที่เป็นมาแต่กำเนิดเหรอ?”
ไม่มั้ง เด็กคนนั้นตรวจสุขภาพทุกปี แข็งแรงดีมาก
แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับพยักหน้าอย่างจริงจัง
“น่ากลัวยิ่งกว่านั้นอีก พ่านพ่านอาจเป็นคนที่มีบุคลิกต่อต้านสังคม ส่วนรายละเอียดคงต้องทำการพิสูจน์ก่อนถึงบอกได้”
“อะไรนะ?!”
อวี๋หมิงหลางเคยเรียนจิตวิทยาอาชญากรรมย่อมรู้ว่านี่หมายถึงอะไร สีหน้าของเขาจึงเคร่งเครียดตามไปด้วย
…
“พ่านพ่านเด็กดี ออกไปเล่นข้างนอกก่อนนะ” เสี่ยวเชี่ยนเก็บแบบทดสอบในมือ แล้วพูดกับพ่านพ่านที่อยู่ตรงหน้า
“อาสะใภ้อารมณ์ไม่ดีเหรอฮะ?”
เด็กน้อยที่ไวต่อความรู้สึกสังเกตสีหน้าของผู้ใหญ่เก่งมาก ถึงเสี่ยวเชี่ยนจะยังยิ้มแย้ม แต่พ่านพ่านกลับเห็นแววตาที่แตกต่างจากตอนปกติของเสี่ยวเชี่ยน
“เปล่าจ้ะ วันนี้อารู้สึกไม่ค่อยสบาย ออกไปก่อนนะ”
หลังจากที่ให้พ่านพ่านออกไปแล้วเสี่ยวเชี่ยนก็หุบยิ้มทันที
เธอมองเด็กน้อยที่แสนเชื่อฟังคนนี้ ในใจรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
“ผลเป็นไงบ้าง?” อวี๋หมิงหลางนั่งอยู่ข้างๆเสี่ยวเชี่ยนตลอด
นับตั้งแต่เสี่ยวเชี่ยนรู้เรื่องนี้ เขาก็จงใจพาเสี่ยวเชี่ยนกลับไปบ้านแม่ วันนี้พี่รองพาต้าอีออกไปข้างนอกพอดี แม่อวี๋จึงเป็นคนดูแลพ่านพ่าน ทำให้เสี่ยวเชี่ยนมีโอกาสให้พ่านพ่านทำแบบทดสอบ
“ไม่ค่อยดีเท่าไร อยากฟังความจริงไหม?”
“ว่ามา”