แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 470
ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนเดินเข้าไปในโรงแรมพร้อมของที่สืออวี้ต้องการ รวมถึงอาหารเย็น เธอก็เห็นสืออวี้ที่บอกว่าตัวเองลงจากเตียงไม่ได้กำลังยืนส่องกระจกสำหรับแต่งตัวอยู่ ใบหน้าก็ฉีกยิ้มหวานอยู่คนเดียว
หน้าต่างถูกเปิดทิ้งไว้ ดังนั้นจึงไม่ได้กลิ่น ‘ดอกเกาลัด’ ‘ดอกโพทิเนีย’ ไม่อย่างนั้นจะยิ่งเสียดแทงใจมากกว่าเดิม
ห้องแบบสองเตียง เตียงหนึ่งราบเรียบเหมือนไม่เคยถูกแตะต้อง ส่วนอีกเตียงสภาพเหมือนผ่านสงครามมา จินตนาการได้เลยว่าสงครามเมื่อคืนดุเดือดแค่ไหน
“ส่องดูอะไรน่ะ ก็แค่เยื่อหายไปใช่ว่าจะมีเนื้อส่วนไหนเพิ่มเข้ามา มองก็มองไม่ออกหรอก มากินยาได้แล้ว”
เสี่ยวเชี่ยนเอาของวางตรงหัวเตียง แล้วเรียกสืออวี้มา
ลูกคุณหนูสุดต๊องยังคงฝึกยิ้มอยู่หน้ากระจก “ประธานเชี่ยน สังเกตเห็นไหมว่าฉันดูไม่เหมือนปกติ?”
“อืม ดูโง่กว่าเดิม”
“ไม่ใช่นะ มันเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง” เธอยืนส่องกระจกมองตัวเอง อันที่จริงในใจรู้สึกซับซ้อนบอกไม่ถูก ที่แท้พอมีความคืบหน้าแบบเห็นได้ชัดมันรู้สึกแบบนี้เอง ดูแล้วตัวเธอก็ยังเป็นเธอ แต่มันเหมือนมีตรงไหนที่ไม่เหมือนเดิม
กำลังคิดว่าคนข้างนอกจะเป็นเหมือนกับเธอเมื่อคืนหรือเปล่า ความรู้สึกแบบในใจมีเรื่องที่อยากพูดแต่ก็พูดไม่ออก คล้ายกับว่าเธอยังคงเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็เหมือนกับมีตรงไหนที่แตกต่าง รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนละคนกับเมื่อวาน คล้ายกับโตขึ้น ถึงกับรู้สึกว่าสง่าราศีเปลี่ยนไป
อันที่จริงเสี่ยวเชี่ยนก็ดูออก การเปลี่ยนแปลงจากเด็กเป็นผู้ใหญ่จะมากจะน้อยก็ย่อมมีความเปลี่ยนแปลง แต่เนื่องจากมีความอิจฉาตาร้อนที่คนอื่นได้กินอิ่มแต่ตัวเองยังหิวอยู่ เธอตัดสินใจแล้วว่าจะขัดสืออวี้ ยัยคนนี้จะได้ไม่ได้ใจจนเกินไป
หลายวันนี้กลับหอไม่ได้ จึงมานอนกับสืออวี้ มีสองเตียงพอดี สืออวี้ที่เพิ่งเสร็จภารกิจโตข้ามคืนเห็นได้ชัดว่ามีอะไรอยากเม้าท์มอยมากมาย เอาเสี่ยวเชี่ยนเป็นโพรงไม้ ส่วนเสี่ยวเชี่ยนเองก็สงสัย สืออวี้กับเฉียวเจิ้นความสัมพันธ์เย็นชากันมาตั้งนาน ทำไมอยู่ๆกลายเป็นแบบนี้?
“อันที่จริงจะว่าไปฉันว่าสวรรค์ให้โอกาสฉัน ตอนจะก้าวออกรู้สึกยากลำบากมาก แต่พอได้ก้าวออกไปแล้วจริงๆกลับพบว่าความลังเลก่อนหน้านี้ทำให้เสียเวลาไปมาก ฉันไม่เสียใจเลย”
สามารถพูดออกมาได้แบบมีหลักการขนาดนี้ โตขึ้นแล้วจริงๆ เสี่ยวเชี่ยนกับสืออวี้ขึ้นไปนอนเอนกันคนละเตียง เสี่ยวเชี่ยนฟังเพื่อนสนิทเล่าถึงความคิดของตัวเองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนเด็กสาวในครอบครัวโตขึ้น พลางคิดถึงตัวเองในตอนนั้น
ชาติที่แล้วตอนเธอกับอวี๋หมิงหลางมีอะไรกันครั้งแรก เธอคิดอะไรบ้างนะ?
