แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 1050 การจากลากลับกลายเป็นการเริ่มต้น
เสี่ยวเชี่ยนมองไป๋จิ่น ไป๋จิ่นเทเหล้าใส่แก้วตัวเองอีก ดื่มลงไปรู้สึกขมมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำตาเขาที่หลงเหลืออยู่หรือของเธอกันแน่
“ถ้าพ่อของเขาอายุยืนกว่าพวกเราจริงๆ ฉันจะทำให้พ่อของเขาได้เห็นว่าพวกเรามีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขแค่ไหน”
“ในฐานะที่ฉันเป็นเพื่อนของพวกเธอ มีคำพูดบางอย่างที่หากว่ากันตามเหตุผลฉันไม่ควรพูด แต่ในฐานะหมอ ฉันควรจะพูดอย่างเป็นกลาง ความรักที่รักกันตราบชั่วฟ้าดินสลายอย่างที่เธอคิดบางทีมันอาจเป็นความดันทุรังที่ผิดพลาด ยังไงซะพวกเธอก็ยังไม่ได้เริ่มคบกัน ไม่สู้เอาความรู้สึกนั้นพักไว้ก่อน เพราะนอกจากความรักแล้วโลกใบนี้ยังมีทิวทัศน์อีกหลายอย่างที่เราไม่ควรพลาด ถ้ารอจนสุดท้ายแล้วพบว่าเขาไม่เหมาะกับเธอจริงๆ เวลามันผ่านแล้วผ่านเลย แต่เธอพลาดคนที่เหมาะกับเธอไปกี่คนแล้วล่ะ?”
ความรักหากถูกยกระดับไปถึงขั้นการใช้ชีวิตคู่ มันก็เหมือนกับเด็กที่ซื้อถุงเสี่ยงโชคมา
ภายในถุงเสี่ยงโชคมีของเล่นที่หลากหลายแตกต่างกันไป ตอนซื้อก็ต่างคาดหวังว่าจะได้ของเล่นที่ตัวเองชื่นชอบ
แต่พอเปิดออก ของเล่นที่อยู่ในนั้นจะเหมาะกับตัวเองหรือเปล่าไม่มีใครบอกได้ชัดเจน
ความรักก็เหมือนถุงเสี่ยงโชคที่ยังไม่ได้เปิด เต็มไปด้วยความคาดหวังและความชอบ แต่ชีวิตคู่ก็คือหลังจากที่เราเปิดถุงออก เราอาจจะชอบหรืออาจจะไม่ชอบ
ตอนนี้ฉิวฉิวกับไป๋จิ่นก็เหมือนกับก่อนเปิดถุงนำโชค ชอบกันแบบหน้ามืดตามัว พอครอบครองไม่ได้ก็ดันทุรังเป็นเท่าตัว แต่การจากลาครั้งนี้ ใครจะรู้ว่าอีกหลายปีให้หลังได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง รอจนพ่อฉิวฉิวจากไปแล้ว ทั้งสองคนสามารถเปิดถุงเสี่ยงโชคด้านความรักได้อย่างสบายใจ แต่ถ้าพบว่าทั้งคู่ไม่เหมาะสมกันและผิดหวังด้วยกันทั้งคู่ แบบนั้นช่วงเวลาที่รอกันและกันมาหลายปีจะมีความหมายอะไร?
