แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 1071 ทำแบบนี้หมายความว่าไง?
เสี่ยวเชี่ยนกลับไปทำงานต่อได้อย่างสบายใจ ก่อนไปเสี่ยวเชี่ยนได้เดินไปส่งเขา
จังหวะที่เธอเห็นใบหน้าด้านข้างของเขาก่อนรถออก เธอรู้สึกว่าสีหน้าเคร่งขรึมของเขาในตอนนี้คล้ายกับเมื่อชาติก่อน
อยู่ๆก็เข้าใจเรื่องบางอย่างขึ้นมา
เมื่อชาติก่อนเธอคิดว่าอาการแบบนี้ของเขาคือความเย็นชา ซึ่งก็เป็นข้อเสียอย่างหนึ่งที่เธอเกลียดมากจนเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เธอเป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงาน
แต่อยู่ๆตอนนี้เธอก็เข้าใจแล้ว บางครั้งการเงียบก็เป็นการสื่อถึงรู้ทุกอย่างแต่ไม่พูด นี่ก็เป็นวิธีการตามใจและเอาใจอย่างหนึ่ง
เธอเชื่อว่าในใจเสี่ยวเฉียงมีวิธีจัดการแบบอื่น อาจจะมีวิธีที่ดีกว่าเธอด้วยซ้ำ เพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้ชายที่ตรงไปตรงมามากกว่าใคร
แต่เขาเลือกที่จะให้เธอจัดการเอง เลือกยอมรับในวิธีการของเธอ หรือถึงขนาดที่เห็นด้วย
แล้วนี่จะไม่ใช่ความรักได้อย่างไร
ทำไมเมื่อชาติก่อนเธอกลับไม่เข้าใจ…
“เสี่ยวเฉียง”
เสี่ยวเชี่ยนเรียกเขา
อวี๋หมิงหลางหันไปหาเธอ “มีอะไรเหรอ?”
“ฉันลงมือครั้งนี้…โหดไปไหม?”
เขาหัวเราะ จากนั้นก็ยื่นมือออกมาลูบใบหน้าเธอ “เด็กโง่”
เสี่ยวเชี่ยนหัวเราะบ้าง
การไม่แสดงท่าทีก็คือการแสดงออกอย่างหนึ่ง เข้าใจตอนนี้ก็ยังไม่สาย
เขามักจะชอบพูดอะไรไม่รู้ไร้สาระขึ้นมา บางครั้งก็ชอบล้อเล่นตอนที่เธอกำลังอยู่ในโหมดโหด เห็นเขาทำเป็นเล่นแบบนั้นแท้จริงแล้วเข้าใจทุกอย่าง รู้หมดแต่ไม่พูดออกมา
เสี่ยวเชี่ยนนึกถึงคำพูดที่เธอเคยพูดกับเฉินจื่อหลง อำนาจก็เหมือนตราชั่ง ต้องสมดุล
อวี๋หมิงหลางก็คือ ‘อำนาจ’ ของเธอ เป็นเครื่องวัดความสมดุลให้กับพฤติกรรมของเธอ ทำให้เธอไม่ทำอะไรเลยเถิดเกินขอบเขต
พอมองหน้าเขาแล้วจินตนาการเป็นตราชั่ง เสี่ยวเชี่ยนยิ่งคิดก็ยิ่งขำจนหลุดหัวเราะออกมา
ในเมื่อเสี่ยวเฉียงที่เปรียบเสมือนตราชั่งเห็นด้วยกับวิธีของเธอแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ลุย!
