แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 485 ทางเลือกที่ต่างกัน
สืออวี้รู้สึกเสียวสันหลังที่ถูกเสี่ยวเชี่ยนจ้องแบบไม่วางตา
“ประธานเชี่ยน ทำไม…พวกเราสั่งปีกไก่อีกสองไม้ก็ได้นะ” สืออวี้พูดอย่างกล้าๆกลัวๆ
ก็แค่แย่งปีกไก่มาไม้เดียว ถึงกับต้องจ้องกันขนาดนี้เลยเหรอ?
“ไม่ใช่เรื่องปีกไก่” เสี่ยวเชี่ยนมองสืออวี้ด้วยสายตาที่แฝงความนัย
“เอ่อ…เถ้าแก่คะ เอาเนื้อย่างมาอีกสามไม้ ปีกไก่สามค่ะ” สืออวี้สั่งอาหารให้ประธานเชี่ยน อยู่ๆอย่ามาทำตัวจริงจังขึ้นมาจะได้ไหม
เสี่ยวเชี่ยนมองสืออวี้ เธอเข้าใจแล้วว่าเรื่องคู่หมั้นของโลนวูล์ฟมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หูเหม่ยจิ้งไม่ได้เป็นโรคหลายบุคลิก เพราะโรคหลายบุคลิกจะต้องอยู่บนพื้นฐานที่มีสองบุคลิกขึ้นไป แต่หูเหม่ยจิ้งกลับมีท่าทางที่นิ่งสุขุม มีแค่บุคลิกเดียวที่แตกต่างจากเมื่อก่อน
คำพูดของฉิวฉิวเมื่อครู่ได้ดึงเอาความทรงจำของเสี่ยวเชี่ยนออกมา เธอเกือบลืมโรคนั้นที่สืออวี้เป็นเมื่อชาติที่แล้ว และก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอถูกศาสตราจารย์หลิวตบ
โรคเก็บซ่อนความทรงจำจากการสะเทือนใจ หรือที่เรียกว่าบุคลิกสลับขั้ว จะมีอาการหลังจากที่เจอเรื่องสะเทือนใจทำให้ลืมตัวตนก่อนหน้านี้ แล้วใช้ชีวิตในแบบตัวตนใหม่ทั้งหมด ดังนั้นหูเหม่ยจิ้งจึงลืมเรื่องราวก่อนหน้านี้ หรือถึงขนาดที่แม้แต่ตัวตนของตัวเองก็ลืมหมด
เหมือนกับว่าเธอได้มีชีวิตใหม่เป็นครั้งที่สอง เริ่มต้นใหม่ มีชีวิตแต่งงานที่ราบเรียบ ใช้ชีวิตของตัวเองไป
ปริศนาทุกอย่างคลี่คลายลงแล้ว หูเหม่ยจิ้งเป็นโรคเดียวกันกับสืออวี้เมื่อชาติก่อน
ศาสตราจารย์หลิวบอกว่า เมื่อก่อนเธอเกือบได้ลูกสะใภ้ดีๆมาอยู่ด้วย ซาลาแมนเดอร์กับอวี๋หมิงหลางบอกว่าหูเหม่ยจิ้งเป็นผู้หญิงใจดำ คำพูดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแบบนี้กลับเป็นความจริง ความเป็นจริงที่ขัดแย้งในตัวเองแท้จริงคือเรื่องเดียวกัน
หูเหม่ยจิ้งเคยเป็นคนที่ดีมาก ถึงแม้จะอารมณ์ร้อนไปบ้าง แต่โลนวูล์ฟก็รัก และเป็นที่ยอมรับของศาสตราจารย์หลิวแม่ของโลนวูล์ฟ
แต่หลังจากที่โลนวูล์ฟตายไป หูเหม่ยจิ้งก็รับกับความจริงอันโหดร้ายนี้ไม่ได้จนเป็นโรคทางจิตเวชอย่างรุนแรง ทำให้เกิดบุคลิกสลับขั้ว เธอจึงลืมอดีตที่เคยมีกับโลนวูล์ฟ แต่จิตใต้สำนึกของเธอกลับยังจำได้ว่าเคยชอบโลนวูล์ฟ
เธอชอบทำตุ๊กตาหมาป่า แต่กลับใช้อีกหนึ่งตัวตนใช้ชีวิตอย่างสงบไปวันๆ