ไม่ได้คิดอะไร ตอนนั้นเธอเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจสูง หน้าที่การงานประสบความสำเร็จไปแล้ว เธออยากทำอะไรก็กล้าทำ หากจะว่ากันโดยแก่นแท้ เธอเป็นฝ่ายทำให้อวี๋หมิงหลางหลับนอนกับเธอ ทั้งๆที่ไม่ได้คิดจะให้รับผิดชอบอะไร
แต่ตอนนั้นพอเห็นเขาตื่นขึ้นมาแล้วเดินหน้าบึ้งออกไป เธอกลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ผู้หญิงเป็นสัตว์ที่แสนประหลาด ตอนที่ยังมาไม่ถึงขั้นนี้ สาวน้อยจะไม่ค่อยคุยกันเรื่องนี้ บางครั้งไม่ทันระวังพูดขึ้นมาก็จะรู้สึกเขินอาย
แต่พอกลายเป็นผู้หญิงเต็มตัวแล้วมาคุยกันเรื่องนี้ก็จะเริ่มไม่แคร์อะไรทั้งนั้น กล้าถามกล้าพูดหมด
“จริงสิประธานเชี่ยน ฉัน…อยากขอความรู้จากเธอหน่อย คือว่า เรื่องนั้นน่ะ…”
ฟังจากน้ำเสียงที่อ้ำๆอึ้งๆ เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกได้ทันทีว่าไม่น่าจะใช่เรื่องดี
“มีอะไรก็พูดมาตรงๆ”
“ตอนเธอกับหัวหน้าอวี๋ทำอย่างนั้นกัน เธอร้องยังไงเหรอ? ฉันรู้สึกว่า…หนังที่เคยดูเมื่อก่อนมันร้องเว่อร์ไปหน่อย”
ทำยังไงก็รู้สึกอายแบบบอกไม่ถูก
เสี่ยวเชี่ยนมองบน เห็นไหมล่ะ? ว่าแล้วว่ายัยนี่ต้องถามอะไรไม่ดี
เธอแทบไม่ได้ทำอะไรเลย จะร้องอะไรล่ะ?
“มอตโตะมอตโตะยาดะ ไดเทะไดเทะคิมูจิ อิไตอิไตฮายาคุ ไอคุไอคุสุโก้ย ท่องอันนี้ไปแล้วกัน” เสี่ยวเชี่ยนจงใจสอนแบบผิดๆ
“…ฉันไม่เชื่อหรอก หัวหน้าอวี๋รักชาติจะตาย เธอเนี่ยนะจะร้องออกมาแบบนั้น เอาจริงๆสิ จริงจังหน่อย” สืออวี้อยากคุยแบบเปิดอก ถามออกมาด้วยใจจริง แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับมาหลอก แบบนี้ระหว่างเราสองคนยังจะไว้ใจกันได้ไหมเนี่ย?
“ทำไมอยากถามเรื่องนี้ล่ะ?”
“ฉันไม่รู้จะแสดงออกถึงความรู้สึกดีที่มีต่อเขายังไง รู้สึกว่าตัวเองไม่คล่องยังไงก็ไม่รู้” นี่คือความชอบที่มีต่อคนรักอย่างลึกซึ้ง ไม่รู้จะแสดงความรู้สึกตอบกลับเขาไปยังไง
“ถ้าเธอคล่องเขาคงอยากร้องไห้” ก็มือใหม่กันทั้งนั้น จะเป็นไปได้ไงที่พอเริ่มขับรถก็คล่องจนบินได้?
นึกถึงตอนนั้นอวี๋หมิงหลางทั้งโง่ทั้งซื่อ จะสอดใส่ลงไปตรงไหนก็ยังหาไม่เจอ คลำหาอยู่นาน เสี่ยวเชี่ยนก็อดทนใจเย็น ตอนนี้พอมาคิดดูก็น่าขำไม่น้อย
“แค่อยากให้เธอวิเคราะห์จากมุมมองทางจิตวิทยาว่าฉันควรทำไง?”