ใครๆก็อยากให้ความรักของตัวเองเบ่งบานพบเจอแต่ความสุข เสี่ยวเชี่ยนในฐานะที่เป็นเพื่อนย่อมอยากให้เพื่อนทั้งสองคนมีอนาคตที่ดี
แต่สิ่งที่มนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้นั้นกลับมีอยู่อย่างจำกัด
ต่อให้ฝืนคบกันขัดใจพ่อฉิวฉิว แต่ความรักของทั้งคู่ยังไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ก็มีแต่อุปสรรค อนาคตก็อาจต้องแบกรับความเลวร้ายจากโลกแห่งความเป็นจริงไม่รู้ตั้งเท่าไร สิ่งที่สูญเสียอาจมากกว่าสิ่งที่ได้รับ เศร้ามากกว่าสุข แบบนั้นความรักจะกลับกลายเป็นเรื่องหนักเกินจะแบกรับ
เสี่ยวเชี่ยนในฐานะที่เป็นหมอรู้ว่าคำพูดพวกนี้โหดร้ายเกินไป แต่เธอต้องวางตัวเป็นกลาง ซึ่งมันก็เป็นจุดที่เธอลำบากใจ
ไม่ว่าโลกของคนอื่นจะสุขหรือทุกข์ เสี่ยวเชี่ยนก็ต้องทำตัวให้เป็นกลาง ย่อมต้องพูดทั้งสิ่งที่น่าฟังและไม่น่าฟัง
“ฉันจะพลาดคนที่เหมาะสมไปหรือเปล่าฉันไม่รู้ แต่ฉันไม่อยากพลาดจากเขา ถึงเราสองคนจะเพิ่งเรียนรู้กันได้แค่เดือนเดียว แต่ความสุขที่เกิดขึ้นในหนึ่งเดือนนี้มันเป็นความสุขที่ฉันไม่เคยมีในช่วงยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ฉันยอมเสี่ยงเพื่อความรักครั้งนี้ ต่อให้วันหนึ่งพวกเราอาจต้องหันหลังให้กัน ฉันก็จะไม่เสียใจ ประธานเชี่ยน ถ้าเธอบอกว่าการรอเขาเป็นสิ่งที่ผิดมหันต์ งั้นก็ต้องให้ฉันเผชิญกับช่วงเวลานั้นเองถึงจะรู้ว่ามันผิดจริง ในช่วงเวลานั้นมันก็คือการรอคอยที่สวยงามอย่างหนึ่ง ถ้าให้ฉันยอมแพ้ไปเลยแบบนี้ก็ไม่ต่างจากที่ฉิวฉิวพูด เขาไม่อยากติดค้างพ่อ ฉันก็ไม่อยากติดค้างโอกาสที่ตัวเองจะได้มีความรักเหมือนกัน”
การได้ทำสิ่งสวยงามในช่วงวัยหนึ่ง ต่อให้สิ่งนั้นจะเป็นการเสียสละเพื่อคนๆหนึ่งก็ตาม
สุดท้ายแล้วที่ทำไปก็แค่ไม่อยากติดค้างตัวเองก็เท่านั้น
เสี่ยวเชี่ยนฟังถึงตรงนี้ก็ไม่อยากพูดอะไรอีก เธอยกแก้วเหล้าชนกับแก้วของไป๋จิ่น
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้โชคดีนะ ไปเมืองนอกก็ตั้งใจเก็บเกี่ยวประสบการณ์ล่ะ ฉันรับประกันไม่ได้ว่าการรอคอยของเธอจะทำให้ได้พบความสุขหรือเปล่า แต่ถ้าเธอคว้าโอกาสตั้งใจเรียนให้ดี ต่อให้ความรักครั้งนี้ไม่ออกผล อย่างน้อยก็ยังมีบันไดให้ก้าวขึ้นไปในหน้าที่การงาน ชีวิตคนเราไม่ได้มีแค่ความรัก ควรจะมีความทะเยอทะยานอย่างอื่นด้วย ฉันขอทิ้งท้ายไว้ว่า ไม่ว่าจะเวลาไหนก็ไม่ควรทำผิดต่อตัวเอง”
อยากรองั้นก็รอไป
ไม่อยากรอก็หันเดินจากไปไม่ต้องแบกรับภาระทางใจอีก
ไม่ทำความเดือนร้อนให้ใคร และต้องไม่ทำผิดต่อตัวเอง นี่แหละชีวิตคนเรา
ครึ่งเดือนต่อมาฉิวฉิวได้รับข้อความจากไป๋จิ่นที่ส่งมาแค่ว่า มาส่งฉัน
พ่อของฉิวฉิวได้ผ่าตัดเสร็จแล้ว กำลังอยู่ในช่วงพักฟื้น
ฉิวฉิวรีบออกไปในทันที ขับรถมุ่งตรงไปยังสนามบิน ระหว่างทางรถค่อนข้างติด ตอนไปถึงไป๋จิ่นโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องเรียบร้อยกำลังจะเดินเข้าไปข้างใน
ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือเปล่า วันนี้ไป๋จิ่นก็สวมชุดกระโปรงสีขาว
ฉิวฉิวหาไป๋จิ่นที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนเจอในแวบแรก
สีขาว สีขาวอีกแล้ว
ชีวิตของเขาต้องจากลาสีขาวอันบริสุทธิ์นี้กี่ครั้งกันถึงจะได้พบกับสายรุ้งในชีวิต?