…
พอเฝิงม่านม่านตื่นขึ้นมาก็นั่งงงอยู่บนเตียง
เธอมองไปนอกหน้าต่าง พระอาทิตย์ตกไปแล้ว บรรยากาศภายในเมืองถูกปกคลุมด้วยความมืด ท้องฟ้าเหมือนถูกราดด้วยน้ำหมึกสีดำ ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว เธอรู้สึกเหมือนตัวเองตอบสนองช้า
เธอนั่งนึกอยู่บนเตียงสักพักถึงนึกออก เมื่อตอนเที่ยงเธอทะเลาะกับป้าแม่บ้าน บวกกับช่วงนี้มีเรื่องให้เครียดบ่อยก็เลยควบคุมอารมณ์ไม่ได้
ดูเหมือนสาวใช้อีกคนจะปลอบเธอไปเยอะมาก เฝิงม่านม่านจำได้ว่าตัวเองไม่ได้หลุดพูดอะไรไปเยอะ อะไรที่ไม่ควรพูดเธอก็ปิดปากสนิท ดูเหมือนเธอจะพูดแต่เรื่องไร้สาระกับสาวใช้บ้านนอกคนนั้น อย่างเช่น เธอกับพ่อเป็นยังไง เธอเป็นอะไรกับหยูเจาเจา—เฝิงม่านม่านมีเหรอจะรู้ว่าคำพูดที่เธอคิดว่าไม่ได้สลักสำคัญอะไรมันจะกลายเป็นข้อมูลสำคัญที่ทำให้เสี่ยวเชี่ยนวิเคราะห์ลักษณะนิสัยเธอออกมาได้
เฝิงม่านม่านลุกออกจากเตียงเดินหาสาวใช้ที่คุยกับเธอก่อนหน้านี้ แต่ภายในบ้านว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของสาวใช้คนนั้น เฝิงม่านม่านเดินไปที่ประตูบ้านเพื่อจะเปิดไปถามบอดี้การ์ดว่าแม่บ้านไปไหน เมื่อไรจะได้กินข้าวเย็น
แต่ยังไม่ทันได้เปิดประตูเธอก็ได้ยินเสียงร้องไห้จากด้านนอก เอ๊ะ ทำไมบอดี้การ์ดร้องไห้?
“ฮือ…แกแน่ใจเหรอวะว่าท่านประธานเป็นโรคร้ายแรงที่บอกใครไม่ได้แบบนั้น? ทำไงดีล่ะ เมียฉันเคยมี…กับท่านประธานด้วย แล้วฉันจะติดโรคนั้นไปด้วยหรือเปล่า? หมดกัน ฉันยังไม่อยากตายนะ!”
คำพูดแค่ไม่กี่ประโยคแต่ทำให้ได้รู้อะไรหลายอย่าง
เฝิงม่านม่านหยุดเดิน เธอเงี่ยหูฟังต่อด้วยความรู้สึกตกใจ
“ลูกพี่ พูดเรื่องจริงเหรอ? พี่สะใภ้ผมกับท่านประธาน…?!” บอดี้การ์ดอีกคนพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ
คนที่ร้องไห้ตอบ “ฉันเคยโกหกแกเหรอวะ แกก็ดูผู้หญิงที่อยู่ในห้องดิ แค่นี้ก็เดาได้แล้วว่าท่านประธานเลือกที่ไหนล่ะ เมียฉันทำงานเป็นเซลล์ขายคอนโด หน้าตาดีขนาดนั้นท่านประธานก็ถูกใจเป็นธรรมดา”
“ลูกพี่ ผมสงสารพี่นะ คนดีๆอย่างพี่ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย”
“ฉันกลัวที่สุดก็หลังจากนี้ แกรู้ไหมว่าวันนี้ฉันได้ยินเลขาท่านประธานพูดว่าอะไร แกเดาดูสิ? เลือดท่านประธานเป็นบวก อ๊าก เมียฉันคงหนีไม่พ้นแน่ แล้วฉัน—ทำไงดีล่ะเนี่ย!”
เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังมาจากด้านนอก เฝิงม่านม่านขาอ่อน รู้สึกเหมือนโลกมืดไปหมด
เลือดบวกมันโรคเอดส์ไม่ใช่เหรอ?
เธอรู้จักโรคนี้ดี ก่อนหน้านี้ลูกค้าคนหนึ่งของเธอเล่นยา ต่อมาอยู่ดีๆก็ไม่มาออกกำลังที่ฟิตเนส เธอโทรไปถามถึงได้รู้ว่าเขาติดเชื้อเอชไอวี ตอนนั้นพอทุกคนในฟิตเนสรู้ก็ตกใจใหญ่ คนที่เคยคลุกคลีกับลูกค้าคนนั้นพากันไปตรวจสุขภาพ เธอถึงได้รู้จักโรคนี้มากขึ้น รู้ว่ามันสามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เลือด และจากแม่สู่ลูก
ถ้าอวี๋หมิงลี่เป็นโรคนั้น งั้นเธอ—
เฝิงม่านม่านเข่าทรุด
เธอคิดว่าตัวเองเจอทางลัดที่จะนำพาไปสู่ความสุขแล้ว หรือนี่จะกลับกลายเป็นทางที่พาตัวเองไปสู่นรก?