และทำไมศาสตราจารย์หลิวถึงไปหาหูเหม่ยจิ้งบ่อยๆ เรื่องนี้ก็มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล
ก่อนหน้านี้เสี่ยวเชี่ยนยังสงสัยอยู่ว่า คนนิสัยแย่อย่างอาจารย์ ต่อให้ชอบใครมากๆก็ไม่มีทางไปมาหาสู่บ่อยๆ แต่กลับดูแลหูเหม่ยจิ้งเป็นอย่างดี คอยมาหากัน
ที่แท้ที่อาจารย์ไปหาหูเหม่ยจิ้งบ่อยๆไม่ใช่เพราะคิดถึง แต่เพื่อช่วยทำให้บุคลิกของเธอคงที่ นี่เป็นเรื่องที่ยากมาก
เสี่ยวเชี่ยนรู้จักโรคนี้ดี บุคลิกใหม่ทั้งหมดที่แสดงออกของบุคลิกสองขั้ว ถึงแม้จะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้า แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะนึกเรื่องตัวตนก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้อีก ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่โหดร้ายมาก
และความทรงจำที่นึกขึ้นได้นี้อาจกินเวลาไม่กี่เดือน หรืออาจจะเป็นหลายสิบปี เพราะการจะเป็นโรคนี้ได้จะต้องมีเรื่องสะเทือนใจอย่างรุนแรงมาก ในแวดวงจิตแพทย์ยังคงมีข้อถกเถียงกันว่าควรรักษาคนไข้หรือไม่
ชาติที่แล้วเสี่ยวเชี่ยนรักษาสืออวี้จนหาย ทำให้สืออวี้จำช่วงเวลาที่เลวร้ายขึ้นมาได้ เธอเสียสติสุดท้ายก็เลือกที่จะฆ่าตัวตาย ศาสตราจารย์หลิวจึงตัดความเป็นศิษย์อาจารย์กับเสี่ยวเชี่ยนเพราะเรื่องนี้
เสี่ยวเชี่ยนกลับชาติมาเกิดใหม่ก็ยังคงไม่ยอมให้กับอาจารย์ เพราะต่อให้เธอไม่รักษาสืออวี้ คนที่เป็นโรคนี้ก็ไม่รู้ว่าจะนึกเรื่องราวในอดีตขึ้นมาได้อีกเมื่อไร ก็เหมือนกับรองเท้าบู๊ทที่ลอยคว้างในอากาศ หากไม่ตกถึงพื้นก็จะมั่นคง
ปัญหานี้เสี่ยวเชี่ยนคิดว่าไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง100%
แต่เธอไม่คิดเลยว่าอาจารย์เองก็เจอกับคนไข้แบบนี้เหมือนกัน อีกทั้งยังใช้ตัวเองเป็นหนทางที่เรียกได้ว่าควรต้องให้คะแนนเต็มในการแก้ปัญหา
ถ้าหูเหม่ยจิ้งไม่ได้มีเรื่องโลนวูล์ฟทำให้ต้องมาเกี่ยวข้องกับอาจารย์ การกระทำนี้ของอาจารย์ก็คงจะไม่มีอะไร เพราะอย่างไรเสียอาจารย์ก็เป็นจิตแพทย์
แต่ลูกชายของอาจารย์คือโลนวูล์ฟ อีกทั้งโลนวูล์ฟยังตายอย่างน่าเวทนา
ทุกครั้งที่อาจารย์ต้องเจอหูเหม่ยจิ้งก็เหมือนกับต้องฉีกแผลที่เพิ่งจะปิดสนิทออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ช่วยให้ว่าที่ลูกสะใภ้ในอดีตพยายามลืมลูกชายของเธอ ค่อยๆลบความทรงจำของลูกชายเธอออกจากสมองของหูเหม่ยจิ้ง นี่จิตใจของอาจารย์จะต้องแบกรับความรู้สึกมากขนาดไหนกันถึงทำได้ขนาดนี้?