ฉิวฉิวไม่อยากส่งเสียง เขาแค่อยากมองส่งเธอเงียบๆ แต่พอถึงตอนที่เขาอยากจะตะโกนเรียกชื่อเธอ ไป๋จิ่นก็หับหน้ามาก่อน สายตาพุ่งตรงไปยังฉิวฉิวที่ยืนอยู่ข้างนอกพอดี
เมื่อหลายปีก่อนฉิวฉิวเคยชอบผู้หญิงที่ชื่อจิงจิง ตอนนั้นเขาก็ไปส่งเธอแบบนี้ จิงจิงก็สวมชุดกระโปรงสีขาว คล้ายกับภาพในอดีตได้ปรากฏอีกครั้ง แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือ ตอนนั้นจิงจิงไม่เห็นฉิวฉิว แต่ไป๋จิ่นกลับหันมามองเห็นฉิวฉิวทันที
เขายังคงดูดีเหมือนเดิม แต่สีหน้ากลับไม่สดใส
ชีวิตบีบบังคับให้คนเรามาอยู่ในจุดหนึ่ง จากคนที่เคยร่าเริงสดใสกลับดูหม่นหมอง
เวลานี้เขากำลังควบคุมตนเอง เธอเองก็เช่นกัน
ทั้งสองคนสบตากันท่ามกลางฝูงชนที่เดินผ่านไปมา พวกเขาได้แต่จ้องกันอยู่แบบนั้น
ฉิวฉิวอยากโบกมือให้เธอแล้วบอกว่าขอให้เดินทางปลอดภัย
แต่มือก็เหมือนกับหนักหลายร้อยโล ยกไม่ขึ้น ถึงขนาดที่ว่าแม้แต่พูดว่าลาก่อนก็พูดไม่ออก
การลาจากที่หนักหน่วงหน่วงที่สุดไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว
ระยะห่างเท่านี้ เธอและเขาถูกแยกกันด้วยฝูงชน ก็เหมือนกับสิ่งที่ถ่วงอยู่ในความรักที่มากเหลือเกิน
ประธานเชี่ยนวิเคราะห์ได้ดี ต่อให้ผ่านไปสิบกว่าปี ความรักแบบนี้ก็ไม่มีทางเป็นที่ยอมรับในสังคม บางทีอีกหลายปีให้หลังพวกเธออาจกลายเป็นตัวอย่างของความรักที่ผิดเพี้ยนให้สังคมดูถูก
ฉิวฉิวไม่แคร์สายตาคนอื่นแต่กลับข้ามผ่านด่านสายเลือดในครอบครัวไม่ได้
สาเหตุที่เขาเลือกแยกจากก็แค่เพราะไม่อยากทำผิดต่อเธอ คนที่จะแยกคนรักกันได้นอกจากตัวเองแล้วยังจะมีใครอีก?
ไป๋จิ่นจดจำใบหน้าของฉิวฉิวให้ขึ้นใจ พยายามสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้แล้วยิ้มแบบที่สดใสที่สุดให้เขา จากนั้นก็หันไป เป็นฉากจากลาที่สวยงาม
ถ้าคบกันไม่ได้ก็ขอทิ้งภาพสวยงามที่สุดของตัวเองให้เขาแล้วกัน
ฉันรักนาย
เธอพูดโดยไร้เสียง ทั้งสองคนอยู่ห่างกันมาก ฉิวฉิวไม่มีทางได้ยิน แต่เขามองปากเธอ หูเหมือนได้ยินเสียงของเธอที่รวบรวมความกล้าพูดออกมา คำพูดว่าฉันรักนายเป็นความรู้สึกที่ฉิวฉิวปรารถนาอยากได้มาหลายปีแต่ไม่เคยได้ แต่เวลานี้คล้ายกับมีบางอย่างมากระแทกใจเขา
ฉิวฉิวน้ำตานองหน้า เขาเองก็อยากตะโกนออกไปว่าผมรักคุณเหมือนกัน
แต่ทำไม่ได้ โชคชะตาได้บีบเขาจนไปถึงจุดที่ไม่อาจหันหลังกลับได้อีก เขาจึงทำได้แค่ตะโกนในใจ ผมก็รักคุณ!