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร เสียงคุยจากด้านนอกเงียบไปแล้ว เฝิงม่านม่านไม่รู้ตัวเลยสักนิด เธออยู่ในท่าเอาหลังพิงกำแพง แทบอยากจะออกไปตรวจสุขภาพเสียเดี๋ยวนี้
ประตูเปิดออก อวี๋หมิงลี่เดินหนีบกระเป๋าเข้ามา สีหน้าซีดเซียว
“ว้าย ท่านประธาน!” เฝิงม่านม่านเห็นเขาก็ตกใจ
“ม่านม่าน ชินกับที่นี่หรือยัง?” อวี๋หมิงลี่เอากระเป๋าวางลงบนโต๊ะ เฝิงม่านม่านถอยห่างจากเขาโดยอัตโนมัติเพื่อเว้นระยะห่าง
“ฉัน ฉันยังไม่ค่อยชิน สองคนที่อยู่ข้างนอกไม่ให้ฉันออกไป ฉันรู้สึกไม่มีอิสระ” เฝิงม่านม่านก็ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง ตอนนี้สมองเธอสับสนไปหมด แทบอยากจะวิ่งหนีไป และก็ไม่กล้าถามพี่ใหญ่เรื่องโรค
คนรวยพวกนี้จิตใจโหดเหี้ยม จะโมโหแล้วฆ่าปิดปากเธอหรือเปล่าก็ไม่รู้?
“งั้นเอาแบบนี้ พรุ่งนี้ฉันจะให้คนพาเธอไปเอายา จากนั้นก็ไม่ต้องให้คนเฝ้าข้างหน้าแล้ว ช่วงนี้ฉันต้องไปทำธุระที่ต่างประเทศ เธอก็อยู่ดูแลตัวเองที่นี่ไปนะ”
“ยาอะไร?” ในใจของเฝิงม่านม่านนึกถึงยาต้านไวรัสทันที ได้ยินว่าถ้าแม่ติดเชื้อเอชไอวีแล้วกินยาต้านขณะตั้งครรภ์จะช่วยลดโอกาสติดเชื้อจากแม่สู่ลูก
“อย่าถามมากเลย พรุ่งนี้เธอไปตรวจร่างกายซะ” อวี๋หมิงลี่ทำหน้าเครียด จากนั้นก็เหลือบมองท้องของเฝิงม่านม่าน
“ตอนนี้ต้องพึ่งลูกในท้องเธอแล้วนะ ผลตรวจที่ออกมานี่—”
พูดไปได้ครึ่งเดียว ยังไม่ได้มีเนื้อหาสำคัญอะไร แต่เฝิงม่านม่านกลับคิดไปไกลแล้ว
หรือเขาจะติดกันทั้งบ้าน? ลูกเขาทั้งสองคนด้วยเหรอ?
ถึงได้จะมาพึ่งลูกในท้องเธอ?!
พี่ใหญ่ไม่พูดอะไรอีก เดินตรงไปเข้าห้องน้ำ เฝิงม่านม่านฉวยโอกาสตอนที่พี่ใหญ่อยู่ในห้องน้ำเอื้อมมือไปที่กระเป๋าของเขา
เธอเปิดออกแล้วหยิบกระดาษในนั้นมาดู ข้อความที่อยู่บนนั้นทำให้เธอเข่าทรุดล้มลงไปนั่งบนเก้าอี้
ถ้าท่านประธานติดเชื้อจริงๆ เธอก็หนีไม่พ้นแน่นอน อายุเธอยังน้อยอยู่เลยนะ…
พี่ใหญ่เข้าห้องน้ำนานมาก คำนวณเวลาว่าเฝิงม่านม่านน่าจะหยิบเอกสารออกมาอ่านเสร็จแล้วถึงออกไป มีคนโทรเข้ามาหาเขาพอดี พอรับสายแล้วเขาก็ออกจากบ้าน
ก่อนไปยังทิ้งบัตรเอทีเอ็มเอาไว้ให้เธอกดใช้ตามสบาย
ตอนนี้เฝิงม่านม่านไม่มีแม้แต่อารมณ์จะร้องไห้ เธอไม่เพียงแต่จะกังวลเรื่องผลตรวจวันพรุ่งนี้ เธอยังมีคำถามที่อยากถาม—
ทิ้งบัตรเอาไว้ให้แต่ไม่บอกรหัสมันหมายความว่าไง?