เสี่ยวเชี่ยนนึกถึงท่าทางเสียใจของอาจารย์ตอนจุดธูปไหว้หลิวส่วง แล้วนึกถึงตอนหลังจากนั้นไม่นานอาจารย์ก็ต้องไปรักษาอาการให้คู่หมั้นของหลิวส่วง พอนึกได้อย่างนั้นความรู้สึกเจ็บปวดก็แผ่ซ่านในจิตใจของเธอ
มีแค่เธอเท่านั้นถึงจะเข้าใจความเจ็บปวดนี้…
สืออวี้มองเสี่ยวเชี่ยน ประธานเชี่ยนใช้สายตาอันลึกซึ้งมองมาที่เธอ มองๆอยู่ก็ร้องไห้
สืออวี้ตกใจรีบเข้าไปโอ๋เสี่ยวเชี่ยน
“ประธานเชี่ยน ไม่ต้องร้องนะ ก็แค่ไก่เอง เดี๋ยวฉันซื้อให้ใหม่นะ ไม่ต้องร้อง ไม่งั้นเธอจับฉันไปย่างเป็นปีกไก่เลยก็ได้ ขอแค่เธอหยุดร้องเป็นพอ…”
เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าตัวเองเก็บอาการไม่อยู่ เธอเช็ดน้ำตาแล้วสูดจมูก “ฉันแค่นึกถึงบางเรื่องขึ้นมา ไม่เป็นไรแล้ว กินกันเถอะ”
“ช่วงนี้น่ารำคาญมาก เถ้าแก่ที่ร้านเป็นบ้าหรือไงไม่รู้ ชอบหาเรื่องทุกวัน อยากจะหาโอกาสเอากระสอบไปคลุมแล้วอัดให้น่วมจริงๆ” ฉิวฉิวเห็นเสี่ยวเชี่ยนดูแปลกไปจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“นั่นสิ ช่วงนี้ฉันก็มีแต่เรื่องขัดใจ พ่อกับแม่ยังไม่รู้เรื่องฉันกับพี่ ไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง ฉันว่าเทอมนี้ฉันน่าจะสอบตกด้วย”
สืออวี้พูดเสริม
เห็นแววตาเสี่ยวเชี่ยนดูหม่นลงจึงพูดอย่างระมัดระวัง “ประธานเชี่ยนอย่าคิดมากนะ ไม่ต้องรู้สึกกดดัน”
“ฉันไม่เป็นไร กินข้าวเถอะ”
ขณะที่ฉิวฉิวกับสืออวี้กำลังปลอบเสี่ยวเชี่ยนก็ได้ยินคนเรียกฉิวฉิวจากทางด้านหลัง
“พี่ฉิว หมอเฉิน~”
เสี่ยวเชี่ยนกับสืออวี้มองไปตามเสียง จิงจิงยืนถือของอยู่กับเด็กผู้หญิงอีกคนอยู่ที่หน้าร้าน พอเห็นฉิวฉิวก็โบกมือให้อย่างดีใจ
ฉิวฉิวยืนขึ้นทันที ใบหน้าแสดงความยินดีแบบที่สังเกตไม่ได้ง่ายๆ
“จิงจิงมาได้ยังไง?”
“ฉันมาเที่ยว พวกพี่มากินของอร่อยกันทำไมไม่เรียกฉันบ้าง?” ตอนนี้สีหน้าของจิงจิงดีกว่าเมื่อก่อนมาก ถึงจะผอมไปหน่อยแต่ก็ดูเหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไปแล้ว
“ก็กลัวเธอจะไม่ว่าง ฮ่าๆ มากินด้วยกันสิ…” ฉิวฉิวเรียกจิงจิง จิงจิงจึงลากเพื่อนใหม่เข้าไปนั่งด้วย ทุกคนคุยกันอย่างสนุกสนาน
พอกินกันเสร็จแล้วเสี่ยวเชี่ยนกับสืออวี้ก็เตรียมจะกลับโรงแรม ฉิวฉิวจึงฉวยโอกาสตอนจิงจิงเผลอ ลากเสี่ยวเชี่ยนไปตรงที่ที่ไม่มีคน
“ประธานเชี่ยน เธอรักษาจิงจิงเป็นไงบ้างแล้ว”
“กระต่ายตัวโตแล้ว สถานการณ์โอเคนายก็น่าจะรู้สึกได้ มากสุดก็อีกสามครั้งฉันก็จะแก้โลกของเขาให้ดีขึ้นได้แล้ว ถึงตอนนั้นก็จะทำการสะกดจิตเพื่อผนึกความทรงจำ แต่ฉิวฉิวฉันต้องบอกนายเรื่องหนึ่ง บางทีการผนึกความทรงจำครั้งนี้ความรู้สึกดีๆที่เขามีให้นายจะเปลี่ยนไป ฉันจะผนึกแค่ครึ่งเดียวหรือจะทั้งหมดก็ได้ นายอยากให้ทำแบบไหน?”
ลืมเรื่องที่เจ็บปวดก็ต้องลืมเรื่องที่มีความสุขไปด้วย ปัญหาที่ศาสตราจารย์หลิวเจอก็ได้มาอยู่ตรงหน้าฉิวฉิวเช่นกัน อยู่ๆเสี่ยวเชี่ยนก็อยากรู้ว่า คนอื่นเมื่อเจอเรื่องแบบเดียวกันจะเลือกทำแบบไหน