ไป๋จิ่นเดินไปขึ้นเครื่องทั้งน้ำตา เธอคิดว่าตัวเองทำสำเร็จแล้ว
ประธานเชี่ยนบอกว่า ในหัวใจของฉิวฉิวเคยมีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง เธอคนนั้นฝังอยู่ในหัวใจของเขามาหลายปีในสภาพชุดขาว แต่วันนี้เธอเลือกที่จะปรากฏตัวด้วยชุดสีเดียวกัน ใช้วิธีแบบเดียวกันบอกลาเขา
แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันก็คือ ไป๋จิ่นไม่ใช่จิงจิง จิงจิงไม่รักฉิวฉิว แต่ไป๋จิ่นรัก รักจนแทบขาดใจ เธอต้องการใช้วิธีสุดโต่งแบบนี้ประกาศสงครามกับโชคชะตา ลบภาพผู้หญิงคนนั้นในใจของฉิวฉิว ต่อให้เธอต้องบอกลาฉิวฉิวเป็นการชั่วคราว แต่รอจนถึงวันที่ปีกเธอแข็งแกร่งแล้วกลับมาอีกครั้ง ถึงตอนั้นก็ไม่มีใครสามารถทิ้งร่องรอยไว้ในใจของฉิวฉิวได้อีก นอกจากเธอ
นี่คือไม้เด็ดที่ประธานเชี่ยนบอกเธอ
ประธานเชี่ยนมองคนได้ทะลุปรุโปร่งตามคาด รอยยิ้มและการบอกรักโดยไร้เสียงของไป๋จิ่นได้ตราตรึงอยู่ในใจของฉิวฉิว หลังจากนั้นทุกครั้งที่อยู่ตามลำพังก็จะเอานึกถึงแต่รอยยิ้มนั้น ในสมองก็ชอบนึกถึงตอนเธอสารภาพรัก
ตอนที่ฉิวฉิวขับรถกลับได้เห็นดอกไม้บานเต็มริมถนน สีสันสวยงามแข่งกันบานเต็มท้องทุ่ง ดอกไม้เหล่านี้ได้ใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อเบ่งบานในช่วงเวลาที่เหมาะสม ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงความรักของตัวเอง
นั่นคือความรัก นั่นก็คือความรัก
นึกถึงตอนคุยเล่นกับไป๋จิ่น นึกถึงตอนไปเดินเที่ยว ตอนช่วยกันจัดห้อง สักพักน้ำตาก็ไหลออกมา
ที่แท้ความรักที่ดีที่สุดก็เหมือนกับดอกไม้ที่เบ่งบานแล้วร่วงโรยไป สวยให้สุดจากนั้นก็ร่วงโรย พอบานเต็มที่อีกไม่นานก็ถึงเวลาเหี่ยวแห้ง
ไม่มีใครเสียใจกับช่วงเวลาดีๆเหล่านั้น ชีวิตหนึ่งได้เจอคนที่รู้ใจสักคนก็เพียงพอแล้ว ต่อให้ต้องสูญเสียไปก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้
ขอแค่ให้เธอมีชีวิตที่ดีในต่างประเทศ
ฤดูร้อนที่แสนสวยงามนี้ได้จบลงแล้ว
เนื่องจากช่วงเวลาที่ได้อยู่กับไป๋จิ่นนั้นมีแต่ความรู้สึกดีๆก่อเกิด ทำให้ช่วงเวลาปีกว่าในอนาคต พอฉิวฉิวเห็นดอกไม้เบ่งบานก็จะนึกถึงวันที่ไปส่งเธอที่สนามบิน และฤดูร้อนที่สวยงามที่สุดนี้จะมีให้เห็นอีกหรือไม่ คงมีแค่เวลาเท่านั้นที่รู้