อันที่จริงเสี่ยวเชี่ยนอยากบอกว่า ปล่อยไปตามธรรมชาติไม่ต้องไปตั้งใจมากคือวิธีที่ดีที่สุด แต่เนื่องจากตอนนี้เธอกำลังอยู่ในภาวะอิจฉาตาร้อน เธอจึงเปิดโหมดสอนเพื่อนในทางไม่ดี
“จริงๆแล้วในมุมมองทางจิตวิทยา มนุษย์เราจะมีความรู้สึกที่ยากจะบรรยายต่อภาษาแม่ของตัวเอง อย่างเช่นคนบางคนก่อนตายจะพูดภาษาบ้านเกิดออกมา ก่อนที่เฉียวเจิ้นจะถูกครอบครัวเธออุปการะเขาเป็นคนที่ไหน?”
“คนอีสานบ้านเฮาไง~” สืออวี้จงใจเลียนแบบสำเนียงอีสาน
“ดังนั้น แค่เธอร้องออกไปว่า อ้ายจ๋าอ้ายจ๋า ก็ได้แล้ว เขาจะยิ่งชอบเธอแน่นอน”
“…จริงเหรอ?” ทำไมรู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก?
“อืม พอถึงเวลาที่เหมาะๆก็เพิ่มไปอีก ว้าวแม่จ๋า ปู่จ๋า อาจจะยิ่งดีมากขึ้น”
เทคนิคชั้นสูงของการต้มตุ๋นเพื่อน ก็คือการพูดเรื่องหลักการก่อนที่จะหลอกอะไร รับรองสำเร็จ
ส่วนสืออวี้จะทำตามที่บอกหรือไม่นั้นเสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ อย่างไรเสียหลังจากนั้นมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เฉียวเจิ้นไล่อัดอวี๋หมิงหลางอยู่หลายวันในค่าย เหตุผลไม่ชัดเจน
เมียสร้างหนี้ผัวชดใช้ สอนเมียคนอื่นผิดๆก็ต้องมาคิดบัญชีกับอวี๋หมิงหลาง ถูกต้องแล้ว
“จริงสิสืออวี้ ตกลงว่าพวกเธอสองคนมันเรื่องอะไรกัน?”
“ตอนที่เขามาส่งฉันมันเหลือห้องสองเตียงอยู่ห้องเดียว ไม่มีห้องเดี่ยว พวกเราก็เลยเปิดได้ห้องเดียว จากนั้นพอฉันอาบน้ำออกมาก็จับเยี่ยเหล่าออกมาจากกรง”
“หนูนั่นเมื่อก่อนชื่อเบนโบ้ไม่ใช่เหรอ?”
“ฮี่ๆ ใครจะไปรู้ว่ามันลามก มันวิ่งเข้าไปในเสื้อฉัน…”
“…ราบเรียบเหมือนจานแบบนั้น องค์หญิงไท่ผิงที่หน้าหลังไม่ต่าง ยังจะกล้าบอกตัวเองมีเนินเหรอ?”
“ใครว่ากันเล่าฉันก็มีนะอีกหน่อยมันต้องใหญ่ขึ้น กลับไปฉันจะไปกินซุปมะละกอ*ทุกวัน”
“ก็ได้ องค์หญิงมะละกอเธอชนะ จากนั้นล่ะ?”
“จากนั้น…”
จากนั้นก็เป็นขั้นตอนอันแสนโรแมนติค มีกลอนเป็นเครื่องยืนยัน สาวน้อยวัยแรกแย้ม ชายหนุ่มในห้วงรัก สองเราใจเต้นตึกตัก พลอดรักไร้ซึ่งความเขินอาย
ช่วงเวลาสองวันจะว่านานก็ไม่นาน จะว่าสั้นก็ไม่สั้น
สำหรับเสี่ยวเชี่ยนแล้วช่วงเวลาสองวันก็คือการเข้าเรียนรวมถึงนั่งเม้าท์กับเพื่อนสนิท ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม จะจึ๊กแล้วหรือยังไม่จึ๊กก็ยังคงใช้ชีวิตกันตามปกติ
แต่สำหรับบางคน ช่วงสองวันนี้เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมาก
*มีความเชื่อว่าการกินซุปมะละกอจะช่วยเพิ่มขนาดหน้าอกได้